ตอนที่ 224 ลูกแก้วชีพจรโลหิต 2 ดวง
ตอนที่ 224 ลูกแก้วชีพจรโลหิต 2 ดวง
จิงฮ่าวและศิษย์สาวกหญิงเสียใจอย่างสุดขีดต่อการตายของยูเฉินคุน แต่นับว่าโชคดีที่เจ้าเด็กน้อยแห่งสำนักหลิงเซี่ยวได้ตกลงไปยังเบื้องล่างและตายพร้อมกับยูเฉินคุน อย่างน้อยยูเฉินุคงก็ไม่ได้ตายเพียงคนเดียว อย่างน้อยการเดินทางไปยังประตูยมโลกก็คงไม่อ้างว้างและโดดเดี่ยว
หลังจากที่พวกเขาเสียใจอยู่บนหน้าผาสักระยะหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาทั้งสองได้ตัดสินใจเดินทางออกจากหน้าผาแห่งนี้
หน้าผาแห่งสูงชันอย่างมาก พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเบื้องล่างของหน้าผาจะซ่อนเร้นอันตรายมากแค่ไหน พวกเขาไม่กล้าที่จะลงไปเพื่อค้นหาร่างศพของยูเฉินคุน พวกเขาทำได้เพียงทิ้งศพของเขาเอาไว้ยังสถานที่แห่งนี้
ใต้หน้าผา หยางไค่ที่กระพือเพลิงปีกอัคคีโลกันย์ได้เหยียบย่ำไปยังพื้นดินเบื้องล่างอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเก็บลูกแก้วชีพจรโลหิตของยูเฉินคุน
สมแล้วที่เป็นยอดฝีมืแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริง ลูกแก้วชีพจรโลหิตของยูเฉินคุนมีขนาดใหญ่มากกว่าลูกแก้วชีพจรโลหิตของผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณ มันมีขนาดใหญ่เท่าลูกลำไย นอกจากนั้นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในลูกแก้วชีพจรโลหิตยังแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากกว่า
ลูกแก้วชีพจรโลหิตที่หยางไค่ดูดซับพลังของมัน ยังได้สัมผัสได้ถึงความหอมหวานจากมัน ในตอนนี้ลูกแก้วขีพจรโลหิตที่ใหญ่กว่า มันทำให้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความต้องการ หากเขาสามารถฆ่ายอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด เขาจะได้รับผลประโยชน์ที่มากมายมาหศาลแค่ไหนกัน ?
ในริมทะเลสาบ หยางไค่พบว่าผู้ฝึกยุทธุ์ที่เข้ามาบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งในสถานที่แห่งนี้ มากมายประมาณ 200-300 คน
มีลูกแก้วชีพจรโลหิต 200 -300 ลูก................มันสามารถทำให้ตนเองทะยานขึ้นสู่เขตแดนลมปราณแท้จริงได้อย่างง่ายดาย? เมื่อความคิดนี้ก่อเกิดขึ้น หยางไค่ตื่นตกใจจนสะดุ้ง เขารีบปราบปรามความกระหายในการฆ่าเขาหวาดกลัวว่าตนเองจะกระตุ้นจิตแห่งความต้องการฆ่าและความเกลียดชังความโหดเหี้ยมที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกที่ลึกที่สุด
หยางไค่เก็บลูกแก้วชีพจรโลหิตเข้าไปในถุงผ้า เขากวาดสายตามองซ้ายขวา ก่อนจะหลบหนีไปยังทิศทางหนึ่ง
หุบเขาแห่งนี้ถูกปิดยังด้วยก้อนเมฆที่หนาแน่น ทุกทิศทางปกคลุมด้วยหน้าผาที่สูงชันที่กว่าหมื่นจ้าง คนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีทางที่จะเข้ามา แม้ว่ายอดฝีมือแห่งเขตแดนผสานลมปราณ เมื่อมองเห็นหน้าผาที่สูงชันจนมองไม่เห็นเบื้องล่าง พวกเขาก็มิกล้าที่จะกระโดดลงมาเพื่อสำรวจมัน
หยางไค่เดินทางในบริเวณหุบเขาด้านล่างเป็นเวลากว่า 1 วัน เข้าค่อยๆเข้าใจในลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมโดยรอบ มันทำให้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ เพราะลักษณะภูมิประเทศที่ซับซ้อนเช่นนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่กำลังเคลื่อนไหว เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่ตนเองไม่สามารถเอาชนะเขาได้
ระหว่างที่เขายังได้ฆ่าสัตว์อสูรขั้นที่ 4 กว่าหลายตัว ทำให้เขาได้รับลูกแก้วชีพจรโลหิตเป็นจำนวนมาก
ตราบใดที่มีเวลาที่เพียงพอ ความแข็งแกร่งของตนเองจะค่อยๆ แข็งแกร่งและมีความก้าวหน้าอย่างยิ่ง เมื่อออกจากหุบเขาแห่งนี้ก็มิต้องกังวลที่จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนลมปราณแท้จริง
หุบเขาเบื้องล่างมีบริเวณที่กว้าไกล วันแล้ววันเล่าที่หยางไค่เดินทางและล่าสัตว์อสูรทุกคนที่เขาพบเจอ เขาจะไดรับผลประโยชน์จากการล่าสัตว์อสูรในทุกๆวันในบางครั้งเขาจะพบเจอกับสัตว์อสูรขั้นที่ 5 มันทำให้เขาต้องรีบหลบอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเหล่านี้
หลาย 10 วันทีผ่านมา หยางไค่ได้เก็บรวบรวมลูกแก้วชีพจรโลหิตแห่งสัตว์อสูรกว่า 30 ลูก
หยางไค่ค้นหาสถานที่ปลอดภัย เขาใช้เวลาไปกว่า 1 วัน จนสามารถดูดซึมพลังของลูกแก้วชีพจรโลหิตที่หลอมละลายด้วยตัวมันเอง ควบคู่กับลูกแก้วชีพจรโลหิตของยูเฉินคุนที่ตายไป หยางไค่รู้สึกว่าเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 4 ของกำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของมัน เหลือเพียง 1 ก้าวมันก็จะทำให้เขาบรรลุและก้าวข้ามไปยังเขตแดนที่สูงกว่า
มันเป็นผลลัพทธุ์ที่น่าพึงพอใจมาก
แต่ว่าในหุบเขาแห่งนี้มีเพียงสัตว์อสูรจำนวนเท่านี้ที่จะสามารถฆ่าได้ จากเวลาที่ไหลผ่าน มันยากที่จะทำให้หยางไค่พบเจอกับสัตว์อสูรขั้นที่ 4 แม้ว่าจะมีร่องรอยแห่งสัตว์อสูรขั้นที่ 5 แต่ในเวลานี้หยางไค่ไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับพวกมัน
หยางไค่วิ่งไปรอบๆบริเวณหุบเขา และกลับมายังสถานที่เดิมของตนเอง
เมื่อครุ่นคิดไปมา หยางไค่ตัดสินใจที่จะย่างกรายเข้าสู่ใจกลางของหุบเขา เพื่อสำรวจว่ามีสัตว์อสูรหลงเหลืออยู่หรือไม่ หากมันไม่มี มีเพียงทางเลือกเดี่ยวคือการออกจากหุบเขาแห่งนี้ และหาหนทางอื่น
หลังจากที่ตัดสินใจ หยางไค่ได้วิ่งไปยังใจกลางของหุบเขา แต่เขากลับพบสัตว์อสูรเพียงไม่กี่ตน เขาได้รับลูกแก้วชีพจรโลหิตเพียงไม่กี่ลูก แต่เมื่อเดินเข้าไปยังใจกลางของหุบเขาเรื่อยๆ หยางไค่กลับไม่พบสัตว์อสรูแม้แต่ตนเดียว
มันไร้ซึ่งแม้แต่ร่องรอยการดำรงอยู่ของสัตว์อสูร
จิตใจของหยางไค่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาค่อยๆเดินเข้าไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ไม่กี่วันหลังจากนั้น หยางไค่ที่กำลังเดินทางได้หยุดชะงักฝีเท้าอย่างฉับพลัน เขามองไปยังด้านหน้า ใบหน้าหดลง ความรู้สึกประหลาดใจและความไม่เชื่อได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
เขาพบเห็นโครงกระดูกกองขนาดมหึมา !!
ด้านหน้าประมาณ 100 จ้าง มีโครงกระดูกสีขาวกองอยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน แม้ระยะห่างระหว่างหยางไค่และโครกระดูกจะห่างไกลกันอย่างมาก แต่หยางไค่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งบรรพกาลที่ดุดันที่กำลังแผ่กระจายออกมาอยางต่อเนื่อง
โครงกระดูกนี้มีความสูงประมาณ 20 จ้าง และไม่รู้ว่ามันมีความยาวแค่ไหน กระดูกทุกส่วนของมันกระพริบอย่างสว่างไสวราวกับงาช้างที่ล้ำค่า แม้ระยะเวลาจะผ่านมาอย่างยาวนาน มันยังคงสภาพเช่นเดิม แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านไปทุกวันคืน มนคงยังคงสภาพเช่นนั้น โดยไม่แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าธุรีเฉกเช่นโครงกระดูกประเภทอื่นๆ
โครงกระดูกมีขนาดใหญ่เช่นนี้ หยางไค่ไม่สามารถคาดเดาและจินตนาการได้ว่าก่อนตายสัตว์อสูรตนนี้มีความแข็งแกร่งในระดับไหนและมีความสง่างามมากแค่ไหน
จิตใจของหยางไค่ตื่นตะลึงเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาจึงค่อยๆก้าวเท้าออกไป และเดินไปยังทิศทางนั้นในทันที
ในขณะที่ใกล้ถึง หยางไค่พบว่าโครงกระดูกนี้ไม่ใช่โครงกระดูกเพียงกองเดียว แต่เป็นโครงกระดูกสองกอง
1 ในนั้นเป็นโครงกระดูกที่เขามองเห็นจากระยะไกล ส่วนโครงกระดูกอีกกองจะเป็นโครงกระดูกขนาดเล็กที่มีลักษณะที่ปราณีต ราวกับว่าโครงกระดูกทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่ง แต่เมื่อจ้องมองอย่างละเอียด จะพบว่าโครงกระดูกขนาดเล็กได้ฝังตัวอยู่ในช่องท้องของโครงกระดูกขนาดใหญ่
สัตว์อสูรทั้งสองต้องฆ่ากันจนตาย!! มารปฐพีกล่าวด้วยความตื่นตะลึง
หยางไค่พยักหน้า เขาเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้ เมื่อจ้องมองโครงกระดูกกองนี้ มันสามารถมองเห็นร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่ยากเย็นและรุนแรง สัตว์อสูรทั้ง 2 ตน ตนหนึ่งมีรูปร่างเล็ก ตนหนึ่งมีรูปร่างใหญ่ แต่พวกเขากลับต่อสู้กับอย่างสูสี โดยไม่มีใครแพ้และชนะ
ลักษณะนิสัยที่ดุดันและโหดเหี้ยมของสัตว์อสูรที่ไม่ยอมถอยห่างหรือยอมแพ้จากการต่อสู้ เมื่อต่อสู้จนถึงท้ายที่สุด สัตว์อสูรที่มีรูปร่างเล็กได้พุ่งแทงไปยังหน้าท้องของสัตว์อสูรที่มีรูปร่างใหญ่ เมื่อทั้งสองถูกโจมตีด้วยความดุดันซึ่งกันและกันและได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน จึงทำให้พวกมันตายพร้อมกัน
หลายปีผ่านไป ลมพัดผ่าน ดวงอาทิตย์สาดแสง เศษธุรีปลิวไสว มันได้กลบทับร่องร่องแห่งการต่อสู้ในวันนี้ แต่กลับไม่สามารถกลบทับโครงกระดูกสีขาวที่งดงาม และยังไม่สามารถกลบทับกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่ไม่ยอมแพ้
หยางไค่ตื่นตะลึกงจนมิอาจที่จะสงบสติอารมณ์ของเขา ดวงตาของเขาไม่ละทิ้งจากโครงกระดูกขนาดใหญ่เหล่านี้
เขาไม่รู้ว่าในโลกแห่งนี้จะมีสัตว์อสูรที่มากมายเท่าไหร่ และพวกเขายังมีรูปร่างขนาดเล็กใหญ่เช่นไร เพราะโครงกระดูกที่ล้มอยู่บนพื้นดินมีความสูงเกือบ 20 จ้าง โครงกระดูกส่วนนี้ยังเผยออกมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และร่างกายส่วนที่เลหือของมันส่วนใหญ่ล้วนถูกฝังอยู่ใต้ดิน
กระดูกทุกส่วนของมันแข็งแกร่งและมีพละกำลังที่มหาศาลเช่นนี้ จากลักษณะรูปร่างของมัน ในขณะที่มีชีวิตมันต้องเป็นสัตว์อสูรที่มีพละกำลังและความแข็งแกร่งในระดับสูงอย่างแน่นอน
แล้วสัตว์อสูรที่มีรูปร่างขนาดเล็กเป็นสัตว์อสูรประเภทไหน แม้จะมีรูปร่างเล็ก แต่ก็สามารถต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเท่าเทียม
มารปฐพี เจ้าทราบไหมว่ามันคือสัตว์อสูรประเภทไหน ? หยางไค่ยืนนิ่งเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวถามมารปฐพี
จากโครงกระดูกของมัน ข้าไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือสัตว์อสูรประเภทใด มารปฐพีกล่วตอบ
หยางไค่ยื่นมือออกไป เขาค่อยๆสัมผัสไปยังโครงกระดูกสีขาว ทันทีที่นิ้วของเขาสัมผัสถึงมัน ปัง ชู่ววว !!! โครงกระดูกเหล่านี้ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้น มันค่อยๆถล่มลงมาและกลายเป็นเศษธุรีในทันที
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทำให้เกิดปฏิกิริยาของโครงกระดูกอื่นๆอย่างฉับพลัน โครงกระดูกทั้งหมดได้เกิดเสียงแตกและถล่มลงมาทั้งหมด
ตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ฝังอยู่ในสถานที่แห่งนี้ และวิญญาณของพวกมันจะไปยังแห่งหนใด ? แม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งอย่างมหาศาลเช่นนี้ ก็หนีไม่รอดกฏแห่งกรรมที่ร่างกายและวิญญานต้องสูญสลาย มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง
แต่หลังจากนั้น คิ้วของหยางไค่ขมวดไว้แน่น และมันยังกระตุกอย่างรุนแรง เขาเบิกตากว้างและเริ่มค้นหาบริเวณของโครงกระดูกเหล่านี้
นายน้อยท่านกำลังมองหาสิ่งใด? มารปฐพีกล่าวถามด้วยความสงสัย
ลูกแก้วชีพจรโลหิตไง สัตว์อสูรทั้งสองตนแข็งแกร่งและมีพลังที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ หลังจากที่พวกมันตายลูกแก้วชีพจรโลหิตของมันคงไม่ต่างกันมาก ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความตื่นเต้น
พวกมันตายเป็นเวลาหลายปี ลูกแก้วชีพจรโลหิตคงจะไม่หลงเหลือเอาไว้ ?
ข้าขอเดิมพันว่ามันยังอยู่ในบริเวณนี้ เจ้าเชื่อหรือไม่? หยางไค่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ
ข้าน้อยโง่เขลาเกินไป . มารปฐพีกล่าวตอบด้วยความสุภาพ
สถานที่แห่งนี้อยู่ในหบุเขาที่ลึกและปกคลุมด้วยเมฆที่หนาแน่น แม้แต่ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณก็ไม่กล้าที่จะลงมายังด้านล่าง? หยางไค่หัวเราะเบาๆ : มีเพียงข้า ที่ถูกผู้อื่นไล่ล่าจนไร้ซึ่งหนทาง ข้าจึงต้องตัดสินในเลือกหนทางที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้
แม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธุ์เข้ามา ในบริเวณแห่งนี้มีสัตว์อสูรที่ไม่มาก .. ยังมิทันที่จะกล่าวจบ มารปฐพีเริ่มเข้าใจว่ามันเป็นความจริง หลายวันที่ผ่านมา เขามองไม่เห็นร่องรอยการดำรงอยู่ของสัตว์อสูรรอบๆบริเวณแห่งนี้
เมื่อผู้ฝึกยุทธุ์ไม่เข้ามา สัตว์อสูรย่อมไม่ย่ากรายเข้ามา ลูกแก้วชีพจรโลหิตของสัตว์อสูรทั้งสองตน ไม่มีทางที่จะหายไปอย่างแน่นอน
หยางไค่ขี้เกียจที่จะอธิบาย เมื่อกล่าวอธิบายต่อไป มารปฐพีคงไม่เข้าใจ หยดน้ำพลังลมปราณ 1 หยดพุ่งไปที่ปลายนิ้ว ก่อนที่เขาจะเรี่มขุดลงไป
หยางไค่ขุดอย่างตั้งใจขุดอย่างมีจุดหมาย โดยเลือกที่จะขูดไปยังสถานที่กลบฟังโครงกระดูกยักษ์
ลูกแก้วชีพจรโลหิตเกิดขึ้นหลังจากที่สัตว์อสูรตายไป ดังนั้นมันต้องถูกกลบฟังอยู่ในดินทรายอย่างแน่นอน มันน่าจะอยู่ด้านล่างของโครงกระดูกเหล่านี้
ดินที่สกปรกได้ถูกขุดออกมาอย่างต่อเนื่อง หยางไค่เริ่มขุดหลุมอย่างรวดเร็วแต่เขายังใส่ใจในรายละเอียด เขาไม่ปล่อยสถานที่น่าสงสัยไปเลย
หลังจากที่เขาขุดหลุมได้ประมาณหลาย 10 จ้าง ทันใดนั้นแสงสีแดงได้ประกายออกมาจากพื้นดิน
ข้าพบแล้ว !! หยางไค่ตะโกนด้วยความดีใจ เขาค่อยๆปัดเศษดินโคลนที่อยู่รอบๆบริเวณ และจ้องเขม่งลงไป โดยที่สายตาของเขาไม่กระพริบแม้แต่น้อย
เดิมทีเขาคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งและพลังที่มากมายมหาศาล หลังจากที่มันตายลูกแก้วชีพจรโลหิตของเขาต้องมีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ หรืออาจมีขนาดเท่ากำปั้นของมนุษย์
แต่สิ่งี่เขามองเห็นกลับไม่ใช่เช่นนี้ ลูกแก้วชีพจรโลหิตลูกนี้มีขนาดเท่าเล็กมาก มันเล็กกว่าลูกแก้วชีพจรโลหิตที่ได้รับหลังจากที่ยูเฉินคุนตาย มันมีขนาดเทียบเท่าลูกแก้วชีพจรโลหิตของสัตว์อสูรขั้นที่ 4 เท่านั้น
หรือว่าตนเองจะคาดเดาผิดไป ? สัตว์อสูรทั้งสองไม่ได้แข็งแกร่งและมีพลังมากมายอย่างที่เขาคิด ?
จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่หยางไค่ยังคงขุดลงไปอีก หลังจากนั้นไม่นานเขาได้พบเจอกับลูกแก้วชีพจรโลหิตอีก 1 ดวงซึ่งมีขนาดเท่าเท่ากับลูกแก้วชีพจรโลหิตดวงแรก
สัตว์อสูรที่ตายพร้อมกันมีความแข็งแกร่งที่เท่าเทียมกัน เมื่อพวกมันตายไปลูกแก้วชีพจรโลหิตของมันยังมีขนาดใกล้เคียงกัน
หยางไค่กุมลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงไว้ในมือ เขาค่อยๆหมุนเวียนกลยุทธุ์ เพื่อสัมผัสพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงว่าเป็นเช่นไร
แต่เมื่อเขาเริ่มหมุนเวียนกลยุทธุ์หยาง เสียงอึมครึมและอึดอัดได้ดังออกมาจากร่างกายของหยางไค่ ก่อนที่เขาจะค่อยๆคุกเข่าลง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่มิอาจควบคุมได้
นายน้อย!! มารปฐพีตื่นตระหนก เขาพยายามกล่าวตะโกน แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากหยางไค่ ในเวลาถัดมา เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่พุ่งทะยานขึ้นอย่างสูงสุดจนทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างทุกข์ทรมาณ พลังเหล่านั้นได้ไหลทะลักเข้าไปยังร่างกายภายในของหยางไค่อย่างไม่หยุด
นอกจากนั้น พลังเหล่านี้มิใช่พลังที่บริสุทธุ์ ในพลังเหล่านั้นยังปะปนด้วยกลิ่นอายแห่งปีศาจที่ชั่วร้าย กลิ่นอายแห่งปีศาจที่ชั่วร้าย เป็นกลิ่นอายที่หยางไค่พบเจอกับมารปฐพีในครั้งแรก มันจึงทำให้ร่างกายของหยางไค่ต่อต้านอย่างยิ่ง
ร่างกายของหยางไค่สั่นสะท้าน เส้นชีพลมปราณของเขาเต็มท่วมท้นไปด้วยพลังเหล่านี้ กลยุทธุ์หยางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งโดยมิอาจที่จะควบคุมได้ หลังจากที่มันหลอมละลายพลังที่ยิ่งใหญ่ มันได้ถูกกระดูกทองคำดูดซึมเข้าไป
ในตอนนี้ จิตใจของเขามีเพียงความคิดเดียว
สัตว์อสูรทั้งสองตัวเป็นสัตว์อสูรประเภทใด ชาติกำเนิดของมันเป็นเช่นไร ? ลูกแก้วชีพจรโลหิตที่กลั่นตัวขึ้นหลังจากที่มันตาย ทำไมจึงแตกต่างจากสัตว์อสูรประเภทอื่นๆ ?
ลูกแก้วชีพจรโลหิตดวงอื่นๆจะเต็มไปด้วยพลังที่บริสุทธุ์ ไม่ว่าใครก็สามารถดูดซับพลังของมันได้อย่างง่ายดาย แต่ลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงนี้แตกต่างจากพวกมัน มันซ่อนเร้นพลังแห่งสัตว์อสูรที่มากมายและยังเต็มไปด้วยความดุดดันและความชั่วร้าย หากไม่หลอมละลายมันก่อนที่จะดูดซึมเขาไป มันต้องทำให้ผู้ที่พบเจอกมันกลายเป็นเช่นสัตว์อสูรที่ดุดัน และสูญเสียตัวตนความเป็นมนุษย์ในทันที
หรือว่า เมื่อความแข็งแกร่งมากมายมหาศาลถึงในระดับหนึ่ง หลังจากที่มันตายลูกแก้วชีพจรโลหิตจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ?
หยางไค่หยุดนิ่งเพื่อดูดซับพลังเหล่านี้ แต่ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไร เขามิอาจที่จะควบคุมลูกแก้วชีพจรโลหิตแม้แต่น้อย มันพุ่งเข้าไปยังต่อเนื่องและรุนแรง ทำให้หยางไค่มิอาจที่ทนรับได้ และต้องหลอมละลายให้เร็วที่สุด