ตอนที่ 221 อันตราย
ตอนที่ 221 อันตราย
ในบริเวณสถานที่แห่งนี้ ไม่มีบริเวณไหนที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง หยางไค่จึงต้องกดทับกลิ่นอายและซ่อนตัวเอาไว้ไม่ใหใครมองเห็น ทำลายร่องรอยทุกอย่างของเขา เพื่อไม่เป็นการเปิดเผยตำแหน่งของเขาเอง
หยางไค่หลบซ่อนตัวอยู่ในรูกลวงของต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เขาระมัดระวังการกระทำการเคลื่อนไหวของตนเองทุกอย่าง ในขณะเดียวกับเขาได้ดูดซับลูกแก้วชีพจรโลหิตเข้าไปและหลอมละลายพลังที่อยู่ในลูกแก้วชีพจรโลหิตเหล่านั้น
หลายวันที่ผ่านมา ลูกแก้วชีพจรที่เขาสามารถเก็บเกี่ยวได้มีประมาณ 20 เม็ด แต่ครึ่งหนึ่งของมันล้วนเป็นลูกแก้วชีพจรโลหิตของสัตว์อสูรขั้นที่ 3 และยังมีลูกแก้วชีพจรโลหิตจากสัตว์อสูรขั้นที่ 4 นอกจากนั้น มันจะเป็นลูกแก้วชีพจรโลหิตจากศิษย์แห่งตำหนักสีทองที่เขาเพิ่งฆ่าพวกเขาไป
ขนาดเล็กใหญ่ของลูกแก้วชีพจรโลหิต สามารถแบ่งแยกระดับของมันได้อย่างง่ายดาย
ลูกแก้วชีพจรโลหิตจากสัตว์อสูรขั้นที่ 4มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว แต่ลูกแก้วชีพจรโลหิตจากผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณทั้ง 3 กลังมีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือ
หยางไค่นำลูกแก้วชีพจรโลหิตของสัตว์อสูรขั้นที่ 3 ออกมา 1 เม็ด ก่อนที่จะกำลูกแก้วชีพจรโลหิตเม็ดนี้ไว้ในอุ้งมือ และค่อยๆหมุนเวียนกลยุทธุ์หยางของเขา
เมื่อพลังลมปราณเริ่มมีการเคลื่อนไหว หยางไค่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังที่บริสุทธุ์อย่างท่วมท้นได้ไหลผสานเข้าไปยังร่างกายภายในของเขา มันไหลเข้าสู่เส้นชีพจรลมปราณ โดยไม่หยุดที่จุดตันเถียน และถูกกระดูกทองคำดูดซับพลังเหล่านั้นในทันที
ยังมิทันที่จะหมุนเวียนกลยุทธุ์หยางของเขาจนเสร็จสิ้น ลูกแก้วชีพจรโลหิตเม็ดนี้พลันหายไปในทันที มันค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นพลังของตนเอง
หยางไค่ประหลาดใจ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะได้รับคำกล่าวอธิบายจากหลิงไท่ซู่ ว่าในสถานที่แห่งนี้จะสามารถดูดซับและหลอมละลายพลังแห่งลูกแก้วชีพจรโลหิตได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบที่จะตามมา แต่ไม่ว่าอย่างไร หยางไค่ไม่คิดว่ามันจะง่ายดายถึงขั้นนี้
พลังที่ซ่อนอยู่ในลูกแก้วชีพจรโลหิตบริสุทธุ์โดยปราศจากพลังอื่นๆที่เจือปน มันบริสุทธุ์ดั่งไข่มุกผลึกหยด ไม่จำเป็นที่จะหลอมละลายมัน เพียงดูดซับมันเข้าไปก็เพียงพอแล้ว
ไม่น่าแปลกที่หลิงไท่ซู่จะสรรเสริญลูกแก้วชีพจรโลหิตที่ก่อกำเนิดจาสถานที่แห่งนี้ หากมีลูกแก้วชีพจรโลหิตจำนวนมาก การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของตนเองจะพุ่งทะยานดั่งฝนดาวตก นอกจากการก้าวข้ามขนาดใหญ่ที่ต้องใช้การรับรู้ทางจิตวิญญานของตนเองเท่านั้น มันไม่สามารถขัดขวางการก้าวข้ามเขตแดนขนาดเล็กๆไปได้
หากผู้ฝึกยุทธุ์ที่เคยดูดซับพลังแห่งลูกแก้วชีพจรโลหิต พวกเขาจะไม่สามารถต้านทานพลังที่น่าหลงไหลเช่นนี้ได้ เพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เพื่อความก้าวหน้าแห่งเขตแดน พวกเขาจึงไม่มีทางที่จะละเว้นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์อสูร ในสายตาของผู้ฝึกยุทธุ์ที่แข็งแกร่ง มันเป็นเพียงลูกแก้วชีพจรโลหิตเพียง 1 เม็ดเท่านั้น
โอกาสที่จะดูดซับพลังที่ไม่ต้องกังวลสิ่งใดๆเป็นโอกาสที่หายาก ในโลกแห่งนี้นอกเสียงจากสถานที่ที่น่าอัศจรรย์แห่งนี้ที่สามารถก่อกำเนิดลูกแก้วชีพจรโลหิต ไม่มีสถานที่ใดที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้อีกเลย
หยางไค่สูดลมหายใจเข้า เขาตั้งจิตเอาไว้อย่างแน่วแน่ ก่อนจะนำลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้งหมดออกไป จากนั้นจึงเอาไว้ที่ฝ่ามือ และเริ่มหมุนเวียนกลยุทธุ์หยางอีกครั้ง
พลังที่บริสุทธุ์จำนวนมากมายมหาศาลได้หลั่งไหลเข้าสู่ฝ่ามือของเขา ในเวลาอันรวดเร็วมันทำให้เส้นชีพจรกระตุกไปมาอย่างรุนแรง พลังเหล่านี้ก่อกำเนิดจากลูกแก้วชีพจรโลหิตอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นมันจึงหลั่งไหล่ผสานเข้าสู่ร่างกายภายใน จากนั้นจึงถูกดูดซับโดยกระดูกทองคำ ความเร็วของมันรวดเร็วจนมิอาจที่จะอธิบาย
ลูกแก้วชีพจรโลหิตในฝ่ามือค่อยๆหายไปทีละลูก มันได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังของหยางไค่อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น หยางไค่รู้สึว่าตนเองเริ่มแข็งแกร่งทีละนิด นอกจากนั้นราวกับว่าเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 3 ของเขากำลังจะอิ่มตัวและกำลังจะบรรลุไปยังเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 4
เมื่อลูกแก้วชีพจรโลหิตในฝ่ามือเหลือเพียง 2 เม็ดสุดท้าย กลิ่นอายที่ไร้ซึ่งรูปร่างได้แพร่กระจายออกจากร่างกายของหยางไค่ พลังแห่งฟ้าดินที่อยู่รอบข้างๆ แปรเปลี่ยนเป็นความวุ่นวายในทันที
ในที่สุดเขาก็สามารถบรรลุไปยังเขตแดนทีสูงกว่า โดยสามารถก้าวไปยังเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 4 ได้อย่างง่ายดายโดยไร้ซึ่งอุปสรรค์ใดๆที่กีดขวาง
หยางไค่ไม่รู้สึกยินดีมาก สีหน้ายังคงเรียบเฉย ในใจของเขาสบทด่า แต่เขาไม่ได้หยุดนิ่ง เขารีบดูดซับลูกแก้วชีพจรโลหิตที่เหลือย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น ลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 เม็ดหายไปในทันที เหตุการณ์ในการก้าวข้ามเขตแดนเมื่อสักครู่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
หยางไค่ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขารีบหนีออกจากที่ซ่อนตัวของตนเองอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความลังเล
แม้ว่าตนเองจะทราบดีว่าการก้าวข้ามเขตแดนเมื่อสักครู่จะเปิดเผยปรากฏการณ์บางอย่าง แต่หยางไค่ไม่คิดว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือไม่
หากว่ามีใครอยู่ใกล้ๆบริเวณแห่งนั้น พวกเขาต้องสัมผัสถึงปรากฏการณ์ที่แปลงเปลี่ยนอย่างกะทันหันอย่างแน่นอน หากไม่หนีไปในตอนนี้ คงจะถูกเพ่งเล็งจากบุคคลอื่น
หยางไค่วิ่งออกไปกว่า 10 ลี้ ไม่เพียงไม่มีการหยุดพัก ลางสังหรณ์ความกระวนกระวายได้ก่อเกิดในหัวใจอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังเพ่งเล็งเขาและเฝ้าดูเขาตลอดเวลา แต่เมื่อเขาสังเกตุอย่างละเอียดกลับมองไม่เห็นร่องรอยอะไรทั้งสิ้น
ความรู้สึกนี้ค่อนข้างชัดเจน หยางไค่คาดว่าผู้ที่เฝ้าดูดเขาต้องมีการบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกว่าตนเองหลายขั้นอย่างแน่นอน จากความแข็งแกร่งของตนเองในตอนนี้จึงไม่สามารถค้นพบร่องรอยตำแหน่งของเขา หรือไม่ก็มีคนไล่ตามตนเองมาจากด้านหลัง แต่เขายังไล่ตามไม่ถึงเท่านั้น
การคาดเดาในความคิดสุดท้ายมีความเป็นไปได้มากที่สุด !! หากว่าตนเองถูกเพ่งเล็งจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ไม่มีเหตุผลที่เขาจะซ่อนตัวให้เสียเวลาเช่นนี้
นับว่าโชคดีหรือโชคร้าย !?
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งหนทาง หยางไค่รู้สึกว่าตนเองอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีทางที่เขาจะไม่สามารถก้าวข้ามเขตแดนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า จากการบ่มเพาะพลังแห่งเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 3 ในสถานที่แห่งนี้ ล้วนสามารถเกิดภัยอันตรายได้ทุกเวลา หากพบเจอกับยอดฝีมือที่แท้จริง คงไร้ซึ่งหนทางในการหลบหนี การบรรลุก้าวข้ามเขตแดนในทุกๆครั้ง ต้องเกิดปรากฏการณ์และการเคลื่อนไหวที่แพร่กระจายออกไป
เขาวิ่งออกไปอีกประมาณ 10 ลี้ ความรู้สึกที่ถูกเพ่งเล็งจับจ้องเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่กระดูกภายในร่างกายยังรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างน่าขนลุก
ทันใดนั้นการก้าวของหยางไค่ได้หยุดลงอย่างกะทันหัน สีหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนสีเขียวคล้ำอย่างน่าเกลียด
เขารู้สึกว่าด้านหน้าต้นไม้ขนาดใหญ่ มีพลังที่ผันผวนแพร่กระจายออกมา ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีเจตนาในการหลบซ่อนอีกต่อไป แต่เขาได้เปิดเผยเจตนารมณ์ของตนเองและรอตนเองอยู่ในจุดนั้น
เขาถูกคนผู้นี้อ้อมไปดักอยู่ด้านหน้า การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วอย่างยิ่ง !!
ผู้ที่มาเยือนไร้ซึ่งเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มีวันเข้ามาเยือน หยางไค่ไม่ทราบ่าตนเองพบเจอกับศิษย์สำนักไหน และไม่ทราบว่าฝ่ายตรงข้ามีความแข็งแกร่งในขั้นไหน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่เคลื่อนไหว
ฮึฮึฮึ.......... เสียงเยาะเย้นดังแว่วออกมา ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา
เมื่อจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขา หยางไค่มีความรู้สึกที่อยากจะกระอักโลหิตออกมา
เขาเป็นศิษย์จากสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจ !!
ศิษย์ที่มาจากสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจ ล้วนเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง 1 ใน 3 ของพวกเขาที่ชื่อว่าจิงฮ่าวได้แสดงเจตนาในการเป็นศัตรูต่อหยางไค่ถึงหลายครั้ง ส่วนศิษย์อีกคนเป็นศิษย์สาวกหญิง และผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือศิษย์คนที่ 3 จากสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจ
มันช่างเป็นความโชคร้ายของเขา ทำไมเขาต้องพบเจอกับศิษย์สาวกแห่งสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจนี้ด้วย ?
หากเป็นศิษย์สาวกจากสำนักอื่นๆ มีความเป็นไปได้ที่จะเจราจาต่อลอง แต่เมื่อเป็นศิษย์แห่งสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจ นั่นหมายความว่าเขาไร้ซึ่งความหวังที่จะเจรจาต่อรอง กุ๋ยหลี่เคยกล่าวแก่พยวกเขา ว่าต้องฆ่าหยางไค่ไห้ได้
เป็นธรรมดาที่หยางไค่จะต้องกำจัดพวกเขาเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่โอกาสที่อยู๋ตรงหน้าจะไม่ดีมาก ตนเองเพิ่งเข้ามาเพียงไม่กี่วัน เมื่อเขตแดนก้าวข้ามเพียง 1 เขตแดนขนาดเล็ก แต่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ เขาจะเอาชนะศิษย์แห่งสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจได้อย่างไร ?
1 ใน 3 ของศิษย์แห่งสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
ช่างเลวร้าย !
ฮ่าฮ่า ดูซิว่าคนคนนี้เป็นใคร !! ศิษย์แห่งสำนักทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจกล่าวด้วยความบังเอิญ ดวงตาของจ้องมองหยางไค่ด้วยความประหลาดใจ สีหน้าแสดงออกด้วยความดีใจและความพึงพอใจ : เป็นเด็กน้อยจากสำนักหลิงเซี่ยว มันช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ไม่ต้องเสียแรงในการค้นหาเลย
เห็นได้ชัดว่าเขาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่เขากำลังดักจับจะเป็นหยางไค่ นี้่เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดที่โชคดี
หยางไค่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เขียวคล้ำ เขาไม่กล้าที่จะอยู่นิ่งอีกต่อไป เขารีบวิ่งไปหลบซ่อนอยู่ด้านข้างและใช้การท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวในการหลบหนี
การใช้ท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวที่สร้างมันขึ้นด้วยตนเองเป็นความคิดที่ไม่เลว 1 เฮือกพลังลมปราณทำให้เขาสามารถวิ่งหนีห่างออกไปถึง 15 จ้าง และมากถึง 100 จ้าง และยังมีความรวดเร็วอย่งยิ่ง ผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนเดียวกันมิอาจที่จะไล่ตามเขาได้
แต่ท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวของหยางไค่ก็มีข้อบกพร่อง ด้านหลังของเขาราวกับมีเสียงร้องไห้ที่โหยวหวนไล่ตามเขามา และยังมีมือสีขาวซีดขนาดใหญ่ได้ขวาางทางของเขาเอาไว้
ฮ่าฮ่าฮ่า .เจ้าเด็กน้อยแห่งสำนักหลิงเซี่ยว พวกเราทั้งสองมีโชคชะตาซึ่งกันและกัน !! ในเสียงหัวเราะนั้น เงาร่างของจิงฮ่าวปรากฏตัวออกมา สีหน้าของเขาขาวซีดไร้ซึ่งสีสัน และยังมือที่ขาวซีดราวกับกรงเล็กขนาดใหญ่ของภูติผีพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยเจตนาแห่งการฆ่าที่รุนแรง
สีหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก เขายกมือและโจมตีออกไปด้วย หมัดเปลวเพลิงผลาญปฐพี
เมื่อหมัดและกรงเล็บปะทะกัน จิงฮ่าวสบทด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น เขาเคลื่อนไหวพลังลมปราณ นิ้วทั้ง 5 ราวกับกรงเล็บที่แหลมคม
ปังปังปัง !!! หยางไค่กระเด็นลอยออกไป ในขณะที่เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขาซีดขาวอย่างยิ่ง เขาพยายามที่จะยับยั้งโลหิตที่กำลังจะไหลออกมา ก่อนจะกระแทกลงไปที่พื้นดิน
การบ่มาเพาะพลังความแข็งแกร่งของหยางไค่น่าจะอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 4 ศิษย์แห่งสำนักทะเลสาปจักรพรรดิ์ปีศาจ จิงฮ่าวเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อพบเจอกับศัตรูเช่นนี้ หยางไค่มิอาจที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาได้
เมื่อกระแทกลงไปที่พื้นดิน ยังมิทันที่หยางไค่จะสูดลมหายใจเข้า ด้านหลังของเขามีกลิ่นอายแห่งเจตนาพุ่งพัดเข้ามา เขารีบหลบหนีอย่างรวดเร็ว ซวาก !! ด้านหลงของเขามีเสียงกรีดกรายกลางอากาศดังขึ้น มันทำให้เสื้อผ้าของหยางไค่ถูกฉีกจนขาดรุ่งริ่ง
ปฏิกิริยาตอบสนองที่ดี ! จิงฮ่าวไม่ได้ลงมือ แต่เขายืนและกอดอกเอาไว้ และจ้องมองหยางไค่ด้วยสยตาที่ล้อเลียน
ขณะที่หยางไค่กำลังหลบหนี เขาพบว่าศิษย์หญิงแห่งสำนักทะเลสาปจักรพรรดิ์ปีศาจได้ปรากฏตัว การลอบโจมตีจากด้านหลังเมื่อสักครู่ เป็นสตรีนางนี้
พวกเขาทั้ง 3 ร่วมมือกันโจมตีหยางไค่อย่างสมัคคี และล้อมรอบหยางไค่เอาไว้
พวกเขาทั้ง 3 มิใช่ศิษย์สาวกแห่งนิกายตำหนักสีทองที่มีความแข็งแกร่งในเขตแดนผสานลมปราณ หยางไค่สามารถฆ่าพวกเขาทั้ง 3 ได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้ง 3 คีนนี้ มันทำให้หยางไค่มิกล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย
เจ้าเด็กน้อย เจ้าอยากตายอย่างไร ? จิงฮ่าวกล่าวถามด้วยความได้ใจ ก่อนหน้าในการเดินทางในหุบเขาอเวจี เขาเกือบจะถูกฆ่าจากสัตว์อสูรเพราะหยางไค่ ดังนั้นเขาจึงเกลียชังหยางไค่เข้ากระดูก
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยถูกพวกเขาทั้ง 3 ล้อมเอาไว้ แม้จะมีปีกก็ยากที่จะหลบหนี เขาจึงไม่่รีบที่จะเอาชีวิตหยางไค่ ในบางครั้ง การทรมาณศัตรูให้ตายสะใจกว่าการฆ่าให้ตายในครั้งเดียว
ยูเฉินคุนกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : ศิษย์พี่ พวกเราตัดแขนขาทั้ง 4 ของเขาให้โลหิตของเขาไหลออกจากร่างกายจนหมดและค่อยๆตายอย่างช้าๆ ?
จิงฮ่าวส่ายหัวไปมา : ไม่ มันมีความเมตาเกินไป ข้าว่า หลอมละลายจิตวิญญานของเขาให้กลายเป็นทาสของภูติผี ทำให้เขาไม่มีวันที่จะได้เกิดใหม่ กลายเป็นทาสรับใช้ของสำนักทะเลสาปจักรพรรดิ์ปีศาจตลอดไป !!
ยูเฉินคุนขมวดคิ้วและกล่าว : เจ้าเด็กคนนี้มีความแข็งแกร่งที่ต่ำเกินไป แม้จะหลอมละลายกลายเป็นทาสของภูติผีก็คงไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่
พวกเขาทั้งสองพยายามที่จะกระตุ้นความเกรี้ยวโกรธของหยางไค่ แต่ศิษย์หญิงนางนั้นกล่าวด้วยรำคาญ : ฆ่าให้ตายไปเลย จะเสียเวลาทำอย่างนั้นไปทำไม ? ฆ่ามันแล้วเรายังจะได้รับลูกแก้วชีพโลหิตอีก 1 เม็ด
จิงฮ่าวและยูเฉินคุนหัวเราะพร้อมกัน : ศิษย์น้องกล่าวว่าจะฆ่า งั้นเราควรฆ่าเขา !
หลังจากที่กล่าวจบ จิงฮ่าวก้าวเดินไปหาหยางไค่ สีหน้าของเขาแสดงออกด้วยความโหดเหี้ยมและความต้องการฆ๋า : เจ้าเด็กน้อย เจ้าสามารถตายโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวดเป็นความโชคดีของเจ้า เมื่อไปถึงนรกอเวจีอย่าลืมขอบคุณข้าด้วยล่ะ
หยางไค่ยิ้มอย่างเยือกเย็น : เจ้าฆ่าข้าได้สักก่อน แล้วค่อยมากล่าวคำพูดที่โอ้อวดเช่นนี้ก็ยังไม่สาย !!
ระหว่างที่กล่าว ร่างกายของหยางไค่กระพริบไปมา เขาพุ่งไปยังศิษย์สาวกหญิงแห่งสำนักทะเลสาปจักรพรรดิ์ปีศาจ
เมื่อสักครู่หยางไค่สังเกตุนางเป็นเวลานาน และพบว่าในกลุ่มคนของพวกเขาทั้ง 3 นางเป็นผู้ที่มีการบ่มเพาะพลังที่ต่ำที่สุด แต่เพราะว่าจิตใจที่ชอบสิงที่งดงาม และฐานะของสตรีนางนั้นต้องสูงส่งอย่างแน่นอน มันจึงทำให้จิงฮ่าวและยูเฉินคุนเคารพนางอย่างมาก ดังนั้นสตรีนางนี้จะเป็นจุดอ่อนของพวกเขา
การที่หยางไค่ต้องการที่จะหลบหนีจากการรายล้อม การเปิดใช้เพลิงปีกอัคคีโลกันย์เป็นวิธีการที่ดีที่สุด แม้ว่าผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณจะสามารถบินบนกลางอากาศ แต่ไม่มีทางที่มันจะรวดเร็วไปกว่าเพลิงปีกอัคคีโลกันย์ของเขา แต่ในตอนนี้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายที่มากมาย การเปิดใช้เพลิงปีกอัคคีโลกันย์ จะเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ดังนั้นหากไม่จำเป็นจนไร้ซึ่งหนทาง หยางไค่ไม่ต้องการที่จะเปิดใช้เพลิงปีกอัคคีโลกันย์