ตอนที่ 218 ข้ามทะเลสาบ
ตอนที่ 218 ข้ามทะเลสาบ
ในเมื่อเจ้าเด็กคนนี้ไร้ซึ่งข้อคิดเห็น ศิษย์น้องโจวเชิญ !! หลิงไท่ซู่กล่าวตอบโจวเหวิน
โจวเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาโค้งคำนับหลิงไท่ซู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม : ขอบคุณศิษย์พี่หลิงมาก
ศิษย์น้องโจวไม่ต้องเกรงใจ หลิงไท่วู่พยักหน้าอย่างแผ่วเบา : พวกเรา 2 คนต้องขอบคุฯศิษย์น้องโจวที่มาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พวกเรา !!
ในความเป็นจริงการที่สำนักจันทราซ่อนเร้นเข้าสมทบกับพวกเขา มันเป็นผลดีสำหรับหลิงไท่ซู่และหยางไค่มากกว่า เพราะพวกเขาทั้งสองยึดตำแหน่งบริเวณทะเลสาบเป็นของตนเอง ในตอนนี้กลุ่มคนจากสำนักต่างๆเริ่มรวมตัวกันมากขึ้นมากขึ้น ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะสดุดสายตาของกลุ่มคนอื่นๆและถูกหาเรื่อง สุดท้ายพวกเขาจะถูกแย่งชิงตำแหน่งของพวกเขาไป
เมื่อกลุ่มคนของโจวเหวินเข้าร่วมกับพวกเขา พวกเขาเพียง 2 คนได้แปรเปลี่ยนเป็น 5 คนในทันที เมื่อมีการปกป้องจากผู้อาวุโสถึง 2 คน หากว่ากลุ่มคนอื่นๆต้องการที่จะหาเรื่องพวกเขาก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการโจมตีเสียก่อน
หลังจากที่โจวเหวินได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ เขาร้สึกโล่งอกอย่างสบายใจ และยังหัวเราะเสียงดังอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะกล่าวให้ศิษย์ทั้งสองของตนนั่งขัดสมาธิลง
หลิงไท่ซู่และโจวเหวินพบเจอกันเป็นครั้งแรก แต่พวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่ผ่านประสบการณ์มากมายมาย พวกเขาสนทนาเพียงชั่วครู่ ก็ทำให้พวกเขาคุ้นชินและเริ่มสนิทสนมกัน
การที่หลิงไท่ซู่ยอมช่วยเหลือโจวเหวิน ทำให้โจวเหวินพยายามตอบแทนหลิงไท่ซู่ ในขณะที่กล่าวสนทนาเขาจึงกล่าวเรื่องราวต่างๆในอดีตที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้
สิ่งที่โจวเหวินกล่าวล้วนเป็นสิ่งที่หลิงไท่ซู่ต้องการทราบ เพราะเขาเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว 50 ปีผ่านมาเขาไม่เคยรู้ว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป เขาจึงกระตือรือร้นที่จะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
โจวเหวินได้กล่าวอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้โดยไม่มีข้อยกเว้น
หยางไค่นั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างตั้งใจ
จากการสนทนาของพวกเขาทั้งสอง หยางไค่จึงรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ถูกค้นพนจากผู้ฝึกยุทธุ์ทีเดินทางไปยังหุบเขาอเวจีอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากเวลาที่ผ่านไป ผู้ที่ทราบเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมันจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่สำหรับผู้ที่รู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของสถานที่แห่งนี้จะไม่เปิดความลับของสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายสิบปี ผู้ที่ทราบการดำรงอยู่ของสถานที่แห่งนี้ก็มีไม่มาก
ในจุดนี้ ก็ยังเป็นเช่นนี้เสมอมา
มีสำนัก นิกาย พรรค ตระกูลที่มากมายในอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน ? แต่ในเวลานี้ทะเลสาปถูกล้อมรอบโดยกลุ่มคนจากสำนัก นิกาย พรรคต่างๆที่ไม่มาก ยังไม่ถึง 1 ใน 10 ส่วน หากว่าการดำรงอยู่ของสถานที่แห่งนี้รับรู้โดยผู้คนทั่วไป ในทุกๆ 10 สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นดินแดนแห่งการนองเลือดอย่างแน่นอน
ในความเป็นจริง สถานที่แห่งนี้ยังคงดำรงต่อไปด้วยความสงบ ไม่มีใครแย่งชิงตำแหน่งรอบทะเลสาบ แต่ก่อนหน้า 30 ปี หลังจากที่สถานที่แห่งนี้ถูกค้นพบ ผู้คนเริ่มรับรูถึงการดำรงอยู่ของสถานที่แห่งนี้ โจวเหวินถอนหายใจด้วยความอาลัย
และภายในสถานที่แห่งนั้นมีสิ่งใดที่แปรเปลี่ยนไป ? หลิงไท่ซู่กล่าวถามอย่างรอบคอบ
เพราะ 30 ปีที่แล้ว ศิษย์สาวกที่เข้าไปบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งแห่งนั้น ได้รับสมบัติวิเศษที่ล้ำค่า โจวเหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม สีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่กล่าวถึงตรงนี้ ในเขาได้หยุดพักสักครู่ ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วแล้วจึงกล่าวต่ออีกครั้ง : มีคนจากข้างหน้าได้รับหยดวารีเปลวเพลิง
สีหน้าของหลิงไท่ซู่ประกายด้วยความตื่นตะลึง : นั้นเป็นสมบัติขั้นสูงสุดที่สามารถช่วยเหลือพลังลมปราณของผู้ฝึกยุทธุ์แปรเปลี่ยนเป็นพลังลมปราณแท้จริงที่บริสุทธุ์ ?
โจวเหวินพยักหน้า : มันคือความจริง !!
เมื่อกล่าวถึงหยดวารีเปลวเพลิง เฉินเซี่ยซูและซู่เสี่ยวหยี่เริ่มหายใจอย่างหนักหน่วง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทราบดีว่าสมบัติชิ้นนี้ล้ำค่ามากแค่ไหน แต่สีหน้าของหยางไค่ค่อนข้างเรียบเฉย โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
โจวเหวินสังเกตปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของหยางไค่ เขาคิดในใจว่าเด็กคนนี้เป็นคนโง่เขลา มิเช่นนั้นทำไมเขาถึงไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ ?
แม้ว่าหยางไค่จะไม่เคยได้ยินเรื่องหยดวารีเปลวเพลิง แต่คำกล่าวที่ตื่นตะลึงของหลิงไท่ซู่ ทำให้เขาเข้าใจว่าสมบัติชิ้นนั้นล่ำค่ามากแค่ไหน
แต่........หยางไค่มีผลึกน้ำแข็งนพเก้า มันถูกผนึกอยู่ในกระดูกทองคำ ซึ่งต้องรอเพียงการบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขาบรรลุไปยังเขตแดนลมปราณลมปราณแท้จริงจึงจะสามารถดูดซับพลังของมันได้ มันจะช่วยให้พลังลมปราณของตนเองกลายเป็นพลังลมปราณแท้จริงที่บริสุทธุ์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจหยดวารีเปลวเพลิงนี้
สมบัติที่ล้ำค่า คนจำนวนมากมายต่างถวิลหาและแย่งชิง ในเมื่อตนเองมีผลึกน้ำแข็งนพเก้า ไม่จำเป็นที่เขาจะให้ความสำคัญกับหยดวารีเปลวเพลิง
โจวเหวินกระแอ่มเบาๆ และกล่าวต่อ : หากมันเป็นเพียงหยดวารีเปลวเพลิงเพียงอย่างเดียว มันไม่ทำให้ผู้คนบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้ แต่ว่าในครั้งที่มันถูกค้นพบ ไม่เพียงมีผู้คนได้รับหยดวารีเปลวเพลิงที่ล้ำค่า แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งได้รับ ผลึกชำระจิตวิญญาน !!
สีหน้าของหลิงไท่ซู่เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ทันใดนั้นหยางไค่ได้กล่าวออกมาด้วยความสงสัย : ผลึกผลาญวิญญาณคืออะไร ?
จวเหวินยิ้มอย่างแผวเบา เขากล่าวอธิบายอย่างละเอียด : หยดวารีเปลวเพลิงช่วยแปรเปลี่ยนพลังลมปราณของผู้ฝึกยุทธุ์กลายเป็นลมปราณแท้จริง ทำให้พลังลมปราณแท้จริงมีความบริสุทธุ์มากขึ้น แต่ว่าผลึกผลาญวิญญาณจะช่วยเปิดปราณจิตสัมผัสของผู้ฝึกยุทธุ์ มันเป็นสมบัติวิเศษที่ใช้สำหรับเขตแดนเทพสวรรค์ เมื่อเขตแดนเทพสวรรค์บรรลุไปยังเขตแดนเทพสวรรค์ หากมีการช่วยเหลือจากผลึกชำระจิตวิญญาน มันสามารถทำให้พวกเขาเปิดปราณจิตสัมผัสแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีสิ่งใดสามารถปิดกั้น หากผู้ที่อยู่ในเขตแดนเทพสวรรรค์กลืนกินมันเข้าไป เพียงแค่ผลึกชำระจิตวิญญานเพียงหยดเดียว จะทำให้ปราณจิตสัมผัสแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาขยายรัศมีเป็นวงกว้าง จิตวิญญาณของผู้นั้นจะแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถลดระยะเวลาในการฝึกฝนที่ยากลำบาก
หยางไค่พยักหน้าเล็กน้อย
หลิงไท่ซู่กล่าวตอบ : เป็นเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจถึงมีผู้คนมากมายเช่นนี้ !! แม้แต่ผู้ฝึกยุทธุ์รุ่นเยาว์แห่งเขตแดนผสานลมปราณยังเต็มใจที่จะกล้าเสี่ยงต่อการค้นหาสมบัติวิเศษนี้
50 ปีก่อน ไม่มีผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น หลิงไท่ซู่เริ่มตระหนักได้ว่าโลกนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เด็กรุ่นเยาว์ในตอนนี้มีจิตใจที่กล้าหาญ พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงอันตรายที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้
ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณมีเพียง 2 ภารกิจเท่านั้น ประการแรกคือการยกระดับความแข็งแกร่งแห่งเขตแดนของตนเอง ประการที่ 2 คือการเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพลังลมปราณให้กลายเป็นพลังลมปราณแท้จริงที่บริสุทธุ์ ดังนั้นหยดวารีเปลวเพลิงจึงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ดึงดูดความต้องการของผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณ
ในทำนองเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงมีภารกิจ 2 ประการเช่นกัน ประการแรกคือการยกระดับความแข็งแกร่งแห่งเขตแดนของตนเอง ประการที่ 2 เตรียมพร้อมเพื่อเปิดปราณจิตสัมผัสแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นหยดวารีเปลวเพลิงหรือผลึกชำระจิตวิญญาณ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ
มันจึงทำให้เกิดเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนที่มากมายเช่นนี้
ในตอนนี้สายตาของหยางไค่เริ่มประกายด้วยความปรารถนา
เขาไม่สนใจหยดวารีเปลวเพลิง แต่เขาสนใจผลึกชำระจิตวิญญาณ มารปฐพีเคยกล่าวไว้ ดอกบัวจิตเทพสวรรค์ของเขาต้องดูดซับสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินเพื่อหล่อเลี้ยงให้มันเติบโตกลายเป็นดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์สีรุ้ง เห็นได้ชัดว่าผลึกชำระจิตวิญญาณเป็น 1 ในสมบัติประเภทนั้น นอกจากนั้นคุณสมบัติของมันยังน่าอัศจรรย์อย่างไม่ต้องกล่าวถึง
หากเขาสามารถเก็บเกี่ยวมัน มันจะส่งผลดีต่อดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ของตนเอง
หลังจากที่กล่าวจบ ผู้อาวุโสทั้งสองกล่าวสนทนาอย่างเรื่อยเปื่อย เด็กรุ่นเยาว์ทั้ง 3 ต่างสนทนาไปมาเพื่อฆ่าเวลา เฉินเซี่ยซูและซู่เสี่ยวหยี่ค่อนข้างสนิทสนมกัน เพราะพวกเขามาจากสถานที่เดียวกัน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นคู่รักกัน ดวงตาที่สบตาหวานซึ้งอย่างหยดย้อยสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน
ราวกับว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงความอึดอัดของหยางไค่ เฉินเซี่ยซู่จึงยิ้มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกล่าวถาม : ไม่ทราบว่าศิษย์น้องท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ?
หยางไค่ยิ้มอย่างแผ่วเบา : ข้าแซ่หยาง !!
หยาง............ คิ้วของเฉินเซี่ยซู่กระตุกไป เห็นได้ชัดว่าเขาคิดถึงตระกูลหยางในเมืองหลวง แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เขาจึงไม่ได้สนใจ
ศิษย์น้องหยางดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้จักสถานที่แห่งนี้มากเท่าไหร่ เฉินซู่เซี่ยตั้งใจที่จะสร้างความสัมพันธุ์ เขาจึงหาเรื่องในการสนทนา
อืม ข้าถูกพามาที่นี้อย่างกะทันหัน โดยไม่มีคำกล่าวอธิบายมาก หยางไค่พยักหน้าเบาๆ "
ซู่เสี่ยวหยี่หัวเราะคิกคัก : ผู้อาวุโสของเจ้าอยู่ข้างๆ ระวังว่าเขาจะลงโทษเจ้า
เฉินเซี่ยซู่หัวเราะเช่นกัน : หากศิษย์น้องหยางไค่ไม่รังเกียจ หากมีสิ่งใดจะกล่าวถาม ข้าสามารถตอบคำถามเหล่านี้แก่เจ้าได้
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หยางไค่จึงมีบางคำถามที่อยากกล่าวถามเขา
ทำไมกลุ่มคนเหล่านี้ถึงแยกจากกันด้วยระยะทางที่เท่าเทียมกัน? มีกฎข้อห้ามหรือข้อบังคับที่ทำให้พวกเขาต้องเลือกตำแหน่งเหล่านั้นหรือไม่ ?
เฉินเซี่ยซูกล่าว : คำถามข้อนี้ ข้าจะกล่าวอธิบายให้เจ้าอย่างละเอียด
หลังจากที่กล่าวจบเขาได้ลุกยืนขึ้นและเดินไปที่ริมทะเลสาบก่อนจะกวักมือเรียกหยางไค่ เขาชี้ไปยังด้านล่างและกล่าว : ศิษย์น้องจงดู
หยางไค่มองไปยังทิศทางที่เขาชี้ไป ทันใดนั้นหยางไค่ประหลาดใจอย่างกะทันหันเพราะเขามองเห็นดอกแหนสีเขียวมรกต แต่ว่าดอกแหนสีเขียวมรกตเหล่านี้แตกต่างจากดอกแหนทั่วๆไ มันขนาดเท่าฝ่ามือ สีเขียวมรกตของมันสว่างใสจนมองเห็นรูปแบบภายในของมันอย่างชัดเจน
บริเวณที่มีดอกแหน เป็นบริเวณที่พวกเขาจะเลือก
หยางไค่เงยหน้าสังเกต และพบว่ามันเป็นเช่นนั้น ด้านหน้าของกลุ่มคนต่างๆ จะมีดอกแหนขนาดเล็ก
ศิษย์น้องหยางอย่างดูถูกดอกแหนเหล่านี้ มันเป็นเรือที่จะพาพวกเราไปยังสถานที่แห่งนั้น เฉินเซี่ยซู่กล่าวต่อ : ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น ต้องเหยียบย่ำดอกแหนเหล่านี้จึงเข้าไปได้ หากไร้ซึ่งดอกแหนเหล่านี้ แม้ว่าจะความแข็งแกร่งจะสูงส่งมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าไปได้ นอกจากนั้น ทะเลสาบนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ในน่านน้ำของทะเลสาบไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเหินบิน ดอกแหนจะไม่ยอมรับยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ ดังนั้นการบ่มเพาะพลังของผู้ฝึกยุทธุ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดที่สามารถเดินทางเข้าไปภายใน คือเขตแดนลมปราณแท้จริงเท่านั้น
หยางไค่เริ่มเข้าใจ เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ สีหน้าจริงจังค่อยๆผ่อนคลาย การมาของเฉินเซี่ยซู่ทำให้เขาเข้าใจรายละเอียดของสถานที่แห่งนี้ ในบางครั้งซู่เสี่ยวหยี่จะกล่าวแทรกเข้ามา ทำให้บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความสนิทสนม
เรื่องนี้ดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด สีหน้าของโจวเหวินแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมในทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม : กำลังจะเริ่มต้น
ทันทีที่เขากล่าวจบ กลุ่มคนรอบๆบริเวณทะเลสาบเริ่มมีขยับเคลื่อนไหว ทันใดนั้นคลื่นแสงนับพันหมื่นแสงได้พุ่งมาออกมาจากทะเลสาป ทำให้ทะเลสาบสว่างไหวด้วยแสงที่สุกใน ก่อกเกิดเป็นภาพที่งดงามอย่างสุดซึ้ง
ทันใดนั้น กลิ่นอายที่แปลกประหลาดได้แพร่สะพัดออกมา แม้จะเป็นยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์เมื่อพวกเขาได้กลิ่นอายเช่นนี้ ราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถทนได้ พวกเขาทุกคนพยายามดิ้นรน สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่พวกเขาจะหมุนเวียนพลังเพื่อต่อต้าน
ดอกแหนที่อยู่ในทะเลสาบเริ่มเคลื่อนไหว พวกมันได้ขยายาใหญ่ขึ้นประมาณ 1 จ้าง ก่อนที่จะหยุดเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ "
เมื่อดอกแหนเหล่านั้นหยุดนิ่ง หลิงไท่ซู่และโจวเหวินได้กล่าวตะโกนอย่างแผ่วเบา : ขึ้นไป !!
หยางไค่และศิษย์ทั้งสองจากสำนักจันทราซ่อนเร้นมิได้ลังเล พวกเขากระโดดขึ้นไปยังดอกแหนเหล่านี้ทันที
ไม่แปลกใจที่โจวเหวินเคยกล่าวว่า มีศิษย์สาวก 4 คนที่สามารถข้ามทะเลสาบแห่งนี้ไป มันเป็นจริงอย่างที่เขากล่าว ในตอนนี้เมื่อพวกเขาทั้ง 3 ยืนอยู่บนดอกแหนที่เสมือนเรือของพวกเขา มันยังเหลือพื้นที่ว่างอีก 1 ตำแหน่ง หากมีคนอีกคนหนึ่งขึ้นมา ตำแหน่งของมันเต็มในทันที
โจวเหวินกล่าวเตือนศิษย์สาวกทั้งสองด้วยความเคร่งขรคม ว่าพวกเขาต้องระมัดระวัง อย่าเผชิญหน้าหรือแย่งชิงกับผู้อื่น พวกเขาทั้งสองต่างพยักหน้าตอบกลับ
หลิงไท่ซู่กล่าวเตือนหยางไค่เช่นเดียวกัน : หากใครมีเจตนาร้ายต่อเจ้า ให้ข้าคนผู้นั้นทันที อย่าเมตรใครทั้งสิ้น แต่เจ้าก็อย่าริเริ่มที่จะกระต้นให้ใครเคืองโกรธ
อืม หยางไค่พยักหน้า
ใช่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลถึงสมบัติและสิ่งของที่อยู่ในจวนถ้ำของเจ้า ข้าจะช่วยแลมันเอง ส่วนแม่นางน้อยซู่เหยียน ข้าก็จะช่วยเจ้าดูแลนางด้วย
ใบหน้าของหยางไค่แดงก่ำในทันที เขาไม่คิดว่าหลิงไท่ซู่จะทราบเรื่องระหว่างเขาและซู่เหยียน
บนดอกแหนนั้น ซูเสี่ยวหยี่จ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ก่อนจะยิ้มอย่างแผ่วเบา
หลังจากที่ผ่านไปสักครู่ ดอกแหนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาเริ่มมีการเคลื่อนไหว ราวกับมันเป็นเรือขนาดใหญ่ที่ทนต่อคลื่นแห่งทะเลสาบ มันได้นำพาพวกเขา 3 คนไปยังกลางทะเลสาบ โดยเพิ่มความเร็วมากขึ้นมากขึ้น
เมื่อจ้องมองออกไป รอบๆบริเวณเต้มไปด้วยดอกแหน บนดอกแหนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ผู้ฝึกยุทธุ์บางคนกำลังยิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ หยางไค่จ้องมองไปยังกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง คนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนมีแววตาที่ดุดัน ราวกับสัตว์เดรฉานที่โหดเหี้ยม หยางไค่มองเห็นคนแห่งทะเลสาบจักรพรรดิปีศาจ จิงฮ่าวแสดงท่าทางกรีดนิ้วไปทีลำคอให้แก่หยางไค่อีกครั้ง
ในขณะที่ดอกแหนกำลังพุ่งเข้าไป ทะเลสาบได้เกิดน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นอย่างกะทันหัน กลุ่มคคนที่ยืนนิ่งอยู่บนดอกแหนต่างเตีรยมพร้อมที่จะเข้าไปยังน้ำวนแห่งนั้น
เสียงร้องด้วยความตื่นตกใจดังขึ้น แต่มันได้หายไปอย่างรวดเร็ว รอบบริเวณเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อหยางไค่ฟื้นคืนสติขึ้นมา เขาพบว่าตนเองได้มาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน