ตอนที่ 214 แผนการของหลิงไท่ซู่
ตอนที่ 214 แผนการของหลิงไท่ซู่
เริ่มกันเถอะ !! หลิ่งไท่ซู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม จากนั้นจึงเริ่มหมุนเวียนพลังลมปราณแท้จริง ก่อนจะพุ่งฝ่ามือไปยังกำแพงหินที่อยู่ตรงหน้า
เม้งวู่หยาพุ่งฝ่ามือและถ่ายทอดพลังลมปราณออกไปเช่นเดียวกัน
ยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ขั้นสูงสุดทั้ง 2 ถ่ายทอดพลังลมปราณดั่งน้ำที่ไหลทะลักออกไป พลังลมปราณแท้จริงต่างไหลเข้าสู่กำแพงหินอย่างรวดเร็ว
กำแพงหินที่ดูเหมือนกำแพงทั่วๆไป ได้แปรเปลี่ยนหลุมลึกที่ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด เมื่อพลังลมปราณถูกถ่ายทอดเข้าไป มันไม่สั่นไหวแม้แต่น้อยแต่กลับพลันหายไปในทันที
หยางไค่ยืนมองอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด หัวใจของเขาสั่นไหวราวกับระลอกคลื่นที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
กำแพงหินนี้ต้องซ่อนเร้นความลึกลับและความน่าอัศจรรย์บางอย่างเอาไว้ มิเช่นนั้นมันคงไม่แปลกประหลาดเช่นนี้ นอกจากนั้นกำแพงหินยังอยู่ในคุกคุมขังมังกร ไม่แน่ว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุกคุมขังมังกร
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน หน้าผากของพวกเขาทั้งสองไม่ว่าจะเป็นหลิงไท่ซู่หรือเม้งวู่หยาเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อที่มากมาย แต่พวกเขายังถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริงออกไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อพวกเขาถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริงเป็นเวลานาน มันก็ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาทั้งสองเช่นเดียวกัน
ศิษย์พี่หลิง เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม ? เม้งวู่หยาขมวดคิ้วและกล่าวถาม
ใช่ เป็นสถานที่แห่งนี้ หลิงไท่ซู่กล่าวด้วยความมั่นใจ
เมื่อผ่านไปอีกสักครู่ ในที่สุดกำแพงหินนั้นเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง กำแพงหินที่ดูสามัญทั่วไป ได้มีแสงสีดำทะมึนประกายขึ้น แสงสีดำทะมึนค่อยๆประกายออกมาจากจุกึ่งกลางของกำแพงหิน ก่อนะที่มีจะแผ่คลื่นแสงออกไปรอบบริเวณทั้ง 4 ทิศทาง
เมื่อหลิงไท่ซู่และเม้งวู่หยามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาทวีถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริงออกไปอย่างต่อเนื่อง
ระลอกคลื่นสีดำเริ่มขยายวงกลาง มันเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทะเลสาปที่นิ่งสงบซึ่งกำลังถูกก้อนหินจำนวนมากมายถล่มลงไป จนสุดท้าย แสงสีดำทะมึนยังคงเปล่งประกายเป็นระลอกๆคลื่นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้กำแพงหินที่อยู่ตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความน่าหวาดกลัว
ดวงตาของเม้งวู่หยาเป็นประกาย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตะลึง : สมแล้วที่เป็นห้วงมิติเชื่อมต่อเส้นทางของสองสถานที่เอาไว้ด้วยกัน ศิษย์พี่หลิง บรรพบุรุษที่ก่อตั้งสำนักหลิงเซี่ยวของเจ้าต้องแข็งแกร่งอย่างสุดซึ้ง !!
หลิงไท่ซู่ยิ้มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดึงมือกลับมา
เม้งวู่หยารีบถอยกลับออกมาเช่นเดียวกัน
แม้ว่าทั้งสองจะหยุดการถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริง แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกำแพงหินยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่หยุด ผ่านไปสักครู๋ ระลอกของคลื่นแสงสีได้แปรเปลี่ยนรูปร่าง คลื่นแสงสีดำทะมึนค่อยๆแผ่แพร่กระจายออกไปด้านข้างอย่างรุนแรง จนเผยให้เห็นปากถ้ำที่มืดมิดบนกำแพงหินนั้น
เมื่อจ้องมองไปยังกำแพงหินที่ปรากฏขึ้น หยางไค่รู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขากำลังจะถูกดูดซึมเข้าไป มันก่อให้เกิดความรู้สึกที่มึนงงและสับสนอย่างน่าประหลาด
เม้งวู่หยายิ้มอย่างมีความสุข เขาจ้องมองหยางไค่ และตบไปที่ไหล่ของเขาเบาๆ ใบหน้าของเขาแสดงออกราวกับไม่เต็มใจ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา : หยางไค่น้อย เจ้าต้องดูแลตัวเอง !!
หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น พฤติกรรมที่แสดงออกของเม้งวู่หยาในวันนี้ค่อนข้างสนิทสนมอย่างยิ่ง
ในวันที่ข้าไม่อยู่ ข้าฝากให้เจ้าดูแลสำนักหลิงเซี่ยวแทนข้าด้วย หลิงไท่ซู่กล่าวย้ำ ก่อนที่เขาจะพาหยางไค่พุ่งเข้าไปยังปากถ้ำสีดำทะมึนนั้น
ก่อนเจ้าพุ่งเข้าไปในถ้ำ หยางไค่หันหลังกลับไปมอง ซึ่งพบเห็นเม้งวู่หยาส่งรอยยิ้มที่หวานยิ่งกว่าบุพผาที่งดงาม เขายังโบกมืออำลาด้วยความสนิทสนม
หลังจากที่เงาร่างของหลิงไท่ซู่และหยางไค่หายไปในปากถ้ำสีดำทะมึน ปากถ้ำสีดำทะมึนที่ปรากฏอยู่บนกำแพงหินพลันหายไปในทันทีเช่นเดียวกัน มันได้กลับคืนสู่สภาพเดิมของมันอีกครั้ง
เม้งวู่หยาเช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก เขายังยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม หลังจากนั้นจึงเงยหน้าหัวเราะอย่างสะใจ
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
เสียงหัวเราะของเขาสะเทือนฟ้าสะเทือนดินสะเทือนจิตวิญญาณ มันสะเทือนจนทำให้ศิษย์สาวกแห่งสำนักหลิงเซี่ยวต้องตื่นจากการฝึกฝนวิชายุทธุ์ และยังทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทาจากเสียงหัวเราะที่แพร่ะสะพัดไปทั่ว
สวรรค์เมตตา ในที่สุดเขาได้ส่งเจ้าเด็กหนุ่มนั้นออกไปยังสถานที่ห่างไกล หลังจากนี้คงไม่ไม่ใครไม่มีใครมาสร้างความวุ่นวายในจิตใจให้แก่ศิษย์รักของตนเอง อืม ! แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กหนุ่มจะกลับมาตอนไหน อย่างน้อยที่สุดน่าจะประมาณ 1 ปี ? ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ไม่แน่ว่าศิษย์รักของตนเองอาจจะลืมเขาไปจากหัวใจ
เมื่อไร้ซึ่งสีที่รบกวนจิตใจ การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของศิษย์รักจะทวีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นางต้องเติบโตก้าวหน้าอย่างสง่างามอย่างแน่นอน
เมื่อครุ่นคิดไปมา เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ายินดี เม้งวู่หยาจึงหัวเราะออกมาอย่างเสียงดังอีกครั้ง
หลังจากที่หลิงไท่ซู่เข้าสู่ถ้ำสีดำทะมึนแห่งนั้น รอบบริเวณแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนวุ่นวายในทันที ในระยะเวลาไม่ถึง 3 ลมหายใจ หยางไค่รู้สึกแสงสว่างได้แยงตาของเขา จนดวงตาของเขาพร่ามัว แต่ทันใดนั้นเขาและอาจารย์ปู่ของเขาได้ปรากฏในดินแดนแห่งหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ
หลิงไท่ซู่มองไปรอบๆบริเวณ หลังจากนั้นเขาได้บินไปยังทิศทางหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเขาค้นพบสถานที่หลบซ่อน เขาจึงปล่อยหยางไค่ลงและกล่าว : ปกป้องข้าด้วย ข้าจะฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งสักครู่
หยางไค่พยักหน้า การถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริงเมื่อสักครู่ คงทำให้อาจารย์ปู่อ่อนแอลงอย่างมาก
หลิงไท่ซู่นำโอสถฟื้นฟูพลังลมปราณออกมาและกลืนมันเข้าไป เขานั่งสมาธิเป็นเวลากว่า 2 ชั่วยาม ก่อนจะลุกขึ้นอย่างช้าๆ เขาไม่กล่าวสิ่งใด แต่พาหยางไค่บินไปยังทิศทางด้านหน้า
มีผู้พาตนเองเหินบินในอากาศกับการบินด้วยตนเองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลิงไท่ซู่ได้ใช้พลังลมปราณแท้จริงส่วนหนึ่งปกป้องหยางไค่เอาไว้ จึงทำให้เขาไม่ถูกแรงของสายลมกระแทกใส่ร่างกายของเขา
อาจารย์ปู๋ ปากถ้ำสีดำทะมึนที่ปรากฏอยู่เบื้องล่างของคุกคุมขังมังกรคือสิ่งใด ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัย
เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษแห่งสำนักหลิงเซี่ยวทิ้งเอาไว้ มันคือห้วงมิติเชื่อมต่อเส้นทางของสองสถานที่เอาไว้ด้วยกัน เจ้าจะสามารถออกจากสำนักหลิงเซี่ยวและไปยังอีกสถานที่ได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจมันมากเท่าใด เพราะพลังความแข็งแกร่งของข้าเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษ มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวที่ห่างชั้นกันอย่างยิ่ง
แล้วเมื่อเราข้ามไปไกลแค่ไหนกัน? สีหน้าของหยางไค่ตกตะบึง เขาไม่คาดคิดว่าในโลกแห่งนี้จะมีห้วงมิติที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้
ประมาณหมื่นลี้ หลิงไท่ซู่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
หยางไค่สูดลมหายใจที่เย็นเยือกเข้าไป ตั้งแต่ที่หลิงไท่ซู่และเม้งวู่หยาเริ่มถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริงไปยังกำแพงหินนั้น จนกระทั่งพวกเขาทั้งสองจากมา ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ ระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วยามแต่พวกเขากลับเดินข้ามระยะทางกว่าหมื่นลี้ เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไกลกว่าการคาดคิด มันเป็นดั่งความฝันที่ไม่เป็นความจริง
ความแข็งแกร่งทางจิตใจของหยางไค่ไมเลว เมื่อพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึงเช่นนี้ สีหน้าที่ตื่นตะลึงของเขาได้กลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว
เจ้าไม่ถามข้าสักหน่อยว่าข้ากำลังพาเจ้าไปสถานที่ใด ? หลิงไท่ซู่เหลือบมองหยางไค่
หากอาจารย์ปู่อยากให้ข้ารู้ อาจารย์ปู่จะกล่าวออกมาเอง ไม่ว่าอย่างไรอาจารย์ปู่ไม่ทางที่ทำร้ายข้า
เจ้าคิดได้อย่างชาญฉลาด หลิงไท่ซู่ยังคงหัวเราะอย่างอ่อนโยน ดวงตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนความลึกซึ้งที่กำลังใคร่ครวญคิดอีกครั้ง : ข้าจะส่งเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ในสถานที่แห่งนั้น การฆ่าสังหารเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้เหตุผลไม่ต้องใช้ข้ออ้าง ผู้แข็งแกร่งจะเป็นผู้ที่ถูกเคารพยกย่อง ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะโดดเด่นและมีอำนาจที่มากมาย เจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดี
หยางไค่กล่าวถามด้วยความตื่นตกใจและสงสัยอย่างยิ่ง : ไปที่นั่นเพื่ออะไร ?
ฝึกฝน บ่มเพาะ ให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เดินทางเข้าสู่เส้นทางการต่อสู้แหงจอมราชันย์ หลิงไท่ซู่ถอนหายใจอย่างลึกซึ้ง : หากเจ้าไม่อยากไป ข้าจะพาเจ้ากลับไปในตอนนี้
ไป ข้าต้องไป หยางไค่ได้ยินกว่าฝึกฝน บ่มเพาะพลังให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง
ความรู้สึกของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นในทันที การต้องการครอบตรองพลังความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธุ์ทุกคนต่าง่ต้องการ มีเพียงการกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง จึงไมถูกผู้อื่นดูหมิ่นเหยียดหยามรังแก มีเพียงการฝึกตนให้เป็นผู้แข็งแกร่ง จึงจะสามารถท่องอยู่ในยุทธภพได้อย่างยาวไกล และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุขได้
แม้เจ้าต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจถึงชีวิต เจ้าก็ยังยืนกรานที่จะไป ? มุมปากของหลิงไท่ซู่เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ปลอบโยน
แน่นอน ข้าต้องไป
ฮ่าฮ่าฮ่า !!เจ้าและบิดาของเจ้ามีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสินเชิง !! ในตอนนั้นข้าก็เคยกล่าวถามคำถามเช่นนี้กับข้า เจ้าเดาสิ ว่าบิดาของเจ้าตอบข้าว่าอย่างไร ?
หยางไค่ครุ่นคิดไปมา เขาเลียนแบบสุ้มเสียงที่ซื่อตรงของบิด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนาทุ้ม : ข้าไม่ต้องการที่จะฆ่าคน ข้าไม่ไป !!
หลิงไท่ซู่อึ้งกับคำตอบ เขาหัวเราะอย่างเสียงดัง : ถูกต้องทุกคำพูด !! ว่ากันว่าบิดาและบุตรชายจะมีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ดูเหมือนว่าเจ้าก็คล้ายเขาอยู่เหมือนกัน
ไม่ต้องการฆ่าคน ท้ายที่สุดมันจะเป็นภัยอันตรายให้แก่ตนเอง !!คนแห่งตระกูลหยางของพวกเจ้ามีความสัมพันธุ์ที่จืดจางซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างทำตัวราวกับหมาป่าและพยัคฆ์ร้าย ไม่มีวันที่จะแข็งแกร่ง แม้ว่าจะกลับไปยังตระกูลหยางพวกเจ้าก็จะถูกรังแก่จากผู้อื่น
ในเวลานี้กลิ่นอายแห่งมารโลหิตที่กระหายโลหิตของหยางไค่ค่อนข้างรุนแรง หากเขาไร้ซึ่งความสามารถและความแข็งแกร่งที่จะปกป้องตนเองและคนใกล้ชิดของตนเอง ในวันข้างหน้าพวกเขาจะต้องพบเจอกับการดูหมิ่นเหยียดหยามและรังแก โดยไร้ซึ่งพลังอำนาจในการต่อต้าน แล้วสักวันจิตใจของเขาจะถูกกลิ่นอายนั้นรบกวนจิตใจจนมิอาจที่จะต้านทานได้อีกต่อไป
หากในอนาคตจะเขาจะต้องเดินทางเข้าสู่เส้นทางมารปีศาจ และจะกลายเป็นศัตรูของโลกใบนี้ การวางมือในตอนนี้เป็นสิ่งที่ดีกว่า !! เจ้าศิษย์คนโต อย่าตำหนิว่าใจคอของข้าโหดเหี้ยม ที่พาเขามาโดยไม่กล่าวบอกแก่เจ้า มันเป็นเพราะนิสัยของเจ้า ข้ารู้ดีว่าหากข้ากล่าวบอกแก่เจ้า ไม่มีทางที่เจ้าจะเห็นด้วย
อาจารย์ปู่ พวกเรากำลังไปยังดินแดนแห่งหนใด ? หยางไค่กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
ไม่ใช่พวกเรา เป็นเจ้าเพียงคนเดียว ข้ารับผิดชอบในการส่งเจ้ามาเท่านั้น สถานที่แห่งนั้นเจ้าคงเคยได้ยินชื่อของมัน หุบเขาอเวจี !!
รอยยิ้มของหยางไค่แข็งทื่อในทันที สีหน้าของเขาแสดงออกด้วยความบูดเบี้ยวโดยมิอาจควบคุมได้ หลังจากที่ผ่านไปสักครู่เขาจึงกล่าวด้วยความสังสัยอีกครั้ง : อาจารย์ปู่ หุบเขาอเวจีที่ท่านกล่าวถึง คงไม่ได้หมายถึงหุบเขาอเวจีนั่น
"ใช่ !!"
สีหน้าของหยางไค่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความบูดเบี้ยวมากขึ้น
หุบเขาอเวจี มีชื่อเสียงที่กว้างไกลในใต้หล้า มันเต็มไปด้วยชื่อเสียงแห่งความดุร้ายและฉาวโฉ่ เพราะมันขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม สำหรับผู้ฝึกยุทธุ์ทุกคนแล้วมันก็คือสถานที่ต้องห้าม ผู้ที่ย่างกรายเข้าไปจะพบเจอกับความตายเท่านั้น ไม่มีใครที่จะสามารถมีชิวิตรอดออกมาได้
แน่นอน ว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วดินแดนทั่วทุกอาณาจักร แต่สิ่งที่มิอาจที่จะไม่ยอมรับ นั้นก็คือหุบเขาอเวจีเต็มไปด้วยภัยอันตรายที่หนักหนาสาหัส เมื่อเทียบกับเทือกเขาวายุทะมึนที่อยู่ใกล้กับสำนักหลิงเซี่ยวแล้วนั้น ภัยอันตรายนั้นหนักหนาสาหันยิ่งกว่านั้นถึงหลายสิบเท่า
ในเทือกเขาวายุทะมึน ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงสามารถเดินทางเข้าออกโดยไร้ซึ่งอันตรายที่จะเกิดขึ้น นอกเสียจากจะโชคร้ายพบเจอกับสัตว์อสูรที่โหดเหี้ยม แต่หุบเขาอเวจี แม้ว่าผู้ที่ย่างกรายเข้าไปจะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนเทพสวรรค์ก็อยากที่จะหนีออกมาโดยยังมีลมหายใจ ความแตกต่างระหว่างภัยอันตรายของทั้งสองสถานที่ต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เพราะมันเต็มไปด้วยภัยอันตรายที่หนักหนาสาหัส มันจึงถูกขนานนามว่าสถานที่ต้องห้าม สถานที่ต้องห้ามเช่นนี้ ในอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่มันดำรงอยู่เพียงที่เดียวเท่านั้น
แต่ในโลกกว้างใหญ่ไพศาล ในดินแดนอาณาจักรอื่นๆล้วนเต็มไปด้วยสถานที่ต้องห้ามเฉกเช่นหุบเขาอเวจี หยางไค่เคยได้ยินเรื่องราวว่า ในราชวงศ์ฮั่นอันยิ่งใหญ่มีสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งที่เรียกว่าสถานที่ต้องห้ามแห่งการทำลาย มันเต็มไปด้วยภัยอันตรายที่หนักหนาสาหัสและรุนแรงยิ่งกว่าหบุเขาอเวจีถึงหลายขุม
ในสถานที่ต้องห้าม เต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่แปลกประหลาดอย่างมากมาย ในป่าของสถานที่แห่งนั้นยังซ่อนเร้นภัยอันตรายที่มิอาจคาดเดา การเข้าไปยังสถานที่เช่นนั้น เป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
แต่หยางไค่คิดว่าหลิงไท่ซู่คงมีการวางแผนเอาไว้แล้ว แม้ว่าสีหน้าของตนเองจะเปลี่ยนแปลงอย่างมากแต่เขาไม่กล้าที่จะเสียมารยาท
มันเป็นความจริงที่หลิงไท่ซู่กำลังตรวจสอบปฏิกิริยาตอบสนองของหยางไค่ หลังจากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พอใจ : พวกเราจะไม่ย่างกรายเข้าไปยังหุบเขาอเวจี พวกเราจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากหุบเขาอเวจี 500 ลี้ บริเวณนั้นมีสถานที่แห่งหนึ่งที่น่าอัศจรรย์ มันเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ฝึกยุทธุ์บ่มเพาะพลังความแข้งแกร่งของผู้ฝึกยุทธุ์เช่นเจ้า
สถานที่แห่งนั้นเป็นเช่นไร ? หยางไค่กล่าวถาม
มันยากที่จะอธิบาย แต่มันเป็นสถานที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ในตอนนั้นอาจาย์ของข้าก็ได้พาข้าไปฝึกยุทธุ์อยู่ในสถานที่แห่งนั้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงทราบถึงการดำรงอยู่ของมัน หลายปีที่ผ่านมา ข้าต้องการที่จะส่งบิดาของเจ้าไป แต่ถูกเขาปฏิเสธ จนมาถึงรุ่นของเจ้า
การดำรงอยู่ของสถานที่แห่งนั้นมีผู้ที่ทราบเพียงไม่กี่คน ในตอนนี้เวลาได้ผ่านมาหลายปี คงมีผู้คนชิงเข้าไปก่อนแล้ว ยังไม่แน่ว่าพวกเราจะสามารถแย่งชิงสถานที่ฝึกยุทธุ์ได้หรือไม่ แต่หากสามารถเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างราบรื่น เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี ผู้คนที่ปรากฏอยู่ในสถานที่แห่งนั้น เป็นศัตรูของเจ้าทั้งหมด !! ไม่ว่าอย่าไร เจ้าห้ามวางใจหรือเชื่อใจใครแม้แต่คนเดียว
"ศิษย์รับรู้ ขอรับ !! "
เจ้ายังไม่รู้ หลิงไท่ซู่ส่ายหัวไปมา สุ้มเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึม : สถานที่แห่งนั้นน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง มันจึงก่อให้เกิดฉากเหตุการณ์ที่น่าสลดใจ ข้าจะกล่าวเช่นนี้ ในสถานที่แห่งนั้น พลังลมปราณและโลหิตแห่งจิตวิญญาณของผู้ที่ถูกฆ่า จะกลั่นตัวเป็นลูกแก้วชีพจรโลหิต ลูกแก้วชีพจรโลหิตนี้ ไม่ว่าใครก็สามารถดูกซึมมันเข้าไป คุณประโยชน์ของมันก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองโดยไร้ซึ่งอันตรายทั้งปวง
อะไรน่ะ ? สีหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนในทันที