ตอนที่ 213 ความยิ่งใหญ่ของเม้งวู่หยา
ตอนที่ 213 ความยิ่งใหญ่ของเม้งวู่หยา
เมื่อหลิงไท่ซู่กล่าวถามหยางไค่อีก 2 -3 คำถาม สีหน้าที่เป็นกังวลของหลิงไท่ซู่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความกังวลที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น
แม้ว่ากลิ่นอายแหงการฆ่าของหยางไค่จะไม่ส่งผลกระทบต่อตัวของเขา แต่หลิ่งไท่ซู่ต้องพิจารณาถึงความแข็งแกร่งที่ก้าวหน้าของหยางไค่ในอนาคต
เมื่อครุ่นคิดเป็นเวลานาน หลิ่งไท่ซู่จึงกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบากับตนเอง : หรือเจ้าเด็กหนุ่มนี้ต้องฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมารปีศาจเช่นนี้ ?
กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความกระหายโลหิตที่รุนแรงได้แทรกซึมเข้าสู่ไขกระดูกของหยางไค่ ในวันข้างหน้าหากเขาต้องการที่จะบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของตนเองให้ลึกซึ้งและแข็งแกร่งมากกว่านี้ มีทางเลือกเพียง 2 ประการเท่านั้น ประการแรก คือการกำจัดกลิ่นอายแห่งมารปีศาจที่เต็มไปด้วยความกระหายโลหิตนี้ ประการที่ 2 คือการฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่แพร่กระจายกลิ่นอายแห่งความอ่อนโยน
แต่ร่างกายของหยางไค่เกิดมาพร้อมกับความพิการและข้อบกพร่องทางด้านร่างกาย มันไม่ง่ายที่เขาจะประสบความสำเร็จเช่นวันนี้ หากการเปลี่ยนแปลงวิชายุทธุ์ที่เขาฝึกฝนเพื่อให้คุณสมบัติความสามารถเหมือนคนสามัญทั่วไป เขาจะสามารถทนต่อความทุกข์ทรมาณนั้นได้ ?
คนที่เคยยืนอยู่ในจุดต่ำสุดโดยที่มองไม่เห็นจุดสูงสุดก็ไมเป็นไร แต่ในวันหนึ่งเมื่อคนที่เคยยืนอยู่ในจุดสูงสุด ต้องถูกบีบบังคับให้ไปยืนอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด การทรมาณที่ทิ่มแทงเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะทนรับได้
ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิชายุทธุ์ที่ฝึกฝน มีเพียงหนทางเดียวคือการทำให้กลิ่นอายแห่งมารปีศาจนั้นพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุด จากการบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขาที่เติบโตก้าวหน้าและแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้มันกลายเป็นวิชายุทธุ์ที่ลึกลับและน่าอัศจรรย์
คนคนหนึ่งที่ต้องทำให้ความแข็งแกร่งของพุ่งทะยานถึงขีดสุดจึงจะส่งผลดีต่อตัวเขา คนคนหนึ่งที่ต้องใช้วิชายุทธุ์แห่งการฆ่าเพื่อนำพาเขาไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต อนาคตของเขาแฝงด้วยความโชคร้าย หากมีข้อผิดพลาดเพียงน้อยนิดอาจทำให้ร่างกายของแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จิตวิญญาณแตกสลาย ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมารปีศาจ ต่างพบเจอกับจุดจบที่เศร้าโศกทั้งหมด
เพราะพวกเขาที่เดินทางไปข้างหน้าด้วยวิชายุทธุ์แห่งการฆ่า มีศัตรูมากกว่ามิตรสหาย และมีแนวโน้มที่จะสูญเสียสติการควบคุมตนเองในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และท้ายที่สุดเขาจะเดินทางเข้าสู่เส้นทางแห่งมารปีศาจโดยมิอาจที่จะหยุดยั้ง
เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง จะอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่ทรมาณเช่นนั้นได้อย่างไร ?
หลังจากที่ท่านประมุขเดินจากไป หยางไค่ได้กลับไปที่จวนถ้ำอันเงียบสงบของตนเอง เขาดึงเอาโอสถที่เซี่ยหนิงฉางปรุงกลั่นให้แก่เขา ก่อนจะกลืนมันลงไปเพื่อเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง
กระถางธูปที่ถูกผนึกไว้ในตำราสีดำถูกเรียกออกมาอีกครั้ง หยางไค่จุดกระถางธูปขึ้น กลิ่นหอมได้แพร่กระจายออกมาเพื่อกดทับการหมุนเวียนของกลยุทธุ์หยาง
กว่า 10 วันที่หยางไค่ฝึกยุทธุ์อยู่ในจวนถ้ำอันสงบเงียบของตนเอง การที่เขาทำเช่นนี้ ประการแรกเพราะจะกลืนกินโอสถจากเซี่ยหนิงฉาง ประการที่ 2 เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สมบัติวิเศษทั้งสองชิ้น ในขณะที่กระบี่มารโลหิตปะทะกับไป๋ฟงหยุนมันมีประโยชน์ต่อเขาอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาไม่ได้เปิดใช้บุพผาโลหิตพันปี แต่ในเมื่อมันเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักในระดับเดียวกับ พลังความแข็งแกร่งของบุพผาโลหิตพันปีคงไม่แตกต่างจากกระบี่มารโลหิต
ทุกๆวันในขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เมื่อกลิ่นอายสีม่วงพุ่งมาจากทางทิศทางตะวันออก หยางไค่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งความอดทนที่ไร้พ่าย ในตอนนี้การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขามีความก้าวหน้า ทำให้ร่ากายของเขาแข็งแกร่งตามไปด้วย และมันทำให้เคล็ดวิชาแห่งความอดทนที่ไร้พ่ายทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย มันแข็งแกร่งขึ้นถึง 1 ใน 3 ส่วนของความแข็งแกร่งทั้งหมด แต่การฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งความอดทนที่ไร้พ่ายในตอนนี้เริ่มมีความยากมากขึ้น ทุกครั้งที่เปิดใช้เคล็ดวิชาแห่งความอดทนที่ไร้พ่าย กระดูกภายในร่างกายของเขาจะมีเสียงระเบิดออกมา ราวกับว่ามันถูกกดทับจากพลังที่มากมายมหาศาล
ในจวนถ้ำเป็นสถานที่เงียบสงบ มันเป็นสถานที่เหมาะสมในการฝึกยุทธุ์และบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของตนเอง ศิษย์พี่ตัวน้องเซี่ยหนิงฉางจะมาเยี่ยมเยียนเขาเป็นครั้งคราว นางมักจะแบ่งปันของอร่อยๆให้แก่เขาอยู่เสมอ ในเวลาที่ทว่างเว้นจากการฝึกยุทธุ์ พวกเขาทั้งสองจะกล่าวสนทนาอย่างเรื่อยเปื่อย
ในบางครั้ง เซี่ยหนิงฉางจะนอนหลับนเตียงหิน ในช่วงเวลาที่นางนอนหลับบนเตียงหิน ไม่ว่าหยางไค่จะปลุกนางให้ตื่นอย่างไร นางก็ไม่มีทางที่จะตื่นขึ้นมา
ในวันนี้ ในขณะที่หยางไค่กำลังบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขา เสียงของท่านประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวดังแว่วอยู่ข้างหูของเขา : เจ้าฆ่าคน เป็นหรือไม่ ?
เสียงนั้นดังขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้หยางไค่ตกใจ เขาตื่นตัวตามสัญชาตญานของตนเอง เขารีบหมุนเวียนพลังลมปราณเพื่อยืนยันว่าเป็นเสียงของหลิงไท่ซู่จริง มันจึงทำให้เขาผ่อนคลายด้วยความโล่งอก
อาจารย์ปู่ !! หยางไค่มองไปรอบๆ เขามองไม่เห็นกายของหลิงไท่ซู่ แต่เขาสัมผัสได้ว่ามีจิตวิญญาณตนหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ข้างลำตัวของเขา
หลิงไท่ซู่กล่าวถามคำถามเดิมอีกครั้ง
ในเวลานี้หยางไค่จึงกล่าวตอบ : เป็น !
คนประเภทไหนที่สมควรฆ่า ?
หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะกล่าวตอบ : ผู้ที่คิดปองร้ายต่อข้า ผู้ที่มีเจตนาร้ายต่อข้า ผู้ที่มีเจตนาร้ายต่อมิตรสหายและญาติของข้า ผู้ที่ขัดขวางการบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของข้า ผู้ที่ต้องการแย่งชิงสมบัติของข้า ต้องฆ่าพวกเขาให้สิ้น !! หากพวกเขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้ข้า ข้าจะไม่มีวันฆ่าพวกเขา !!
และหยางไค่ไม่รู้ว่าหลิงไท่ซู่ได้ยินคำตอบของเขาหรือไม่ เพราะหลังจากที่หยางไค่กล่าวตอบ หลิงไท่ซู่ได้เงียบไปเป็นเวลานาน
จนกระทั่งผ่านไปกว่าครึ่งวัน หลิงไท่ซู่จึงกล่าวอีกครั้ง : เจ้าเตรียมตัวเอาไว้ หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง !!
ขอรับ !! หยางไค่มิได้กล่าวถามต่อไป แต่เขาคาดเดาได้ว่าหลิงไท่ซู่กำลังวางแผนบางอย่าง และมันยังเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นหลังจากที่ตนเองกล่าวตอบ เขาคงไม่เงียบไปเป็นเวลาที่ยาวนานเช่นนี้
หลังจากที่คิดไตร่ตรองเป็นเวลานาน หยางไค่ไม่ได้สนใจมันอีก
หลิงไท่ซู่เป็นอาจารย์ปู่ของเขา นอกจากนั้นพลังความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับสูงที่ลึกซึ้ง หากเขามีเจตนาร้ายต่อตนเองเขาคงลงมือตั้งแต่แรก ไม่มีทางที่เขาจะรอไปอีกถึงครึ่งเดือน ดังนั้นหยางไค่จึงตั้งใจในการบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของตนเองควบคู่กับการกลืนกินโอสถวิเศษจากการปรุงกลั่นของเซี่ยหนิงฉาง
ระยะเวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ มีครั้งหนึ่งที่ซู่เหยียนมาหาเขาในช่วงค่ำคืนของวันหนึ่ง ทั้งสองยังคงร่วมรักกันอย่างดื่มดำเป็นเวลานาน ก่อนจะฝึกฝนเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่งในภายหลัง
ในเวลานี้หยางไค่ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง มันทำให้พลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายบริสุทธุ์ยิ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ มันบริสุทธุ์จนเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง ไม่เช่นนั้นในวันที่เขาต่อสู้กับไป๋ฟงหยุน ดาบที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังลมปราณของเขาคงไม่สามารถทำลายตาข่ายตรึงฟ้าของไป๋ฟงหยุนได้
ไม่ว่าจะเป็นหยางไค่หรือซู่เหยียน ต่างรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของกันและกัน พวกเขาทั้งสองฝึกฝนเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ผลลัพธุ์ที่ออกมาต่างยอดเยี่ยมจนน่าตกใจ
ครึ่งเดือนผ่านไป หยางไค่ได้กลืนกินโอสถที่ปรุงกลั่นจากเซี่ยหนิงฉางจนหมด ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่เขานั่งบ่มเพาะพลังของตนเองในคุกคุมขังมังกรแห่งนี้ จุดดตันเถียนของเขาได้ดูดซับกลิ่นอายพลังหยางจากเบื้องล่างของคุกคุมขังมังกรจนมันควบแน่นเป็นหยดน้ำพลังลมปราณหยาง มันทำให้เขตแดนของเขาบรรลุไปยังเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 3 ได้อย่างรวดเร็ว
ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่หยางไค่กำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของตนเอง ทันใดนั้นได้มีเสียงเสื้อผ้าที่กระทบกับสายลมดังขึ้น เงาร่างทั้งสองได้ปรากฏในจวนถ้ำของตนเอง
อาจารย์ปู่ !! หยางไค่ลุกขึ้นโค้งคำนับ เขามองไปที่ชายชราอีกคนก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ : เหรัญญิกเม้ง ?
ฮ่าฮ่าฮ่า !!! เหรัญญิกเม้งหัวเราะอย่างสนุกสนาน
หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น เขาไม่ทราบว่าเม้งวู่หยากำลังดีใจกับเรื่องใด
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของเม้งวู่หยาแปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยความสงสัย ทันใดนั้นดวงตาของเขาประกายด้วยแสงสว่างที่เฉียบคม มือหนึ่งของเขาตบไปที่ไหล่ของหยางไค่ อีกมือหนึ่งจับไปยังจุดตันเถียนของเขา ก่อนจะกล่าวตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวโกรธ : ออกมาเดี่ยวนี้ !!
หลิงไท่ซู่จ้องมองเม้งวู่หยาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเม้งวู่หยาต้องลงกับหยางไค่ แต่เพราะเขาสัมผัสไม่ถึงกลิ่นอายแห่งความต้องการฆ่า เขาจึงไม่ได้หยุดยั้งการกระทำของเม้งวู่หยา
เสียงอู้อี้ดังมาจากร่างกายของหยางไค่ ทันใดนั้นร่างกายของเขาแข็งทื่อ เขามิอาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ เขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 3 เมื่ออยู่ต่อหน้าเม้งวู่หยา มันไม่แตกต่างจากทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลก เขามิอาจที่จะต่อต้านเม้งวู่หยาได้แม้แต่น้อย
พลังแห่งการดูดกลืนที่รุนแรงปรากฏขึ้น หยางไค่ได้ยินเสียงที่ตื่นตกใจและเสียงที่ดิ้นรนของมารปฐพี
ในช่วงกลางวันของวันนี้ หยางไค่ได้เรียกตัวมารปฐพีให้กลับมา แม้ว่าหยางไค่จะให้มารปฐพีหลบซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของเขา มันก็ไม่สามารถหลบหนีจากการรับรู้ของเม้งวู่หยา
ประมุขหลิงไท่ซู่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความลึกลับนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเม้งวู่หยา เขาไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นมันเอาไว้ มันสามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองได้อย่างชัดเจน
มือของเม้งวู่หยาเปรียบดั่งกรงเล็บ เปรียบดั่งมังกรแห่งวารีที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมือของเขาโบกลงมายังทิศทางของหยางไค่ ควันหมอกสีดำทะมึนได้ถูกดูดออกจากร่างกายของหยางไค่ ควันหมอกสีดำทะมึนนั้นคือมารปฐพีที่ซ่อนตัวอยู่ในเข็มสลายวิญญาน
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาแห่งการฆ่าที่ดุดันของเม้งวู่หยา มารปฐพีตะโกนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ควันหมอกสีดำทะมึนหมุนวนไปมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันได้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่ดุดัน แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่สามารถหลบหนีจากการจับกุมของเม้งวู่หยา
สีหน้าของหลิงไท่ซู่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
เหรัญญิกเม้งโปรดยั้งมือ !! หยางไค่กล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก เขาหวาดกลัวว่าเหรัญญิกเม้งจะฆ่ามารปฐพี
เม้งวู่หยาจ้องมองไปที่หยางไค่และกล่าวถามอย่างเย็นชา : เจ้าทราบใช่ไหมว่ามันคืออะไร ?
จิตวิญญานแห่งมารปีศาจ ! หยางไค่พยักหน้า
เจ้าก็รู้ว่ามันคือสิ่งใด ทำไมเจ้าจึงปล่อยให้มันอาศัยอยู่ในร่างกายของเจ้า !! เจ้าไม่กลัวว่ามันจะกลืนกินจิตวิญญานของเจ้า ? เหรัญญิกเม้งกล่าวตะโกนด้วยความตะลึง ในตอนแรกเขาคิดว่าหยางไค่เป็นเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสาที่ไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด และไม่ทราบถึงอันตรายที่จะได้รับ แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าหยางไค่จะรับรู้ว่าอย่างชัดเจนถึงตัวตนแท้จริงของจิตวิญญานแห่งมารปีศาจตนนี้ "
เขาไม่สามารถกลืนกินจิตวิญญานของข้าได้ หยางไค่หัวเราะอย่างขมขื่น : มารปฐพียอมรับข้าเป็นนายของมัน ความเป็นความตายของมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้าในพริบตาเดียว
ยอมรับเจ้าเป็นนายของมัน ? ในตอนนี้เม้งวู่หยาตื่นตกใจยิ่งกว่าในตอนแรก แม้ว่าเขาจะสามารถดึงจิตวิญญาณของมารปฐพีออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่เม้งวู่หยาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและความยิ่งใหญ่ในขณะที่มันยังมีชิวต เพียงแต่ว่าในตอนนี้จิตวิญญานของมันอ่อนแอจึงทำให้มันไม่สามารถสำแดงพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้ หากว่ามันสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งของมันได้ทั้งหมด สำนักหลิงเซี่ยวทั้งหมดคงไม่เพียงพอที่จะถูกเขาทำลายในกระบวนท่าเดียว : มันยอมรับเจ้าเป็นนายด้วยวิธีการใด ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เม้งวู่หยาจึงต้องกล่าวถามให้เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมด
หยางไค่จึงกล่าวอธิบายเหตุการณ์ในขณะที่มารปฐพียอมรับเขาเป็นนายให้แก่เม้งวู่หยา
หลังจากที่ฟังจบ สีหน้าของเม้งวู่หยาแปรเปลี่ยนไป เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ : ไม่เลว เมื่อเป็นเช่นนั้น มันจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า โดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะทำร้ายเจ้า
ปล่อยข้าน่ะ ข้าจงรักภักดิ์ดีต่อนายน้อยด้วยความจริงใจ สวรรค์เป็นพยานให้แก่ข้าได้ เจ้าเป็นใครถึงบังอาจมาจับตัวข้า หากว่าข้าอยู่ในช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์และจุดสูงสุดของชีวิต เจ้าเด็กน้อยเช่นเจ้า จะเสียมารยาทและบังอาจทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร !! มารปฐพีเป็นมารปีศาจที่มีชีวิตนับหมื่นปี เมื่อสักครู่เขาตื่นตกใจอย่างยิ่ง แต่ในเวลานี้เมื่อสัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่เป็นอันตรายต่อเขา เขาจึงเริ่มกล่าวตะโกนออกมา
เม้งวู่หยาจ้องมองมารปฐพีอย่างเรียบเฉย และกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นชา : หากว่าข้าอยู่ในช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์และจุดสูงสุดขอชีวิต เจ้าจะเสียมารยาทและบังอาจทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร !
เม้งวู่หยากล่าวคำพูดที่เหมือนกับคำพูดของมารปฐพี โดยไม่แตกต่างกันแม้แต่คำเดียว แต่เมื่อตระหนักอย่างรอบคอบ ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นกลับแตกต่างกันอย่างมาก
มารปฐพีตื่นตะลึงด้วยความหวาดกลัว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สิ้นสติ : เจ้า...............ที่แท้เจ้า............
เม้งวู่หยาสบทด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น เขาปล่อยกรงเล็บที่พันธนาการมารปฐพี ในเวลานี้มารปฐพีตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวราวกับแมวที่พบเจอกับไม้เรียว เขารีบพุ่งหนีเข้าไปในร่างกายของหยางไค่ โดยไม่โผล่หัวออกมาอีก
เขาหวาดกลัวจนเกือบจะเสียสติ เขาหลบซ่อนในร่างกายที่ลึกซึ้งของหยางไค่ แต่ไม่สามารถหลบซ่อนจากการมองเห็นของเม้งวู่หยา ตาเฒ่าคนนี้คงไม่ธรรมดาเหมือนหน้าตาของเขาอย่างแน่นอน
ระหว่างที่เกิดเรื่องขึ้น หลิงไท่ซู่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว ในเวลานี้เขาจึงกล่าวขึ้นมา : เราไม่สามารถวางใจมารปีศาจได้ เจ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย
ศิษย์สามารถแยกแยะได้ หยางไค่พยักหน้า
"เจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง ?"
"พร้อมแล้ว! "
หลายวันก่อนเขาได้กล่าวเรื่องนี้ให้แก่ซู่เหยียนและเซี่ยหนิงฉาง ในเวลานี้เขาจึงไม่มีสิ่งใดให้กังวล
เราไปกันเถอะ หลิงไท่ซู่ยื่นมือออกมาเขาคว้าหยางไค่เอาไว้ จากนั้นจึงบินออกจากจวนถ้ำ และพุ่งลงไปยังทิศทางด้านล่าง โดยมีเม้งวู่หยาตามหลัง
เสียงลมกระพืออย่างรุนแรง เบื้องล่างของคุกคุมขังมังกรลึกจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด หยางไค่หรี่ตาตรวจสอบ แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย
สถานที่อาจารย์ปู่ต้องการพาเขาเข้าไป จะเป็นเบื้องล่างที่ลึกที่สุดของคุกคุมขังมังกร ? ไม่สิ ก่อนหน้านั้นเขาเคยกล่าวไว้ว่า เบื้องล่างของคุกคุมขังมังกรเต็มไปด้วยความอันตราย แม้แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะลงไปยังเบื้องล่างนั้น ไม่มีทางที่เขาจะพาตนเองไปยังสถานที่อันตรายนั้น
หลังจากที่พุ่งลงไปกว่าหลายร้อยจ้าง หลิงไท่ซู่ได้เปลี่ยนทิศทางในการเดินทาง เขาบินไปยังอีกด้านหนึ่งของคุกคุมขังมังกร
เขาบินไปได้สักครู่ ในที่สุดก็หยุดนิ่ง
ในค่ำคืนที่มืดมิด หลิงไท่ซู่และเม้งวู่หยาลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ และจ้องมองไปยังกำแพงหินที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขา
ที่นี้? เม้งวู่หยากล่าวถาม
อืม หลิงไท่ซู่พยักหน้า : ข้าและเจ้าร่วมมือกัน ถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริงเข้าไปยังภายในน่าจะประสบผลสำเร็จ
ได้!
ครั้งนี้ ข้าต้องทำให้เจ้าเดือดร้อน
ข้าและเจ้าทำไมต้องเกรงใจกันด้วยล่ะ ? ฮ่าฮ่า เม้งวู่หยาหัวเราะจนปากจะฉีกไปถึงหูของเขา แม้แต่ฟันกรามของเขายังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เพียงแค่สามารถส่งเจ้าเด็กหนุ่มนี้ออกไป อย่าว่าแต่ต้องสูญเสียพลังลมปราณแท้จริงเลย ให้ข้าเรียกมันว่าท่านพ่อก็ยังได้ ดังนั้นเมื่อเม้งวู่หยาไดยินหลิงไท่ซู่กล่าวบอกให้เขาช่วยเหลือเพื่อส่งหยางไค่ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เม้งวู่หยาจึงตกลงในทันทีโดยที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย