ตอนที่่ 212 กระจ่าง
ตอนที่่ 212 กระจ่าง
1 วันผ่านไป หยางไค่เปลี่ยนเสื้อที่ประมุขมอบให้แก่เขา และเดินออกมาจากระท่อม
ในบริเวณสวนเล็กๆที่เรียบง่าย ประมุขยืนรออยู่ใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง มือข้างหนึ่งของเขาวางไว้ด้านหลัง ส่วนมืออีกครั้งกำลังลูบเคราของตนเอง ประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวยื่นนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาของเขามองไปยังด้านหน้าอย่างเหม่อลอย
หยางไค่เดินไปหยุดที่ด้านหลังของประมุข โดยไม่ส่งเสียงรบกวน หยางไค่ยื่นนิ่งอยู่เช่นนี้ สายตาของเขากวาดมองไปยังด้านหน้า ตามทิศทางที่ประมุขมองผ่านไป ซึ่งมองเห็นเพียงก้านของดอกท้อที่มีดอกท้อพวงเล็กๆที่กำลังจะเบ่งบาน
ชายชราและเด็กหนุ่มยืนในท่วงท่าเช่นนั้นเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน จนกระทั่งดอกท้อเหล่านี้ได้เบ่งบางอย่างงดงาม ประมุขจึงค่อยๆหันหลังกลับมาและกล่าวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม : อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นเช่นไร ?
มิได้บาดเจ็บอะไรมาก หยางไค่ยิ้มกว้างและกล่าวถาม : ข้าควรจะเรียกท่านว่าท่านประมุข หรือผู้อาวุโสสิบเอ็ด ?
ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าของคือก็คือประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยว หลิงไท่ซู่ และยังเป็นผู้อาวุโสสิบเอ็ดที่เขาพบเจอในคุกคุมขังมังกร
ในเวลานั้นหยางไค่เข้าใจเรื่องราวในสำนักหลิงเซี่ยวค่อนข้างน้อย แม้ว่าในเวลานั้นเขาจะสงสัย แต่เขาไมได้ไปสืบหาข้อมูลที่แท้จริง แต่หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสำนักหลิงเซี่ยวจากปากของซู่มู่ เขาจึงเริ่มมั่นใจในตัวตนที่แท้จริงของผู้อาวุโสสิบเอ็ด
ในสำนักหลิงเซี่ยวไร้ซึ่งผู้อาวุโสสิบเอ็ด แต่หลิงไท่ซู่ เป็นประมุขของสำนักหลิงเซี่ยว ประมุขที่มีพรสวรรค์มีชื่อเสียงที่กว้างไกล แต่ต้องจมอยู่ในความทุกข์มานานนับสิบปี เพราะศิษย์ทั้งสองของตนเอง
หากไม่ใช่เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อนที่เขาได้รับศิษย์สาวก 2 คนมาเป็นศิษย์ของตนเอง การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขาคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เมื่อปัญหาในจิตใจมิอาจคลี่คลาย ทำให้เขาไม่สามารถที่จะก้าวข้ามเขตแดนสูงสุดของเทพสวรรค์เพื่อบรรลุไปยังเขตแดนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
หลิงไท่ซู่ ยิ้มเบาๆ : แล้วแต่เจ้า !!
หยางไค่กำลังจะอ้าปากกล่าวถาม แต่ถูกขัดขวางโดยหลิงไท่ซู่ : ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามและข้อสงสัยที่มากมาย
ศิษย์ร้องขอให้ท่านประมุขโปรดอธิบายให้แจ่มชัด !! หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุขุม ในเมื่อท่านประมุขทราบดีว่าตนเองต้องการจะถามสิ่งใด ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องกล่าวถามอีก
ดวงตาของหลิงไท่ซู่ จ้องมองอย่างลึกซึ้ง สีหน้าของเขาแสดงออกว่าเขากำลังระลึกถึงความทรงจำในอดีตที่ผ่าน หลังจากนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้มและแววตาที่โศกเศร้า : ชั่วชีวิตของข้า รับศิษย์เพียง 2 คนเท่านั้น ศิษย์พี่เป็นผู้ที่ตรงไปตรงไปมาและมีจิตใจที่เมตตาบริสึทธุ์ ศิษย์น้องเป็นคนที่เฉลียวฉลาด หากไม่เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาทั้งสองจะเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักหลิงเซี่ยว พวกเขาจะนำพาสำนักของข้าไปสู๋ความรุ่งโรจน์อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ศิษย์น้องมีจิตใจที่ต้องการเอาชนะอันแรงกล้า เขายอมที่จะสละตนเองและเดินเข้าสู๋เส้นทางมารปีศาจ และยังลงมือกับศิษย์พี่ของตนเองอย่างโหดเหี้ยมและไร้ปราณี !!
หยางไค่ยืนฟังอย่างเงียบๆ เรื่องราวในอดีตนี้หยางไค่เคยได้ยินมาจากซู่มู่ แต่ท่านประมุขเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ ในตอนนี้เมื่อเขาเป็นคนเล่าเรื่องด้วยตนเอง มันทำให้เรื่องราวต่างๆยิ่งเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความหดหู่ใจ
ข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่ว คือศิษย์คนโตถูกสังหาร ศิษย์น้องถูกปิดผนึกไว้ในคุกคุมขังมังกรถูกต้องหรือไม่ ?
หยางไค่พยักหน้า
หลิงไท่ซู่ หัวเราะอย่างแผ่วเบา : ข่าวลือนี้มีครึ่งหนึ่งที่เป็นความจริง ศิษย์น้องถูกปิดผนึกในคุกคุมขังมังกรจริง แต่ศิษย์พี่ของเขายังไม่ตาย !!
หลิงต้าซู่กล่าวด้วยความภูมิใจ : ศิษย์คนโตของข้า ชื่อ หยางหยิงฟง !!
ร่างกายของหยางไค่แข็งทื่อ สีหน้าของเขาแสดงออกด้วยความตื่นตะลึง ผ่านไปสักครู่เขาจึงถอยหายใจออกมาด้วยความแผ่วเบา จนกระทั่งตอนนี้ คำถามข้อสงสัยที่ค้างคาใจตลอดหลายปีได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้ว
หยางหยิงฟง เป็นชื่อที่แท้จริงของคุณชายสี่แห่งตระกูลหยาง นั่นก็คือบิดาแท้ๆของหยางไค่
เป็นเรื่องราวที่คาดไม่ถึง คุณชายสี่แห่งตระกูลหยางเคยเดินทางมาฝึกฝนวิชายุทธุ์อยู่ในสำนักหลิงเซี่ยว นอกจากนั้นเขายังเป็นศิษย์พี่คนโต ศิษย์พี่ผู้โชคร้ายซึ่งถูกฆ่าตายโดยศิษย์น้องของตนเอง
ไม่น่าแปลกใจที่บิดาของเขาจะได้รับความทุกข์ทรมาณจากอาการบาดเจ็บป่วยที่ร้ายแรงในทุกๆปี ซึ่งทำให้การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขาไม่มีความก้าวหน้า อาการเจ็บป่วยที่เขาต้องทนทุกข์ทรมาณคือร่องรอยการถูกร้ายจากศิษย์น้องที่เดินเข้าสู่เส้นทางมารของตนเอง
ไม่น่าแปลกใจที่บิดาของเขาจะสั่งให้เขาเดินทางมายังสำนักหลิงเซี่ยว เพราะบิดาของเขามีความสัมพันธุ์ที่ลึกซึ้งกับสำนักหลิงเซี่ยว
หากเรียกตามรุ่น เจ้าควรเรียกข้าว่าอาจารย์ปู่ ! หลิงไท่ซู่ ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ศิษย์ทำความเคารพอาจารย์ปู่ !! หยางไค่โค้งคำนับอย่างไม่ยินดีเท่าใด
หลิงไท่ซู่จ้องมองไปยังนัตย์ตาของหยางไค่ โดยที่เขาไม่ได้โกรธเคืองแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นเดิม : เจ้าโกรธข้าที่ทราบฐานะที่แท้จริงของเจ้าแต่กลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปล่อยให้เจ้าต้องลำบากและทนทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ ?
ส่วนหนึ่ง หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อึมครึม ในช่วง 3 ปีแรกที่เขาเข้ามาในสำนักหลิงเซี่ยว เขาได้รับความทุกข์ทรมาณอย่างแสนสาหัส เขาพบเจอแต่ความเยือกเย็นของมนุษย์ราวกับอยู่ในโลกที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว แต่หยางไค่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ตนเองได้รับความลำบากและทนทุกข์ทรมาณ เป็นเพราะตนเองไร้ความสามารถ จะกล่าวโทษผู้อื่นได้อย่างไร ? ผู้อื่นที่เขาพบเจอมิใช่มารดาที่ให้กำเนิดเขา แล้วทำไมผู้อื่นต้องดูแลเขาด้วย ?
ทำไมเจ้าต้องโกรธเคืองข้าด้วย หากเจ้าไม่พอใจก็ไปตำหนิคุณชายสี่แห่งตระกูลหยาง หลิงไท่ซู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินดังนี้ หยางไค่ค่อยๆลดความโกรธเคืองลง เขาไม่ใช่คนโง่เขลา ทำไมจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของหลิงไท่ซู่ ?
ศิษย์สาวกแห่งตระกูลหยาง ก็เหมือนลูกนกกาเหว่าที่เลี้ยงไม่เชื่อง ยังมิทันที่เขาจะได้รับผลตอบแทนจากมัน แต่มันกลับหนีหายไปในทันที !!
ในตอนนั้น ขณะที่คุณชายสี่แห่งตระกูลหยางเข้าฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักหลิงเซี่ยว เขาได้รับความรักความชื่นชมจากหลิงไท่ซู่ อย่างมาก แต่หลิงไท่ซู่ ไม่คาคคิดว่าศิษย์ที่เขาทุ่มเทเลี้ยงดูและฝึกฝนด้วยความยากลำบากกว่า 10 ปี กลับเป็นการฝึกฝนลูกหลานของตระกูลอื่น หากว่าศิษย์คนรองของเขาไม่เข้าสู่เส้นทางแห่งมารปีศาจ หลิงไท่ซู่ ยังพอจะมีความหวัง แต่ศิษย์คนโตที่มีจิตใจเมตตากลับกลายเป็นสุนัขตาขาวที่เนรคุณของตระกูลหยาง ศิษย์คนรองยังเดินทางเข้าสู่เส้นทางมารปีศาจ ทำให้ความหวังของหลิงไท่ซู่ สูญสลายในทันที มันทำให้จิตใจของหลิงไท่ซู่ เศร้าโศกเสียใจและเต็มไปด้วยปมในใจที่มิอาจปล่อยวาง และยิ่งทำให้เขาไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดสูงสุดของตนเอง
หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณชายสี่แห่งตระกูลหยางต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ความเศร้าโศกและปมในจิตใจที่เกิดขึ้นกับหลิงไท่ซู่
จากคำกล่าว ภาระหนี้สินความแค้นของบิดาจะต้องถ่ายทอดสู่บุตรหลานของตนเอง !! คุณชายสี่แห่งตระกูลหยางติดค้างหลิงไท่ซู่ แล้วหยางไค่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้อย่างไร ?
เมื่อหยางไค่ครุ่นคิดได้ดังนี้เขาได้กล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที : อาจารย์ปู่ โปรดผ่อนคลายความเกรี้ยวโกรธด้วย คุณชายสี่แห่งตระกูลหยางไม่ใช่คนดีอะไร ท่านไม่ควรลดตัวไปพบเจอกับเขา
เดิมทีหลิงไท่ซู่แสดงสีหน้าที่ขุ่นเคือง แต่เมื่อเห็นอารมณ์ของหยางไค่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้เขาต้องกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ: ศิษย์คนโตของข้าเป็นบุรุษหนุ่มที่ซื่อตรง ทำไมถึงให้กำเนิดบุตรชายเช่นเจ้า ?
เกิดเป็นบุรุษหนุ่มต้องรู้จักวางตัวในสิ่งที่สมควร เมื่องหยางไค่มองเห็นสีหน้าของเขา เขาทราบดีว่าคำกล่าวเมื่อสักครู่เป็นเพียงการล้อเล่น เขาไมได้กล่าวด้วยความเกรี้ยวโกรธโดยแท้จริง
หลิงไท่ซู่สูดลมหายใจเข้าและกล่าวอย่างช้าๆ : ศิษย์คนโตของข้ามิใช่คนที่จะพูดปด หลังจากที่เขาเข้าสู่สำนักหลิงเซี่ยวเป็นเวลา 3 ปี เขาได้กล่าวบอกฐานะที่แท้จริงให้แก่ข้า ดังนั้นข้าจึงเตรียมตัวเตรียมใจว่าเขาต้องออกจากสำนักหลิงเซี่ยว เจ้ามิต้องกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
หยางไค่พยักหน้าและกล่าวยกยกปอปั้นหลิงไท่ซู่ : อาจารย์ปู่เป็นบุคคลระดับสูงที่มีจิตใจที่กว้างขวาง เมื่อเข้ากลับไปยังตระกูลหยาง ข้าจะสั่งสอนคุณชายสี่แห่งตระกูลหยางแทนอาจารย์ปู่เอง
ดูเหมือนว่าหลิงไท่ซู่กำลังจะหัวเราะ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ยับยั้งมันเอาไว้
ในวันแรกที่เจ้ามาถึงสำนักหลิงเซี่ยว ข้าได้รับจดหมายจากบิดาของเจ้า การที่ข้าไม่ได้ไปสนใจเจ้าเป็นเพราะความต้องการของบิดาเจ้า เพราะในจดหมายกล่าวว่า ร่างกายของเจ้าไม่เหมาะสมที่จะฝึกยุทธุ์ ในระยะเวลา 10 ปีที่เจ้าต้องออกจากตระกูลหยาง เขาปรารถนาเพียงให้เจ้าอาศัยอยู่ในสำนักหลิงเซี่ยอย่างปลอดภัยจนกระทั่งตระกูลหยางเรียกตัวเจ้ากลับไป หลิงไท่ซู่กล่าวอธิบาย
เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าถึงไม่เหมาะสมที่จะฝึกยุทธุ์ ? หลิงไท่ซู่กล่าวถาม
ท่านพ่อกล่าวว่าข้าเกิดมาด้วยร่างกายที่พิการ หยางไค่กล่าวและขมวดคิ้วไว้แน่น
อืม เพราะก่อนหน้านี้ศิษย์คนโตของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องรักษาตัวตลอดเวลา โดยที่อาการบาดเจ็บของเขาไม่เคยหายไป ดังนั้นตั้งแต่ที่เจ้าเกิดมา ร่างกายของเจ้าต้องพบเจอกับความพิการและเต็มไปด้วยข้อบกพร่องที่มากมาย หลิงไท่ซู่พยักหน้า เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ระมัดระวัง : ร่างกายพิการไร้ซึ่งหนทางในการรักษา แต่ในตอนนี้เจ้าสามารถฝึกฝนวิชายุทธุ์ได้ นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่น การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเจ้ามีความรวดเร็วอย่างยิ่ง ข้าไม่สนใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะโชคชะตาที่พลิกผันของเจ้าหรือเกิดขึ้นเพราะความลึกลับอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อใดที่มีผู้กล่าวถามถึงความน่าอัศจรรย์นี้ นอกจากบิดามารดาของเจ้าแล้ว เจ้าห้ามกล่าวแพร่งพรายเรื่องนี้ต่อผู้อื่นอย่างเด็ดขาด !
หยางไค่พยักหน้าซ้ำๆ แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับอาจารย์ปู๋ของเขาอย่างเปิดเผย แต่หยางไค่สามารถสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แท้จริงของเขา
ในความเป็นจริงการที่เจ้าเป็นเด็กหนุ่มสามัญทั่วไป ข้าจะไม่ไปสนใจหรือยุ่งเกี่ยวข้องกับเจ้า การที่เจ้ามีชีวิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แม้เจ้าจะต้องทนต่อความยากลำบาก หรือต้องทนทุกข์ทรมาณกับการถูกรังแก แต่นั้นคือสิ่งที่ต้องพบเจอในการมีชีวิต แต่ในตอนนี้เจ้ากลับมีคุณสมบัติในการฝึกยุทธุ์ และยังมีความสามารถที่แข็งแกร่ง มันเป็นเรื่องยากที่ไม่ให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้อง วันก่อนที่เจ้าสร้างเรื่องวุ่นวายอันใหญ่หลวง เพราะเจ้าต้องการล่อลวงข้าให้ออกมาใช่ไหม ?
หยางไค่หัวเราะ : ข้าไม่คิดว่าจะเป็นท่าน ข้าคิดว่าเป็น 1 ในผู้อาวุโสทั้ง 5 ที่จะมีความเกี่ยวข้องกับบิดาของข้า
หลิงไท่ซู่หัวเราะเสียงดัง : ไม่น่าแปลกที่เจ้าจะคิดไม่ถึง การที่บิดาของเจ้าส่งเจ้ามาที่นี้ ประการแรกเพื่อความปลอดภัยของเจ้า ประการที่ 2 เพราะต้องการคลายปมในจิตใจของข้า ศิษย์คนโตของข้ายังคงซื่อตรงเช่นเดิม ข้าคิดว่าปมในใจของข้าเกิดขึ้นเพราะตัวเขา แท้จริงแล้ว ข้าไม่เคยกล่าวโทษเขาเลย
เมื่อหยางไค่ได้ยินดังนี้ เขาถอนหายใจด้วยความเศร้า เขาไม่ทราบว่าจะปลอบโยนอาจารย์ปู่ของเขาได้อย่างไร
เอาล่ะ คำถามข้อสงสัยของเจ้าคงได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้วใช่ไหม ? หลิงไท่ซู่จ้องมองหยางไค่ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
อืม หยางไค่รู้สึกผิดและอับอาย หลังจากที่เขาครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น โดยไม่สามารถที่จะเข้าใจในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับอาจารย์ปู่ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ค้างคาใจไดสลายไปในที่สุด
ตอนนี้ถึงคราวของข้าบ้าง หลิงไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยความจริงจังอย่างกะทันหัน
อาจารย์ปู่มีคำถามใดจะถามข้า? หยางไค่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่งุนงง
กลิ่นอายของเจ้า!! สีหน้าของหลิงไท่ซู่แปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน : การต่อสู้ในวันก่อน กลิ่นอายแห่งร่างกายของเจ้าเต็มไปด้วยความกระหายโลหิตและความบ้าคลั่งอย่างสุดขีด มันไม่แตกต่างจากกลิ่นอายของศิษย์คนรองของข้า ข้าขอถามเจ้าสักคำ เจ้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหรือตำราคัมภีร์แห่งมารปีศาจหรือไม่ ?
ไม่ !! หยางไค่กล่าวตอบอย่างเด็ดขาด เขาทราบดีว่าเมื่อใดที่เขาเปิดใช้ความอดทนที่ไร้พ่ายแห่งกระดูกทองคำมันจะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดขึ้น
พลังลมปราณพุ่งทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบ่มเพาะความแข็งแกร่งในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 1 ได้ทะยานขึ้นสู่เขตแดนผสานลมปราณขั้นสูงสุด มันเต็มไปด้วยพลังความแกร่งที่รุนแรงและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมารปีศาจที่หนักหน่วง
กลิ่นอายแห่งเจตนาฆ่าคุร่นกรุ่น ราวกับว่าเขาต้องการที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก
หลิงไท่ซู่จ้องมองเข้าไปยังดวงตาของหยางไค่ ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นจิตวิญญานของหยางไค่
เอากระบี่ของเจ้าออกมา !! หลิงไท่ซู่กล่าวออกคำสั่ง
ทันใดนั้นกระบี่สีแดงโลหิตได้ปรากฏอยู่ในมือของหยางไค่ เมื่อกระบี่มารโลหิตอยู่ในมือของหยางไค่ กลิ่นอายแห่งเจตนาการฆ่าเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างยิ่ง
กระบี่มารโลหิตที่เป็นสมบัติวิเศษของนิกายซิ่วหล่อแต่ดูเหมือนว่ามันจะมีความสัมพันธุ์ที่ลึกซึ้งกับหยางไค่ ราวกับว่าทั้งสองต่างโหยหาซึ่งกันและกันอยู่เสมือ เมื่อกระบี่อยู่ในมือและไร้ซึ่งกระบี่ในมือ หยางไค่จะกลายเป็นคนละคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลิงไท่ซู่จ้องมองหยางไค่และสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ความสัมผัสอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของหยางไค่ด้วยความตั้งใจ แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลายลง แต่มันถูกแทนที่ด้วยความตื่นตะลึง และความสับสน
หลังจากนั้น หลิงไท่ซู่จึงพยักหน้าอย่างช้าๆ
หยางไค่เก็บกระบี่มารโลหิต และปราบปรามกลิ่นอายแห่งความอดทนที่ไร้พ่ายและกลับสู่สภาพปกติของเขา
ดูเหมือนว่าเจ้าได้เดินเข้าสู่เส้นทางมารปีศาจ แต่มันไม่ใช่ หลิงไท่ซู่ขมวดคิ้วไว้แน่น : สติของเจ้ายังคงอยู่ตลอดเวลา ?
"อืม"
น่าแปลก กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความกระหายโลหิตที่รุนแรง หากว่าเป็นข้าที่ต้องทนรับต่อกลิ่นอายเช่นนั้น มันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของข้าจนข้าต้องเดินทางเข้าสู่เส้นทางมารปีศาจ แล้วทำไมเจ้าจึงไม่ได้รับผลกระทบนั้น ? หลังจากที่นิ่งไปสักครู่ หลิ่งไท่ซู่ได้กล่าวด้วยความเข้าใจ : ใช่แล้ว เจ้าฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่มีคุณสมบัติของพลังหยาง พลังหยางที่ร้อนระอุ เป็นดาวข่มของมารปีศาจ เมื่อมีพลังหยางคุ้มครองปกป้องร่างกายของเจ้า มันจึงยับยั้งไม่ให้เจ้าเดินทางเข้าสู่เส้นทางของมารปีศาจ
หลังจากที่กล่าวจบ หลิงไท่ซู่แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจอีกครั้ง ทั้งสองสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างมหันต์ แต่ทำไมมันถึงอยู่ร่วมกันในร่างกายของคนคนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้ ?
เมื่อคิดไตร่ตรองเป็นเวลานาน แม้ว่าหลิงไท่ซู่ทราบดีว่าร่างกายของหยางไค่ต้องมีสิ่งลึกลับที่น่าอัศจรรย์ซ่อนเร้นอยู่ภายในมันจึงทำให้กลิ่นอายทั้งสองประเภทอยู่ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ แต่หลิงไท่ซู่ไมได้เปิดปากกล่าวถาม
หลิงไท่ซู่เงยหน้าขึ้นและกล่าว : ในระหว่างการต่อสู้ เจ้าได้เปิดเผยเคล็ดวิชาในขั้นจิตวิญญานศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นวันนี้เจ้าต้อ้งพบเจอกับความเดือดร้อนและวุ่นวายอย่างยิ่ง
งั้น...........ข้าจะเดินทางออกจากสำนักหลิงเซี่ยวเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเกิดขึ้น หยางไค่มีการวางแผนตั้งแต่แรก
หลิงไท่ซู่กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : เจ้าจะหลีกเลี่ยงไปไปยังสถานที่ใด แล้วจะหลีกเลี่ยงได้นานแค่ไหน เจ้าอยู่ในสำนักต่อไปจะดีที่สุด
อ่อ