ตอนที่แล้วตอนที่ 210 พุ่งโจมตี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่่ 212 กระจ่าง

ตอนที่ 211 อำนาจพลังสมบัติลึกลับ


ตอนที่ 211 อำนาจพลังสมบัติลึกลับ

การปะทะกันในครั้งนี้ ถือเป็นจุดจบของการต่อสู้ในครั้งนี้ !! แต่ถ้าหากมองจากระยะไกล อาการบาดเจ็บของหยางไค่ หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าไป๋ฟงหยุน

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ มันก็ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตื่นตะลึง

เขตแดนผสานลมปราณขั้นสูงสุด สามารถต่อสู้กับเขตแดนลมปราณได้อย่างสูสี ความรุนแรงของเคล็ดวิชาที่พวกเขาโจมตีซึ่งกันและไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย นั้นหมายความว่า เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ที่หยางไค่ครอบครองมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ของตระกูลไป๋ที่ไม่ถ่ายทอดให้แก่คนนอก?

สมแล้วที่เป็นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ !!

ร่างกายของเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์ทั้ง 2 ชโลมด้วยโลหิตสีแดงสด พวกเขาจ้องมองซึ่งกันและกันด้วยสายตาที่เกลียดชัง ดวงตาของไป๋ฟงหยุนประกายด้วยความบ้าคลั่งและไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองพบเจอ เขาไม่คาดคิดว่าหยางไค่จะสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง พลังความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ลดลง แต่มันกลับทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้าเคยกล่าวไว้แล้ว วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า แม้เง็กเซียนฮ่องเต้จะลงมาจากสรวงสวรรค์ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้ !! ไป๋ฟงหยุนตะโกนคำรามด้วยความโหดเหี้ยมอย่างสุดขีด

เขาและหยางไค่ไม่เคยมีความคับแค้นใจมาก่อน แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ เกินกว่าการคาดเดาของเขา ในฐานะที่เขาเป็นคุณชายแห่งตระกูลไป๋ ไป๋ฟงหยุนไม่มีทางที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น มีผู้คนจำนวนมากมายเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากเขาไม่สามารถเอาชนะหยางไค่ คำกล่าวที่เขาเคยกล่าวออกไปจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองได้อย่างไร ?

ในขณะที่กล่าวคำราม ไป๋ฟงหยุนยื่นมือออกมา ภาพวาดม้วนหนึ่งได้ปรากฏในมือของเขา เขากางภาพวาดนั้นออกมา ภายในภาพวาดเต็มไปด้วยภาพวาดของสัตว์อสูรที่ประหลาดเป็นจำนวนมาก

สมบัติลึกลับขั้นปฐพีระดับกลางของตระกูลไป๋ ภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญาน !! สีหน้าของต่งชิงฮันแปรเปลี่ยนด้วยความหนักอึ้งอีกครั้ง เขาตะโกนร้องด้วยความตื่นตกใจ

ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตะโกนด้วยความตื่นตกใจ แต่ยังเป็นการกล่าวตักเตือนหยางไค่อีกด้วย

ไป๋ฟงหยุนดัวเราะอย่างเย็นชา เขาถ่ายทอดพลังลมปราณแท้จริงไปยังภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญานอย่างไม่หยุด จากพลังลมปราณแท้จริงที่ถ่ายทอดเข้าไปยังภาพวาดนั้น สัตว์อสูรที่อยู่ในภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญานเริ่มเคลื่อนไหวราวกับว่าพวกมันมีชีวิต ทันใดนั้น ภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญานลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ แสงสว่างสีทองได้พุ่งออกมา และได้กลายเป็นรูปร่างของสัตว์อสูร จากนั้นสัตว์อสูรเหล่านั้นได้พุ่งไปยังทิศทางของหยางไค่ด้วยความดุดันในทันที

เพื่อจะเอาชีวิตหยางไค่ ไป๋ฟงหยุนต้องใช้ท่าไม้ตายที่โหดเหี้ยม สมบัติลึกลับชิ้นนี้เป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจในการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดและรุนแรงที่สุด อีกทั้งมันยังเป็นการโจมตีในครั้งสุดท้ายของเขา

เขาไม่เชื่อว่าศิษย์แห่งสำนักหลิงเซี่ยวที่ต้อยต่ำ จะสามารถมีชีวิตรอดจากการพุ่งโจมตีของสัตว์อสูรที่มากมาย

แสงประกายบนกลางอากาศเริ่มมากขึ้นเรื่องๆ สัตว์อสูรที่แปลกประหลาดได้ก่อกำเนิดเป็นรูปร่างที่มีชีวิตอย่างมากมาย มันพุ่งเข้าไปเข้าหน้าดั่งรถม้าที่เหยียบย่ำทุกสิ่งที่อย่างที่ขวางหน้า มันสามารถที่จะทำลายผู้คนที่ขัดขวางเส้นทางของมันจนหมดสิ้น

หยางไค่ตะโกนคำรามด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาประกายด้วยเจตนาแห่งการฆ่าที่ดุดันออกมา ทันใดนั้นในมือของเขาได้ปรากฏกระบี่สีแดงโลหิตออกมา

กระบี่มารโลหิต !! สมบัติวิเศษของนิกายซิ่วหล่อที่มีอำนาจความแข็งแกร่งในดินแดนท้องทะเลอันไกลพ้น !!

เมื่อกระบี่มารโลหิตอยู่ในมือ พลังลมปราณของหยางไค่ได้ทวีความแข็งแกร่งและความรุนแรงความบ้าคลั่ง ความก้าวร้าวมีมากขึ้นจนอยู่น่าตกใจ ดวงตาของผู้เฝ้าดูทุกคนต่างสั่นเทาอย่างรุนแรง พวกเขาต่างจ้องมองกระบี่สีแดงโลหิตที่อยู่ในมือของหยางไค่อย่างไม่วางตา

พวกเขาทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่หนาแน่จากกระบี่สีแดงโลหิตนั้น เมื่อพวกเขาจ้องมองกระบี่เล่มนั้น ราวกับว่าพวกเขามองเห็นโลกที่จมอยู่ในโลหิตสีแดงก่ำอย่างน่าหวาดกลัว ในโลกที่พวกเขามองเห็น แม่น้ำกลายเป็นสีแดงโลหิต ซากศพกองพะเนินเป็นเทือกเขาที่สูงใหญ่อย่างสุดลูกหูลูกตา มันทำให้จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจากกลิ่นเหม็นคาวที่แพร่กระจายออกมาอย่างรุนแรง

ยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ของหุบเขาจือเหว่ยและผู้พิทักษ์เมฆาคู่ต่างวิ่งมาข้างหน้าเพื่อปกป้องนายน้อยของตนเอง พวกเขากลัวว่านายน้อยของพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่แพร่กระจายออกมาจากระบี่สีแดงโลหิตนั้น

สีหน้าของเม้งวู่หยาเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน สีหน้าของประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวก็เช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งสองไม่คิดว่าหยางไค่จะครอบครองศัตราวุธแห่งการฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดกว่การคาดการณ์ของพวกเขา

เมื่อสัตว์อสูรจำนวนมากมายพุ่งโจมตีเข้ามา หยางไค่กวัดแกว่งกระบี่มารโลหิตไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อกระบี่มารโลหิตกวัดแกว่งไปมา ตามาด้วยลมพายุที่พัดกระหน่ำที่รุนแรง เสียงกรีดร้องระงมโหยหวนของสัตว์อสูรดังขึ้น ทันใดนั้นพวกเขามันได้เลือนหายไปในกลางอากาศทันที

หยางไค่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความบ้าคล่ง ดวงตาของคงเต็มไปด้วยความกระหายเลือด แต่มันยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม แต่สีหน้าของไป๋ฟงหยุนกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดในทันที

เขาไมคาดคิว่าเขาได้เปิดใช้สมบัติวิเศษที่มีพลังแห่งการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด เขาก็ยังไม่สามรถเอาชนะหยางไค่ สัตว์อสูรที่พุ่งออกไปจากภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญาน ไม่สามารถปราบปรามหยางไค่ได้เลย

สัตว์อสูรตนแล้วตนเล่าถูกทำลายไปอย่างต่อเนื่อง ระยะห่างระหว่างหยางไค่และไป๋ฟงหยุนเริ่มกระชั้นชิดกันมากขึ้น

เมื่อไป๋ฟงหยุนได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่แพร่กระจายออกมา มันทำให้ร่างกายของไป๋ฟงหยุนสั่นสะท้าน เขาจึงทำได้เพียงรีบเร่งถ่ายทอดพลังลมปราณไปยังภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญาน เพื่อให้สัตว์อสูรเหล่านั้นหยุดยั้งหยางไค่เอาไว้

การกระทำเช่นนี้ไร้ซึ่งความหมาย มันเพียรแต่ทำให้พลังลมปราณแท้จริงของเขาลดลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น

หลังจากนั้น หยางไค่ได้พุ่งมาถึงด้านหน้าของไป๋ฟงหยุน สีหน้าที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็งกวาดสายตามองไปที่ไป๋ฟงหยุนอย่างเย็นชา จากนั้นเขาได้ยกกระบี่มารโลหิตขึ้นสูงและพุ่งฟันลงไปอย่างรุนแรง

หัวใจของทุกคนสั่นระรัว เพราะพวกเขามองเห็นเป้าหมายของหยางไค่ เป้าหมายการโจมตีของหยางไค่มิใช่ไป๋ฟงหยุน แต่เป็นภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญาณ

เขาต้องการที่จะทำลายสมบัติวิเศษในขั้นปฐพีระดับกลางชิ้นนี้

คลื่นสีแดงโลหิตจากกระบี่มารโลหิต ราวกับว่ามันสามารถตัดทำลายผืนฟ้า กระบี่มารโลหิตได้ฟันทำลายไปยังภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญานอย่างไร้ความปราณี

สัตว์อสูรที่เหินบินอยู่บนกลางอากาศพลันหายไปในทันที คลื่นแสงที่หนาแน่นพุ่งออกมาจากภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญาน มันถูกกระบี่มารโลหิตฟันลงไปจนเกิดเป็นรอยขาดขนาดใหญ่

ดวงตาของทุกคนต่างตื่นตระหนกจนเกือบจะถลนออกมา

ภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญานเป็นสมบัติขั้นปฐพีระดับกลาง แม้มันไม่ใช่สมบัติแห่งการป้องกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรมันมิอาจที่จะถูกทำลายไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เมื่อกระบี่ของหยางไค่ฟันลงไป ก่อให้เกิดเป็นรอยฟันของกระบี่ขนาดใหญ่ กระบี่สีแดงโลหิตต้องแหลมคมถึงขั้นไหน แล้วมันจะเป็นสมบัติวิเศษที่อยู่ในขั้นใดกันแน่ ?

วู้ว...............

กระบี่มารโลหิตเฉือนออกไปอีกครั้ง ทำให้รอยขาดนั้นเริ่มขยายใหญ่ขึ้น

แสงประกายพุ่งออกมาจากกระบี่ ฉึก !!! ตามมาด้วยเสียงการเฉือนฟันจากระบี่มารโลหิต สมบัติวิเศษในขั้นปฐพีระดับกลางได้ฉีกขาดจนกลายเป็น 2 ท่อน ก่อนที่มันจะตกลงไปที่พื้นดินอย่างไร้ค่า

3 ครั้ง !! กลับสามารถทำลายสมบัติวิเศษในขั้นปฐพีระดับกลาง!! ไม่มีใครกล้าเชื่อผลลัพธุ์ที่ประจักษ์ออกมา

หยางไค่กวัดแกว่งกระบี่ในมืออีกครั้ง เขาเอียงตัวเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งไปยังไป๋ฟงหยุนที่ดูเหมือนว่าจิตวิญญานได้หลุดออกจากร่าง

โปรดเมตาและยั้งมือ !! ยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ของตระกูลไป๋มิอาจทนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อสักครู๋พวกเขาทั้ง 2 ถูกควบคุมโดยมารปฐพี ทำให้พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหว แต่ในเวลานี้หยางไค่กลับจะฆ่านายน้อยของพวกเขา พวกเขาจะกล้าหยุดนิ่งและลังเลที่จะไม่ช่วยนายน้อยของตนเองได้อย่างไร ในท้ายที่สุด พวกเขาจึงตัดสินใจตะโกนออกไป

ในขณะที่พวกเขาตะโกน พวกเขาทั้งสองได้พุ่งบินไปยังทิศทางของไป๋ฟงหยุน

เม้งวู่หยามิได้หยุดยั้งพวกเขา

การเคลื่อนไหวของยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ของตระกูลไป๋รวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงพริบตาพวกเขาก็ได้มาถึงด้านหน้าของหยางไค่ คนหนึ่งดีดนิ้วไปยังกระบี่มารโลหิต อีกคนคว้าลำตัวของไป๋ฟงหยุนและดึงเขากลับไปอย่างรวดเร็ว

ติ่ง !!! กระบี่มารโลหิตเปลี่ยนทิศทางในการโจมตี มันจึงสามารถรักษาชีวิตของไป๋ฟงหยุน

หยางไค่กวาดสายตามองยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ของตระกูลไป๋ด้วยความเย็นชา เขาไมไม่ได้ติดตามต่อไป แต่ค่อยๆลดท่าทางของเขาให้อ่อนลง เมื่อมีการปกป้องจากยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ของตระกูลไป๋ เขาไม่สามารถที่จะเอาชีวิตของไป๋ฟงหยุนได้

นายน้อยท่านนี้ได้โปรดเมตตา วางมือด้วยเถอะ นายน้อยของข้าได้พิสูจน์ความสามารถของตนเองอย่างถึงที่สุดแล้ว ท่านเหนือกว่าเขา เขาเป็นผู้พ่ายแพ้ ท่านเป็นผู้ชนะ !! ยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ที่ดีดกระบี่จนมันเปลี่ยนทิศทางได้กล่าวอย่างรีบร้อน สุ้มเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเสียมารยาท

หยางไค่จ้องเขม่งพวกเขาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาจึงยอมเก็บกระบี่มารโลหิต

การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธุ์ที่มีเขตแดนแตกต่างกันได้จบลงอย่างสมบูรณ์ แต่สุดท้ายกลับเป็นผู้ที่มีการบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งแห่งเขตแดนที่ต่ำกว่าได้รับชัยชนะ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างงุนงงและไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้

ท่านทั้งหลายเดินทางเข้ามายังสำนักหลิงเซี่ยว ถือเป็นเกียรติของสำนักหลิงเซี่ยวอย่างยิ่ง แต่ว่าสำนักหลิงเซี่ยวมิใช่สถานที่ที่จะแสดงการกระทำที่ก้าวร้าวและเสียมารยาทเช่นนี้ !! ประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวกล่าวโดยที่สีหน้ายังเป็นมิตรเช่นเดิม แม้ว่าสุ้มเสียงของเขาจะเฉยชา แต่ไม่ว่าใครก็สามารรับรู้และสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวโกรธที่ซ่อนอยู่ในสุ้มเสียงนั้น

เมื่อยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ของตระกูลต่างๆได้ยินดังนี้ สีหน้าของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ

คนแห่งตระกูลอับอายจนไม่มีใบหน้าที่จะอยู่ที่นี้อีกต่อไป คนหนึ่งพยุงไป๋ฟงหยุน อีกคนเก็บเศษซากของภาพวาดสัตว์อสูรทะลวงวิญญานที่ร่วงหล่นอยู่ที่พื้น พวกเขากุมมือและกล่าว : หลายวันที่ผ่านมา พวกเราได้รับการต้อนรับที่ดีจากพวกท่าน ถือเป็นการรบกวนสำนักหลิงเซียวอย่างมาก ผู้อาวุโสทุกท่านได้โปรดอภัยด้วย ในวันครั้งหน้าตระกูลไป๋ของเราจะชดเชยให้แก่พวกท่านอย่างสาสมใจ !!

เมื่อกล่าวจบ ยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ของตระกูลไป๋ได้พาไป๋ฟงหยุนออกไปอย่างรวดเร็ว

คนแห่งหุบเขาจื่อเหว่ยไม่กล้าที่จะอยู่ในสำนักหลิงเซี่ยวต่อไปเช่นเดียวกัน เดิมทีพวกเขาไม่เคยเห็นสำนักหลิงเซี่ยวที่ต้อยต่ำอยู่ในสายตา เมื่อพวกเขามาถึงสำนักหลิงเซี่ยว พวกเขาทำตัวเหมือนบุคคลที่สูงส่ง ที่คอยกวาดต้อนศิษย์ของทั้ง 3 สำนักให้เป็นศิษย์ของพวกเขา แต่ในวันนี้ยอดฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวได้ปรากฏตัว ศิษย์แห่งสำนักหลิงเซี่ยวคนหนึ่งที่มีการบ่มเพาะพลังในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 1 เกือบจะฆ่านายน้อยของตระกูลไป๋ มันทำให้จิตใจของคนแห่งตระกูลจื่อเหว่ยสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว

สำนักหลิงเซี่ยว.......มิใช่สำนักที่ต้อยต่ำ แต่มันเป็นสำนักที่พวกเขามิอาจมองข้ามได้ ศิษย์ของพวกเขาเป็นดั่งบุคคลที่บ้าคลั่งอย่างน่าหวาดกลัว สำนักหลิงเซี่ยวเป็นำสำนักที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง

ฟางหงและผู้พิทักษ์ทั้งสองกำลังกล่าวคำขอโทษและกล่าวคำอำลา ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ต่งชิงฮันและผู้พิทักษ์เมฆาคู๋ก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวขอโทษกล่าวคำอำลา แต่ก่อนที่พวกจะเดินจากไป ต่งชิงฮันได้มองไปที่หยางไค่ โดยที่สีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

รอบบริเวณเต็มไปด้วยศิษย์สาวกแห่งสำนักหลิงเซี่ยวเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ทำให้ท้องฟ้าผืนดินสั่นสะเทือนอย่างน่าหวากลัว ไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสระดับสูงทั้ง 5 แม้แต่ศิษย์ที่ได้ยินการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่อย่างมหันรต์ต่างวิ่งเข้ามายังบริเวณใกล้เคียงเพื่อเฝ้าดูเหตุการณืที่เกิดขึ้น

ซู่ซวนวู่หรี่ตามองศิษย์สาวกกลุ่มนั้นอย่างเยือกเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน : ศิษย์สาวกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลทั้ง 3 ต้องเดินออกไปจากสำนักหลิงเซี่ยวทันที สำนักหลิงเซี่ยวเป็นเพียงสำนักเล็กๆ มันไม่เหมาะสมที่จะเป็นที่พักพิงของพวกเจ้า เพื่อไม่ให้เป็นสิ่งที่ขัดขวางเส้นทางการเติบโตในอนาคตของพวกเจ้าทุกคน ฮึม !!

เมื่อได้ยินคำประกาศเช่นนี้ สีหน้าของศิษย์สาวกจำนวนไม่น้อยแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมัวในทันที จิตใจของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความอัปยศที่มากมาย

พวกเขาต่างเป็นศิษย์สาวกที่ถูกตระกูลทั้ง 3 ดึงตัวไป เดิมทีพวกเขาคิดว่าการเข้าหาตระกูลที่ยิ่งใหญ่จะเป็นผลดีต่อพวกเขา แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่าสำนักของพวกเขาจะแข็งแกร่งและมีเกียรติถึงเพียงนี้

เมื่อยอดฝีมือของตระกูลทั้ง 3 มองเห็นการปรากฏตัวของเหรัญญิกเม้งและประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยว ยอดฝีมือเหล่านั้นต่างหวาดกลัวและเชื่อฟังดั่งกระต่ายตัวน้อย

ในเวลานี้ ศิษย์สาวกเหล่านั้นต่างเต็มไปด้วยความเสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาดไป แต่ในเมื่อผู้อาวุโสที่ 2 ได้ประกาศออกมา พวกเขาจะหน้าด้านและยืนกรานที่จะอยู่ต่อได้อย่างไร ?

ในบริเวณการต่อสู้ กลิ่นอายของหยางไค่ถูกดูดซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาจ้องมองประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ดวงตาของเขาประกายด้วยความสงสัย และความรู้สึกโล่งใจ

ฮ่าฮ่า เม้งวู่หัวเราะ 2 ครั้ง และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว ประมุขโบกมือสั่ง หลังจากนั้นเขาจึงจ้องมองหยางไค่ ก่อนจะเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความเข้าใจ จากนั้นเขาจึงกล่าว : เจ้า ตามข้ามา !!

สีนห้าของผู้อาวุโสทั้ง 5 เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ของหยางไค่จะสามารถทำให้ประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวสนใจในตัวเขา ในตอนนี้ประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวยังเรียกตัวเขาไป นั้นหมายความว่ามันจะส่งผลดีให้แก่หยางไค่อย่างยิ่ง

หยางไค่พยักหน้า จิตใจของเขาเต็มไปด้วยข้อสงสัยจำนวนมากมายที่ต้องการคำตอบ

ร่างกายที่ชโลมด้วยโลหิตทั้งตัว ค่อยๆเดินตามประมุขออกไปทีละก้าวทีละก้าว ศิษย์สาวกจำนวนมากมายต่างมองไปที่หยางไค่ ในเวลานี้สายตาของพวกเขาไร้ซึ่งความชิงชังและความดูหมิ่นเหยียนหยาม แต่มันเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและความหวาดกลัว

ทั้งสองเดินออกจากฝูงชนที่วุ่นวาย ก่อนจะมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งอัดเงียบสงบ

สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวปิดกั้นตนเองเพื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์ ในเวลาทั่วไป แม้แต่ผู้อาวุโสทั้ง 5 ก็มิอาจที่จะย่างกรายเข้ามาได้

จวนหลังเล็กๆ กระท่อมหลังเล็กๆหลายหลังอันเรียบง่าย สวนขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยดอกไม้บุพผาที่พบเห็นได้ทั่วไป สถานที่ประมุขปิดกั้นตนเองเพื่อฝึกฝนวิชายุทธ์ของประมุขไร้ซึ่งความโอ่อ่าหรูหรา มันมีเพียงความเรียบง่ายและความงดงามอันสงบเท่านั้น

ประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยวเดินนำหยางไค่มายังกระท่อมหลังหนึ่ง ประมุขทิ้งเสื้อผ้า 1 ชุด และขวดยา 1 ขวดให้แก่เขา

เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บของตนเองก่อน จากนั้นให้เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมาหาข้าอีกครั้ง เมื่อประมุขกล่าวจบ ร่างกายของเขาได้บินลอยหายไปในพริบตา

แม้จะมีข้อสงสัยที่มากมาย แต่หยางไค่ยังไม่เร่งรีบที่จะกล่าวถาม เขาเข้าไปยังกระท่อม ก่อนจะเทขวดยาและกลืนกินมันเข้าไป

การต่อสู้ในวันเป็นการต่อสู้ที่ยากเย็นแสนเข็ญ ยอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงไม่ง่ายที่จะต่อกรกับพวกเขา ในขณะที่ปะทะกับเขา ตัวเขาเองยังเสียเปรียบอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือจากตราผนึกดวงดารา หยางไค่คงต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอาย ดวงดาราผลาญทะลายของตระกูลไป๋มีพลังอำนาจที่ไม่ธรรมดา ความแข็งแกร่งของมันไม่แตกต่างจากผนึกดวงดราของเขาแม้แต่น้อย

การต่อสู้ในวันนี้ อาจจกล่าวได้ว่าเป็นความตั้งใจของหยางไค่ แม้ว่าเหตุผลจะเกี่ยวข้องกับความหึงหวงซู๋เหยียน แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุด

หยางไค่เพียงต้องการใช้สถานการณ์ที่สำคัญในช่วงเวลานี้ เพื่อยืนยันการคาดเดาที่มากมายของตนเอง

ทำไมท่านพ่อของเข้าจึงส่งเขามายังสำนักหลิงเซี่ยว ท่านพ่อและสำนักหลิงเซี่ยวมีความเกี่ยวพันเช่นไร หรือว่าสำนักแห่งนี้เป็นสำนักที่เขาเคยฝึกฝนในวัยเยาว์ ? การคาดเดาที่ลึกซึ้งผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อหยางไค่มิอาจที่จะคาดเดาถึงเหตุผลที่แท้จริง เขาจึงต้องสร้างเหตุการณ์การต่อสู้ที่วุ่นวายอย่างใหญ่หลวงขึ้น เขาสร้างความวุ่นจนตนเองมิอาจที่จะควบคุมมันได้ ท้ายที่สุดจะมีกลุ่มคนระดับสูงจัดการเรื่องนี้ให่แก่เขาเอง

บุคคลระดับสูงที่จัดการเรื่องราวทั้งหมดให้เขา คือบุคคลที่สำคัญที่สุด !! แต่หยางไค่ไม่คาดคิดว่า เหตุการณ์วุ่นวายที่เขาสร้างขึ้นมาและคนที่เขาบีบคั้นให้ออกมา จะเป็นประมุขแห่งสำนักหลิงเซี่ยว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด