ตอนที่ 208 ตีสุนัขไม่ดูเจ้าของ
ตอนที่ 208 ตีสุนัขไม่ดูเจ้าของ
200,000 ตำลึงถือว่าไม่น้อย เจ้ายังไม่พอใจ ? ไป๋ฟงหยุนขมวดคิ้วไว้แน่น เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาได้รับเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้จำนวนมากมาย แต่พวกเขาไม่เคยเสนอเงินจำนวนที่มากมายเช่นนี้ หากว่าพกวเขาไมได้ยินคำลือเกี่ยวกับพลังอำนาจอันมากมายมหาศาลของเคล็ดวิชานี้ พวกเขาจะกล้าเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ?
เจ้าเด็กนี้ไม่รู้จักเจียมตัว !! ฮึ่ม !! ไป๋ฟงหยุนสบทออกมา ตัวเขาเองเป็นคุณชายแห่งตระกูลไป๋ แม้ว่าเคล็ดวิชานั้นจะมีราคา 200,000 ตำลึง แต่เขาก็ควรจะขายให้ขายในราคา 100,000 ตำลึง
เมื่อต่งชิงฮันเห็นการกระทำของไป๋ฟงหยุน เขารู้สึกโกรธเคือง เขาไม่สามารถที่จะนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้จักหยางไค่และกล่าวข้อเสนอของตนเองออกมา : เจ้าเด็กน้อย ตระกูลต่งของเราขอยื่นข้อเสนอที่มากกว่านั้นให้เจ้า เราขอยื่นเงินจำนวน 200,000 ตำลึง และโอสถปราณจิตของตระกูลของเราอีก 1 ขวด เป็นอย่างไร ?
ไป๋ฟงหยุนและฟางหงจ้องมองต่งชิงฮันด้วยสีหน้าที่ตะลึง เขาไม่คิดว่าต่งชิงฮันจะเสนอโอสถปราณจิตที่ล้ำค่าออกมาด้วย มันเป็นโอสถขั้นปฐพีระดับกลาง แม้ว่ามันจะอยู่ในขั้นที่ไม่สูง แต่ผลของมันเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก เมื่อกลืนกินโอสพปราณจิตเข้าไปมันจะช่วยให้ผู้ฝึกยุทธุ์ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะพลังได้อย่างรวดเร็ว
เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้นั้นมีค่าที่มากมายเช่นนั้น ? ใช่สิ ก่อนหน้านี้ต่งชิงฮันได้พูดคุยกับหยางไค่ไม่น้อย เขาต้องเข้าใจอำนาจพลังของเคล็ดวิชานั้นอย่งแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่เสนอโอสถปราณจิตถึง 1 ขวด
200,000 ตำลึง และ สมบัติขั้นสามัญระดับสูง !! ฟางหงได้ยกระดับข้อเสนอของเขา
ต่งชิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว : ศิษย์พี่ฟาง เจ้ากำลังแข่งขันแย่งชิงกับข้าอย่างเหี้ยมโหด
ฟางหงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป ไป๋ฟงหยุนได้กล่าวขึ้น : ทำไมศิษย์พี่ต่งจึงกล่าวเช่นนั้น เคล็ดวิชานั้นมีพลังอำนาจที่ไม่สามัญ ทุกคนต่างต้องการครอบตองมัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องใช้วิธีการบางอย่างเพื่อได้มันมา เมื่อได้ราคาที่เหมาะสม จึงจะยุติธรรมต่อหยางไค่ ข้าขอยื่นข้อเสนอใหม่ เงินจำนวน 300,000 ตำลึง และสมบัติขั้นสามัญระดับสูง 1 ชิ้น และยังเป็นสมบัติในการป้องกัน !
เมื่อฟางหงได้ยินเขาอึ้งไปชั่วขณะ เขากล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ข่มขื่ม : ศิษย์น้องหยุน จิตใจของเจ้ากว้างขวางยิ่งนัก
ราคาเช่นนี้ เขาไม่กล้าที่จะเสนอมันออกไป แต่เขาไม่คิดว่าไป๋หยุนฟงจะกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
ต่งชิงฮันกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเช่นเดียวกัน : ในเมื่อศิษย์น้องไป๋ต้องการ ข้าจะไม่แย่งชิงกับศิษย์น้อง หากยังคงยื้อแย่งต่อไป มิตรภาพของเราคงจะจืดจางอย่างแน่นอน
ไป๋ฟงหยุนหัวเราะเสียงดัง เขายกสองมือขึ้นและกล่าว : ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก !! หากเรื่องราวในวันนี้ผ่านพ้นไป ข้าจะเลี้ยงเหล้าเพื่อการเป็นการไถ่โทษ !!
ทั้ง 3 เสนอราคาด้วยความพึงพอใจ ราวกับว่าพวกเขาเชื่อมั่นว่าจะได้รับเคล็ดวิชาตราผนึกดวงดาราอย่างสมบูรณ์ โดยที่พวกเขาไม่คำนึงถึงความคิดเห็นของหยางไค่แม้แต่น้อย
หยางไค่ขมวดคิ้งและกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา : ดูเหมือนว่าข้ายังไม่ได้กล่าวว่าจะขายเคล็ดวิชาการแห่งการต่อสู้นี้ ?
เสียงหัวเราะของไป๋ฟงหยุนแข็งทื่อในทันที ฟางหงก็แสดงสีหน้าที่ตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน
300,000 ตำลึง และสมบัติแห่งการป้องกันในขั้นสามัญระดับสูง มันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเจ้าหรือไง เจ้าเด็กน้อย ทำไมเจ้าต้องแสดงความโลภที่มากมายของเจ้าออกมาด้วย ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป สีหน้าของไป๋ฟงหยุนเยือกเย็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นเฉียบและความข่มขู่
เฉินเจ้าเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋ฟงหยุนหัวเราะอย่างเย็นชา : หยางไค่ ทำไมเจ้าต้องทำในสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ ราคาที่คุณชายไป๋เสนอให้แก่เจ้าก็เป็นราคาที่ยุติธรรมต่อเจ้า เจ้ายังต้องการอะไรอีก ?
ไป่ฟงหยุนเปิดใบพัดของตนเอง เขายกขาไขว้ห้าง และจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่รังเกียจและเหยียดหยามอย่างถึงขีดสุด
ต่งชิงฮันยังคงกล่าวอย่างจงใจ : โอ้ว ? หรือว่าเจ้าอยากเข้าร่วมกับสำนักตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ?
ไป๋ฟงหยุนและฟางหงขมวดคิ้วไว้แน่น พวกเขาคิดว่าความคิดนี้ของต่งชิงฮันมีความเป็นไปได้
แต่พวกเขาทั้งสองยังมิทันที่จะกล่าวอะไร เฉาเจิ้งเหวินได้กล่าวแทรกด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : คุณชายไป๋ เจ้าเด็กคนนี้เข้ามาในสำนักหลิงเซี่ยวกว่า 3 ปี แต่การบ่มเพาะพลังและฝึกฝนวิชายุทธุ์ของเขายังอยู๋ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 เขาเป็นเพียงศิษย์ฝึกหัดของสำนักหลิงเซี่ยว คนที่ไม่มีความสามารถเช่นนี้ ไร้ซึ่งอนาคต หากดึงเขาเข้าไปอยู่ในตระกูลไป๋คงจะทำให้ตระกูลไป๋อับอายขายหน้า คุณชายต้องคิดให้ดีก่อนนะขอรับ
ทันทีที่กล่าวจบ หยางไค่พลิกข้อมืออย่างกะทันหัน เหล้าที่อยู่ในมือของหยางไค่พุ่งออกไป มันสาดไปยังใบหน้าของเฉาเจิ้งเหวินโดยตรง
ใบหน้าของทุกคนที่อยู่บนโต๊ะอาหารเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะสีหน้าของไป๋ฟงหยุน สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างน่าเกลียดที่สุด
หยางไค่ เจ้ารนหาที่ตาย !! เฉาเจิ้งเหวินโกรธเคือง ในขณะที่เขากำลังจะลงมือโจมตีหยางไค่ แต่กลับถูกหยุดยั้งจากไป๋ฟงหยุน
เจ้าเด็กน้อย เจ้าตีสุนัขก็ต้องดูว่าเจ้าของของมันเป็นใคร ไป๋หยุนฟงจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น ดวงตาประกายด้วยแสงแห่งความโกรธเคือง : ในวันนี้ หากเจ้าหาคำอธิบายที่ไม่พอใจ อย่าหวังว่าจะมีชีวิตออกจากสถานที่แห่งนี้
ต้องการคำอธิบาย ? สีหน้าของหยางไค่ยังคงเย็นชา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย : เคล็ดวิชาของข้าเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คำอธิบายนี้เพียงพอหรือไม่ ?
***พืชสมุนไพร ศัตราวุธ สมบัติวิเศษ โอสถวิเศษในใต้หล้าแห่งนั้นต่างมีการแบ่งระดับชั้น จากระดับสามัญ ขึ้นไปยังระดับปฐพี ระดับฟ้าสวรรค์ ระดับลมปราณวิเศษ ระดับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธ์ ระดับมหาจักรพรรดิ ทุกระดับจะมีการแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ***
เมื่อข่าวกล่าวนี้ถูกกล่าวออกไป สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตะลึง แม้แต่ต่งชิงฮันยังตกตะลึงเช่นคนอื่นๆ
ระดับจิตวิญญานศักดิ์สิทธิ์!
พวกเขาล้วนคิดว่าหยางไค่ได้รับเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ที่อยู๋ในขั้นฟ้าสวรรค์ แต่ไม่มีใครคาดคิว่ามันเป็นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญานศักดิ์สิทธิ์
แม้แต่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นตระกูลต่ง ตระกูลไป๋ หบุเขาจือเหว่ย ยังไร้ซึ่งเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในระดับจิตวิญญาณลึกลับ เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นจิตวิญญานศักดิ์สิทธิ์ล้วนในตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ล้วนเป็นสมบัติลึกลับที่ไม่เผยแพร่ให้แก่ใคร หากพวกเขาไม่ใช่ผู้สืบทอดพวกเขาจะไมได้รับอนุญาตให้ฝึกฝน
คำกล่าวนี้เป็นความจริง ? น้ำเสียงของต่งชิงฮันสั่นเทา เขาสบทด่าตนเองอยู่ในใจ หากเขาทราบว่ามันเป็นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นจิตวิญญานศักดิ์สิทธิ์ เขาคงไม่เอ้อระเหยเช่นนี้ เขาคงเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าให้แก่น้องชายบุญธรรมของเขาตั้งแต่แรก แต่ในตอนนี้ยังมีผู้โง่เขลาเช่นนี้ไป๋ฟงหยุนและฟางหงเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องคงไม่ง่ายเหมือนในตอนแรก
ภายในถ้าสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์ ความแข็งแกร่งของเข้าอยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 7 แต่ข้าสามารถโจมตีสัตว์อสูรขั้นที่ 6 จนได้รับบาดเจ็บ คงไม่ต้องกล่าวถึงพลังอำนาจของเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้นี้อีก ? หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ลมหายใจของพวกเขาเริ่มร้อนรนมากขึ้น พวกเขาจ้องมองหยางไค่ โดยไร้ซึ่งความดูหมิ่นและเหยียดหยามอีก ดวงตาของพวกเขาทุกคนล้วนประกายด้วมความโล�
ข้อเสนอเมื่อสักครู่ไม่เปลี่ยนแปล เจ้าสามารถเข้าสู่ตระกูลไป๋ของเราและกลายเป็นศิษย์ของตระกูลไป๋ ไป๋ฟงหยุนสูดลมหายใจในการยื่นข้อเสนอที่เด็ดขาด เขาใช้ฐานะศิษย์ของตระกูลไป๋แลกกับเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นจิตวิญญานศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลไป๋ต้องได้รับผลประโยชน์อย่างมาก แต่หลังจากที่เจ้าเด็กที่ชื่อว่าหยางไค่เข้าสู่ตระกูลของเขา เขาจะได้รับการปรณิบัติเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา
ข้าจะยอมรับเจ้าในฐานะศิษย์ของหุบเขาจื่อเหว่ย ในวันข้างหน้าข้าจะมอบปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการบ่มเพาะพลังและฝึกฝนวิชายุทธุ์ให้แก่เจ้า ฟางหงกล่าวยื่นข้อเสนออย่างรวดเร็ว
ข้าไม่สนใจที่จะเข้าร่วมกับตระกูลของพวกเจ้าแม้แต่ตระกูลเดียว หยางไค่ไร้อารมณ์ที่จะกล่าวคำพูดที่สิ้นเปลือง : หากพวกเจ้าอยาได้เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ของข้า ได้ แต่พวกเจ้าต้องนำเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นจิตวิญญานศักดิ์ระดับเดียวกันมาแลกกับเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ของข้า !!
ฟางหงขมวดคิ้ว เขาแสดงสีหน้าที่น่าเกลียดออกมา : เจ้าอยากได้ความลับที่ไม่เปิดเผยของพวกเรา
หากมันอยู่ในขั้นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน พวกเราแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ไม่มีใครเสียเปรียบ ทำไม ? การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ไม่ยุติธรรม ? หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าที่แยแส
ไป๋ฟงหยุนหัวเราะอย่างเสียงดัง : มันเป็นไปไม่ได้ ความลับที่ไม่เผยแพร่ของตระกูลไม่มีทางที่จะเผยแพร่ออกมา นอกเสียจากจะเป็นทายาทผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของตระกูลไป๋ คนนอกไม่มีสิทธี่จะได้รับอนุญาติให้ฝึกฝนมัน
งั้นเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกันอีก หยางไค่ลุกขึ้น และเริ่มเดินจากไป
หนี ? สีหน้าของไป๋ฟงหยุนเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขาหัวเราะด้วยความเยือกเย็น เขายื่นมือขวางทางเดินของหยางไค่ : ในวันนี้หากเจ้าไม่มอบเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ของเจ้าให้แก่เขา อย่าคิดที่จะหนีออกไปจากที่นี้
เมื่อไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ไป๋ฟงหยุนจึงต้องใช้วิธีแย่งชิง ศิษย์ต่ำต้อยของสำนักหลิงเซี่ยวไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย
ถอยไป !! หยางไค่ไม่ชอบหน้าของเขาตั้งแต่แรก เมื่อเห็นเขาลงมือเช่นนี้ เขาจะรอช้าได้อย่างไร เขาพุ่งหมัดออกไปอย่างรุนแรง
ไป๋ฟงหยุนสบทด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น เขาพุ่งฝ่ามือของเขารับหมัดที่โจมตีเข้ามาของหยางไค่
ปัง !!!! เสียงปะทะดังขึ้น พลังลมปราณที่รุนแรงระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ทำให้กระท่อมไม้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ อย่างกะทันหัน
ชู่ว ชู่ว ชู่ว !!! เงาร่างหลายร่างกระโจนออกมาจากภายใน
ใบหน้าของต่งชิงฮัน ไป๋ฟงหยุน ฟางหง หยางไค่ เฉาเจิ้งเหวินและศิษย์ของสำนักหยุนเซี่ยวอีกคนต่างคละคลุ้งไปด้วยเศษฝุ่น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตรึงเครียด
เจ้ากล้าลงมือโจมตีข้า !! ไป๋ฟงหยุนเกรี้ยวโกรธอย่างสุดขีด สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างโหดเหี้ยม การปะทะกันเมื่อสักครู่ แม้ว่าเขาไมได้เสียเปรียบ แต่เขาไม่สามารถหยุดยั้งหยางไค่ เขาประหลาดใจกับพลังลมปราณที่แข็งแกร่งของหยางไค่ เขาอยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 1 อย่างเห็นได้ชัด แต่เขาสามารถรับมือกับการโจมตีของตนเอง มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
คุณชายไป๋ ร่างกายของท่านสูงส่ง ไม่จำเป็นที่ท่านต้องลงมือให้แปดเปื้อน ให้ข้าลงมือจัดการกับมันเพื่อสลายความขุ่นเคืองของคุณชายเอง !! เฉาเจิ้งเหวินอาสาที่จะลงมือ เพราะมือสักครู่เขาถูกหยางไค่สาดเหล้าใส่ใบหน้าของตนเอง ทำให้เขาอับอายอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องหาทางแก้แค้นหยางไค่ นอกจากนั้นเขายังเข้าร่วมเป็นศิษย์แห่งตระกูลไป๋ ในเวลานี้เขาต้องหาโอกาสในการแสดงความสามารถของตนเอง !
เมื่อเขาสามารถทุบตีทำร้ายหยางไค่ได้อย่างสาสม เขาจะสามารถเบาเทาความเกรี้ยวโกรธของไป๋ฟงหยุน หลังจากวันนี้เขาจะได้รับการปรนิบัติที่ดีจากไป๋ฟงหยุนอย่างแน่นอน
ไป๋ฟงหยุนพยักหน้าอย่างเย็นชา : เจ้าต้องทำให้มือและเท้าของมันหักจนใช้การไม่ได้ ให้มันรู้ว่าการไม่เคารพข้าจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร เป็นเพียงแค่ศิษย์ต้อยต่ำจากสำนักเล็กๆ แต่กล้าที่จะเสียมารยาทต่อข้า !!
คุณชายโปรดวางใจ ข้าอยากจะสั่งสอนศิษย์น้องผู้นี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เฉาเจิ้งเหวินหัวเราะอย่างเย็นชา เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยระยะห่างประมาณ 10 จ้าง เขากล่าวตะโกนต่อหยางไค่ : ศิษย์น้องหยาง อย่ากล่าวโทษว่าศิษย์พี่เช่นข้าไม่ให้โอกาสแก่เจ้า เพียงแค่เจ้าคุกเข่าลง ค่อยๆคลานมาคำนับคุณชายไป๋ ไม่แน่ว่าคุณชายไป๋อาจจะปลอ่ยเจ้าไป มิฉะนั้นเจ้าต้องได้รับความทุข์ทรมาณที่หนักหนาสาหัส
หยางไค่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยาม : ตั้งแต่เป็นสุนัขรับใช้ของผู้อื่น คำกล่าวคำจาโอหังขึ้นนี่
ใบหน้าของเฉาเจิ้งเหวินแดงก่ำ เขากล่าวตะโกนด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง : คุณชายไป๋กระทำต่อข้าด้วยความเคารพและเมตตา ข้าติดตามเขาไปแล้วจะอย่างไร ? แม้แต่ผู้อาวุโสยังไม่เคยกล่าวว่า เจ้ามีสิทธิ์เช่นไรถึงมากล่าวโทษข้าเช่นนี้ ?
เป็นคนทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง ยังคาดหวังว่าผู้อื่นจะเห็นความสำคัญของเจ้าหรือไง ?
ข้าคิดว่าเจ้าเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกับข้า ข้าจึงไม่อยากบีบบังคับเจ้า แต่ว่าเจ้ารนหาที่ตายอีก อย่าโทษว่าศิษย์พี่คนนี้มีจิตใจที่อำมหิตล่ะ เฉาเจิ้งเหวินสูดลมหายใจเข้า เขากดทับเปลวเพลิงแห่งความเกรี้ยวโกระ เขาค่อยๆหมุนเวียนพลังลมปราณภายในร่างกาย เขาเปิดใช้ท่าร่างของตนเองและพุ่งไปยังทิศทางของหยางไค่โดยไม่ลังเลอีก
แต่ในขณะที่เขากำลังจะก้าวออกไป ยังมิทันที่เขาจะพุ่งโจมตีหยางไค่ ตรงหน้าของเขากระพริบไปมา หยางไค่ที่อยู่ห่างจากเขาประมาณ 10 จ้างได้มาถึงตรงหน้าของเขาในพริบตา
สีหน้าของเฉาเจิ้งเหวินแสดงออกอย่างตื่นตะลึง สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขารีบพุ่งกระบวนท่าในการโจมตีของเขาออกไป
หยางไค่ยื่นมือออกมารับการโจมตีจากเฉาเจิ้งเหวินก่อนจะทำลายการโจมตีของเฉาเจิ้งเหวินอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหมัดของเขาได้ประกายด้วยเปลวเพลิงสีแดงก่ำ หมัดอัคคีผลาญเปลวเพลิงของเขาได้พุ่งออกไปอย่ารุนแรง
หมัดอัคคีผลาญเปลวเพลิงพุ่งโจมตีไปยังตรงกลางหน้าอกของเฉาเจิ้งเหวิน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดในทันที หน้าอกของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เท้าของเขาก้าวถอยหลังอย่างซวนเซเพื่อทำลายการโจมตีด้วยหมัดที่รุนแรงของหยางไค่
เขาถอยห่างจากหยางไค่ได้ระยะหนึ่ง แต่พลังลมปราณที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขายังคงระเบิดพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง
ปัง ปัง ปัง !! เสียงระเบิดที่อึมครึ่มดังขึ้น ทำให้เฉาเจิ้งเหวินพ่นโลหิตสีแดงสดออกมาจากปากของเขา
การโจมตีเพียงครั้งเดียวแต่ได้รับชัยชนะ !! การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตื่นตะลึงกังสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้ว่าการบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเฉาเจิ้งไม่สูงมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 5 แต่เขากลับถูกหยางไค่โจมตีด้วยหมัดเดียวจนกระอัดโลหิตออกมาอย่างน่าสังเวช
แม้ว่าการโจมตีของเขาจะแข็งแกร่งและรุนแรง แต่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาที่เสมือนภิตผีปีศาจที่ไร้ตัวตนทำให้ผู้คนต่างตื่นตะลึงอย่างแท้จริง
เห็นได้ชัดเจนว่าเฉินเจิ้งเหวินไมคิดไม่ฝันว่าหยางไค่จะแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เมื่อเขากระอักโลหิตออกมา ยังมิทันที่เขาจะตั้งตัวได้ หยางไค่ได้พุ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้ง ในเวลาที่คับขันเขาใช้กระบวนท่าที่ยุ่งเหยิงในการต่อต้านการโจมตีของหยางไค่ แล้วเขาจะสามารถต้านการโจมตีของหยางไค่ได้อย่างไร ? เมื่อผ่านไป 10 กระบวนท่า เฉาเจิ้งเหวินถูกหมัดของหยางไค่โจมตีอีกครั้ง
ปัก !! เสียงกระดูกที่แตกกระจายดังขึ้นจากทรวงอกของเขา เฉาเจิ้งเหวินเจ็บปวดจนเหงื่อเย็นไหลย้อยเต็มหน้าผาก
สีหน้าของหยางไค่ยังคงเย็นชาและไร้ปราณี เขาโจมตีอย่างรุนแรง ทุกการโจมตีของเขาต้องการทำร้ายเฉิงเจ้าเหวินอย่างชัดเจน การโจมตีในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เฉินเจ้าเหวินทำได้เพียงรับมือการโจมตีโดยมิอานที่จะโจมตีกลับไปได้
10 ลมหายใจผ่านไป สายตาของเฉาเจิ้งเหวินเริ่มพร่ามัว หยางไค่ลอยตัวและกระโดดเตะเฉาเจิ้งเหวิน จนร่างกายของเฉาเจิ้งเหวินปลิวว่อนออกไปดั่งผ้าที่เบาบาง ร่างกายของเขาลอยกระแทกลงไปที่พื้น โดยไม่ลุกขึ้นมาอีก
เขายังไม่ตาย แต่ไม่มีใครทราบว่ากระดูกของเขาหักและแตกไปมากเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาต้องนอนพักรักษาตัวกว่าหลายเดือนถึงจะหายเป็นปกติ