ตอนที่ 64 น้ำค้างลมปราณ !
แปลโดย : Roping
– – – – – – – – – – – –
ด้วยสายตาจำนวนมากที่จ้องมองมาอย่างหมายที่จะตรวจสอบ ชายชราที่แต่งกายในชุดสีเทาก็ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อต้อนรับ เขาโน้มกายลงต่ำจนถึงระดับเอวอย่างนอบน้อมและเป็นทางการ “ในฐานะตัวแทนผู้ดูแลที่แห่งนี้ ชายชราแซ่จูผู้นี้ขอต้อนรับ โปรดแจ้งให้ข้าได้ทราบว่าจะช่วยบริการนายท่านได้เยี่ยงไรจะได้หรือไม่?”
หลังจากที่กวาดตามองไปรอบๆจนทั่ว เฟิ่งจิ่วก็รั้งสายตากลับมามองชายชราตรงหน้าและกล่าวว่า “หาห้องส่วนตัวมาให้ข้า ตรงที่ๆข้าจะสามารถชมการประลองในสนามได้”
เมื่อได้ยินดังนั้นชายชราก็ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นนายท่านโปรดตามชายชราผู้นี้มา ลานประลองอยู่ห่างไปทางด้านนี้” เขาเดินนำหน้าและพาเฟิ่งจิ่วไปที่ห้องส่วนตัวที่ชั้นสองเหนือขึ้นไปจากสนามประลอง
“นายท่านพึงพอใจกับห้องหรือไม่?” ชายชราเอ่ยถามพลางเปิดหน้าต่างกับที่จะยืนคอยอยู่ที่ริมห้อง
เฟิ่งจิ่วก้าวไปข้างหน้าและเห็นสนามประลองที่เป็นสี่เหลี่ยมมุมฉาก ล้อมรอบไปด้วยแถวที่นั่งของผู้ชมหลายต่อหลายแถวบนชั้นแรก ส่วนชั้นสองนั้นเป็นห้องส่วนตัวทั้งหมด รวมทั้งหมดนั้นตั้งแต่หัวจรดท้ายนั้นน่าจะสามารถบรรจุคนได้เกือบหนึ่งพันคน
ขณะนั้นในสนามก็กำลังมีนักสู้สองคนกำลังประลองกันอยู่ บรรยากาศเข้มข้นไปด้วยเสียงกู่ร้องจากคนดูแต่ละฝ่ายที่พยายามส่งเสียงเชียร์ให้ดังกว่าอีกฝ่าย
“ที่นี่เป็นเพียงตลาดสาขาย่อย เราจึงมีลานประลองแค่เพียงลานเดียวและมีกระดานจัดอันดับเพียงอันเดียวเช่นกัน หากวันใดนายท่านได้ไปที่เมืองจันทร์สลัว ท่านสามารถไปเยี่ยมชมตลาดสาขาใหญ่ของเราได้ที่นั่น มีเพียงตลาดสาขาใหญ่เท่านั้นที่จะมีตารางจัดอันดับสามตารางที่โดยแบ่งออกเป็นอันดับปราณ อันดับปฐพีและอันดับสวรรค์”
เมื่อเห็นว่าเฟิ่งจิ่วเพียงแค่มองดูโดยไม่กล่าวสิ่งใด ผู้ดูแลจึงกล่าวต่ออย่างยิ้มแย้ม “หากนายท่านสนใจ ท่านก็สามารถลงเดิมพันนักสู้ที่ท่านคาดว่าจะชนะได้ อัตราส่วนที่ได้นั้นจะเป็นหนึ่งต่อสิบขอรับ”
หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วก็หมดความสนใจและหันกลับมามองที่ชายชราแล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีผู้ประเมินราคาไหม?”
ผู้ดูแลนั้นแปลกใจอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า “มีอย่างแน่นอน ขอทราบได้หรือไม่ว่าสินค้าแบบใดที่นายท่านต้องการที่จะประเมิน?”
“โอสถ”
หลังจากที่ได้ยิน สีหน้าของผู้ดูแลก็เริ่มที่จะจริงจังขึ้น “นายท่านโปรดรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวชายชราผู้นี้จะพาผู้ประเมินมาหาท่าน”
ทันทีที่ประตูปิด ผู้ดูแลก็หันกลับไปมองที่ห้องนั้นอย่างครุ่นคิดก่อนที่จะรีบเดินห่างไป
ราวครึ่งชั่วธูปต่อมา ผู้ดูแลจูก็กลับมาและพาชายชราอีกสองคนมาด้วย ทันทีที่เปิดประตูออกเขาก็แนะนำให้กับเฟิ่งจิ่วในทันที “นายท่าน สุภาพบุรุษทางด้านนี้คือหัวหน้าผู้ดูแลของที่แห่งนี้มีแซ่ว่าต่ง ส่วนทางด้านนี้คือผู้ประเมินโอสถของเรา ผู้เฒ่าเติ้ง”
ชายทั้งสองที่ก้าวเข้ามาจับจ้องไปที่ชายที่ยืนอยู่ภายใน
ทั้งคู่เห็นเขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงทั้งชุดยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างและกำลังชมการต่อสู้ หน้ากากสีทองของเขาประดับประดาไปด้วยดอกพลับพลึงแดงจากนรกที่กำลังแบ่งบาน ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันยั่วยวนอย่างร้ายกาจ ทว่าในขณะเดียวกันก็เจือไปด้วยความสูงส่งและทรงอำนาจ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกยำเกรงโดยสัญชาตญาณ
เมื่อได้ยินเสียง ชายคนนั้นก็หันมามองพวกเขา นัยน์ตานั้นดูล้ำลึกและดำมืดราวกับบ่อน้ำไร้ก้นบึ้ง เต็มไปด้วยประกายอันแหลมคมและเจือไปด้วยความเกียจคร้านเฉยชา
เพียงประเมินโดยจากภายนอก ชายทั้งสองก็ทราบว่าชายในชุดแดงผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ผู้แซ่ต่งยินดีที่ได้พบท่าน โอสถใดที่ท่านต้องการให้ประเมิน?”
โอสถนั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงผู้ที่มีทักษะในด้านการปรุงโอสถเท่านั้นจึงจะผลิตออกมาได้ อย่าว่าแต่เมืองเล็กเช่นนี้ แม้แต่ในเมืองใหญ่เช่นเมืองจันทร์สลัวก็ยังพบได้ยาก ดังนั้นเมื่อทราบว่ามีผู้ที่ต้องการให้ประเมินโอสถเขาจึงรีบมาในทันที
เฟิ่งจิ่วกวาดตามองพวกเขาแว่บหนึ่งก่อนจะหยิบขวดเล็กๆออกมาให้ผู้ดูแลจูที่ยืนอยู่ข้างๆ และกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
“ในขวดนี้คือน้ำค้างลมปราณ มันช่วยให้ผู้ที่ใช้พลังปราณจนหมดสิ้นสามารถระเบิดพลังขึ้นมาได้ถึงสามเท่าจากระดับเดิมของพวกเขา ผลของมันจะอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม”
“ว่าไงนะ?” ชายทั้งสามตกตะลึงกับคำกล่าวอ้างฤทธิ์ยาและมองอย่างเหลือเชื่อ