คุณหมอย้อนเวลา - ตอนที่ 1 : เบจองกุกไปโชซอน
ตอนที่ 1 – เบจองกุกไปโชซอน
จองกุกกำลังสวมเสื้อกาวน์ที่แข็งราวกับชุบด้วยกาวน้ำข้าวที่คนเกาหลียุคก่อนนิยมใช้ เขาดูมั่นใจมากขณะที่เดินสวมเสื้อกาวน์ออกมา..
“สวัสดีตอนเช้า.. ศาสตราจารย์เบ..!”
“สวัสดีตอนเช้าเช่นกันครับ”
“นี่คุณกำลังสับเปลี่ยนเวรเหรอ?”
“ไม่.. ผมกำลังจะไปพบท่านผู้อำนวยการ ไว้เจอกัน”
“ครับศาสตราจารย์..”
จองกุกขึ้นลิฟท์ไปหลังจากที่เดินผ่านพยาบาลและบรรดาแพทย์ประจำบ้าน (Resident) ไป จากเงาในกระจกทำให้เห็นใบหน้าที่ดูหล่อเหลาเป็นพิเศษ
เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุได้เพียงสามสิบต้นๆ และเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ไหล่กว้าง รูปร่างบอบบาง เขาไม่จู้จี้จุกจุกเรื่องผู้หญิงมากนัก และก็ไม่รังเกียจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับบรรดาสาวๆ เขาชอบการเอ็นเตอร์เทนสาวๆ บางครั้งเขาก็ไปสนุกกับสาวๆที่เคยเจอกันมาเมื่อหลายปีก่อน และบางครั้งก็ออกไปกับสาวๆพร้อมกันทีเดียวสองสามคนต่อวัน
แต่ปัญหาอยู่ที่ใจของเขาเอง.. เขายังไม่พบเจอใครที่เขาชื่นชอบจริงๆ ดูเหมือนว่าเขาคงทิ้งความคิดเรื่องความรักโรแมนติคอะไรพรรณนั้นไว้ในท้องแม่ไปแล้ว เพราะเขาไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงคนใหนเลย และเขาก็ไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับหญิงสาวคนใหนด้วย
...
‘ผมหวังว่านี่จะไม่ใช่การประชุมที่จัดขึ้นโดยลูกสาวของศาสตราจารย์บางท่านนะ ผมจะไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักได้ยังไงกัน? และถ้าเธอเป็นลูกสาวของบรรดาศาสตราจารย์ ก็ยิ่งยากที่จะบอกปัด หลังจากที่ได้พบกันอย่างเป็นทางการเพียงสองสามครั้ง’
เขาไม่ชอบการพบเจอกันที่ดูจริงจัง..
‘ติ๊งต่อง’
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ลิฟท์ก็มาหยุดอยู่ที่ชั้นบนสุด ด้านซ้ายมือมีประตูเล็กๆ และภายในห้องก็มีประตูอีกบานหนึ่ง
เขาจะต้องเปิดประตูห้องเข้าไปจึงจะได้พบกับท่านผู้อำนวยการ
เมื่อจองกุกเดินเข้าไปใกล้ เลขานุการที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ทักทายว่า “ศาสตราจารย์เบ.. รอสักครู่น่ะคะ”
“ครับ..”
เมื่อเลขานุการเข้าไปรายงานว่าเขามาถึงแล้ว ประตูห้องก็เปิดออก..
“ศาสตราจารย์เบ! เข้ามาสิ” ท่านผู้อำนวยการทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเช่นเคย
‘เขาคงมีอะไรจะบอกผม’ จองกุกถอนหายใจขณะเดินตรงไปยังห้องท่านผู้อำนวยการ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกระเป๋าเครื่องมือสำหรับออกตรวจสีดำวางอยู่บนทางเดินที่ทอดไปยังห้องของท่านผู้อำนวยการ
ยังมีคนใช้กระเป๋าออกหน่วยโบราณแบบนี้อีกเหรอ..
เขาคงจะไม่สนใจถ้าเป็นวันปกติธรรมดาๆ แต่ในวันที่พิเศษแบบนี้เขากลับรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ
.....
ขณะที่จองกุกกำลังเดินเข้ามา.. ท่านผู้อำนวยการก็ยืนรออยู่พอดี
“เห้.. ศาสตราจารย์เบ.. เข้ามาข้างในสิ”
“สวัสดีตอนเช้าครับท่านผู้อำนวยการ..”
“ผมต้องขอโทษด้วยที่โทรหาคุณในวันที่ยุ่งแบบนี้”
“ไม่เลยครับ.. วันนี้ผมไม่มีตารางตรวจพิเศษอะไร” แต่ถ้ามีตรวจสักเคสก็น่าจะดี เขาจะได้มีข้ออ้างไม่ต้องมาที่นี่..
ผู้อำนวยการถูมือเข้าด้วยกัน ‘ดูเหมือนว่าท่านผู้อำนวยการ คงต้องมีเรื่องยุ่งยากมาขอให้เขาทำแน่ๆ’
‘เขาจะถูมือแบบนั้นเวลาที่ขอให้ผมไปเล่นกอล์ฟเป็นเพื่อนเขาในวันหยุด’ จองกุกคิด
‘แล้วตอนนี้เขาก็ถูมือแบบเดิมเร็วๆถึงสองครั้ง จะมีอะไรที่น่าหงุดหงิดไปกว่าการต้องตื่นแต่เช้าไปเล่นกอล์ฟในวันตรุษจีนที่ลมพัดเย็นอีกล่ะ?’
จองกุกฝืนยิ้มระหว่างที่รอฟังท่านผู้อำนวยการพูดต่อให้จบ..
.....
“คุณรู้จักท่านประธานใช่ไม๊? ผมหมายถึงท่านประธานของโรงพยาบาล”
ทำไมศาสตราจารย์ในโรงพยาบาลอย่างเขา ถึงจะไม่รู้จักท่านประธานของโรงพยาบาลล่ะ? จองกุกพยักหน้า..
“ท่านประธานต้องการให้คุณไปรักษาท่านที่บ้าน แล้วท่านก็มีหญิงสาวจะแนะนำให้คุณรู้จัก”
“ขอโทษนะครับ?”
“ผมบอกกับท่านประธานไปแล้วว่ามันคงจะแปลกๆ ที่ศาสตราจารย์เบจะไปเยี่ยมท่านที่บ้าน แต่ท่านประธานยังคงยืนยันเหมือนเดิม”
“ห๊า..” จองกุกมองผู้อำนวยการพร้อมกับถอนหายใจ ‘นี่ถ้าเป็นการไปเยี่ยมเยียนท่านประธาน และต้องนั่งคุยกับผู้หญิง ผู้อำนวยการน่าจะต้องถูมือสองครั้งให้เร็วกว่าที่ทำอยู่ตอนนี้...’
เป็นการยากที่จะปฏิเสธ.. แม้เขาอยากจะปฏิเสธมาก แต่ก็คงจะทำไม่ได้.. เพราะนี่ฟังดูคล้ายเป็นคำสั่งมากกว่าอย่างอื่น..
เขาเป็นถึงประธานของโรงพยาบาลจุงมู..
และเป็นประธานของจุงมูกรุ๊ปที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี กลุ่มนี้มีชื่อเสียงด้านรักชาติ และนั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดกลุ่มบริษัทถืงได้มีชื่อว่า จางมูจง อี ซุนจิน (อีซุนจินคือแม่ทัพเรือในยุคโชซ็อนที่ช่วยประเทศให้รอดพ้นจากญี่ปุ่น)
ถ้าท่านประธานต้องการให้เขาไปเยี่ยมที่บ้าน เขาคงต้องทำตามคำสั่งจะดีกว่า แม้บ้านของท่านประธานยังตั้งอยู่ในเขตที่ค่อนข้างอันตรายอย่าง DMZ (ดีเอ็มซี มาจากคำว่า Demilitarized Zone แปลว่าเขตปลอดทหาร แบ่งกันตามชายแดนเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ทหารของฝ่ายใดก็ห้ามเข้าไปในโซนนี้ แม้แต่ทหารยังไม่ให้เข้า พลเรือนแทบไม่ต้องพูดถึง หรืออาจเรียกว่าเขตปลอดผู้คนก็น่าจะได้เช่นกัน)
“ท่านสั่งให้ผมจัดกระเป๋าสำหรับออกหน่วยตรวจให้ด้วย ข้างในมียามากมายหลายอย่างที่ท่านประธานต้องการ ในกระเป๋านั่นนอกจากยาสามัญ ก็ยังมีเครื่องมือแพทย์อย่างอื่นอีก คุณก็เอาไปให้เขา แล้วก็แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่าเขาคงต้องไปพบท่านประธานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะดูเหมือนท่านผู้อำนวยการได้ตัดสินใจแทนเขาไปแล้ว
“แล้วจะให้ผมไปยังไง?”
“คุณบอกว่าวันนี้คุณไม่มีเคสด่วนใช่ไม๊..?”
“ใช่ครับ..” เขาบอกไปแล้วอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงปฏิเสธอะไรไม่ได้แล้ว
“งั้นก็ไปตอนนี้เลย ผมเตรียมรถไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว”
“ห๊า.. ครับ”
“ขอโทษนะ.. แต่.. มันน่าจะเป็นผลดีกับคุณ คุณไม่สนใจผู้หญิงที่ใหนอยู่แล้ว ถ้าคุณแต่งงานกับหญิงสาวที่ท่านประธานแนะนำ มันก็จะดีกับตัวคุณ”
“ไร้สาระ! แต่ผมก็เข้าใจ ผมไปก่อนล่ะครับ”
“โอเค.. ตามสบาย”
....
จองกุกเข้าไปนั่งในรถเก๋งพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์สีดำ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งรถเก๋งคันเดิมก็มาหยุดอยู่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวในฮันนัมดง ป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างเล็กจนเขาเองก็ไม่ทันสังเกตุ
คนขับรถกดปุ่ม.. แล้วประตูก็เปิดออก..
“เชิญคุณเข้าไปด้านในได้เลยครับ”
“ได้..” จองกุกก้มหัวลงแล้วเดินเข้าไปด้านใน ปกติเขาเป็นคนค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกแบบนั้น..
สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างทรุดโทรมกว่าที่เขาคาดคะเนไว้มาก เมื่อเดินเข้าไปด้านใน เขาก็มองเห็นทางเดินที่มีแสงไฟส่องกระพริบอยู่
‘นี่มันดูเย็นยะเยือกมากกว่าทรุดโทรมเสียอีก’ เขารู้สึกราวกับว่าผู้ที่รอคอยเขาอยู่นั้นคือยมฑูตมากกว่าจะเป็นท่านประธานของโรงพยาบาล
“ศาสตราจาร์เบ?” จู่ๆก็มีเสียงก็ดังขึ้นมา..
“ห๊ะ? นั่นใครพูด?” จองกุกมองไปรอบๆทางเดิน และเขาก็เห็นลำโพงและกล้องติดตั้องอยู่บนเพดาน
.....
“ท่านประธานครับ?”
“คุณเดินเข้ามาตามทางได้เลย”
“ครับ.. ผมกำลังไป”
มันเป็นคำสั่งของท่านประธานที่มีฐานะสูงศักดิ์ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากได้แต่ทำตาม ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองยังเป็นเหมือนคนที่ช่วยชีวิตคนของท่านประธานไว้ด้วย เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านประธานจึงดูชื่นชอบเขาเป็นพิเศษ
ตอนที่เขายังเป็นแพทย์ประจำบ้าน (Resident) อยู่นั้น ด้วยความบังเอิญ.. มีเหตุให้เขาต้องรักษาเลขานุการของท่านที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน และหลังจากเหตุการณ์นั้น ท่านประธานจะจองตัวเขามาตลอด
....
ระหว่างทางที่เดินเข้าไป.. เขาได้กลิ่นฝุ่นอับๆ สองข้างทางที่เขามองเห็นก็มีเพียงวัตถุโบราณ และดูเหมือนจะเป็นของต้องห้ามที่ห้ามเก็บเป็นสมบัติส่วนตัวในบ้านด้วย
ของพวกนั้นล้วนเป็นอาวุธ..
‘ท่านประธานนี่แปลกมาก ทำไมเขาเรียกผมมาพบในสถานที่แบบนี้?’
หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็มาถึงห้องสุดท้ายที่มีประตูเปิดอ้าอยู่ เขาได้ยินเสียงพึมพำมาจากด้านใน..
แน่นอนว่าเป็นเสียงของท่านประธาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ
‘ทำไมฟังดูไม่เหมือนภาษาเกาหลีเลย..’ เขารู้สึกกังวลใจขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูที่เปิดไว้เพียงครึ่งเดียว
‘อะแฮ่ม..’ เขากระแอมเบาๆอย่างสุภาพเพื่อเป็นการบอกว่าเขาได้มาถึงแล้ว
“อืมม.. เขามาข้างในสิ”
จองกุกเปิดประตูและเดินเข้าไป กลิ่นหอมอาโรมาจากชาลอยเข้ามาเหมือนเป็นการทักทายเขา..
‘นั่นเป็นชาผู่เอ๋อนี่’
ชายชราผมขาวโพลนกำลังนั่งอยู่บนโซฟา แม้เขาจะมีผมสีขาว แต่ใบหน้าของเขาก็ยากที่จะเดาอายุได้
ท่านผู้อำนวยการเล่าให้เขาฟังครั้งหนึ่งว่า.. ท่านประธานหน้าตาเหมือนเดิมตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ผู้คนต่างพูดกันล้อเลียนหน้าตาของเขา บางครั้งก็เรียกเขาว่าแวมไพร์
เขามีผิวพรรณที่สวยงามและละเอียดละออ ถ้าเป็นในยุคโชซ็อน เขาก็คงจะไม่ดูเหมือนคนทั่วๆไป ดูเหมือนว่าการมาของเขาคงไม่ใช่แค่การมาเยี่ยนเยียน หรือแค่มาตรวจรักษาแล้วล่ะ..
“ไม่ได้พบกันนานนะ..” ในแววตาที่สดใสของท่านประธาน ดูเหมือนมีความต้องการบางอย่างซ่อนอยู่
“ครับท่านประธาน.. ท่านสบายดีไม๊ครับ?”
“หืมม” ท่านประธานมองจองกุกโดยไม่บอกให้เขานั่งลง “ใหนๆคุณก็มาถึงที่นี่แล้ว ช่วยวัดความดันให้ผมหน่อย”
“ครับท่าน..”
เขาเรียกศัลยแพทย์มาที่บ้านเพื่อวัดความดันเลือดนี่นะ.. จองกุกรู้สึกว่าเขาควรจะวัดความดันเลือดของตัวเองก่อน
เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วเตรียมเครื่องวัดความดันเลือด..
“ท่านยื่นแขนมาให้ผมหน่อยครับ?”
“อืมม.. นี่”
“เจ็บหน่อยนะครับท่าน.. ความดันปกติครับ อยู่ที่ 120 และ 80”
“งั้นรึ? อาจเป็นเพราะวันนี้ผมเพิ่งเล่นกอล์ฟมา มันดีมากเลยนะ” ท่านประธานยิ้มขณะจิบน้ำชา “คุณชอบดื่มชาไม๊?”
“ครับท่าน..”
“ถ้าชอบ.. ก็ลองสักแก้วสิ”
จองกุกจิบชาที่ท่านประธานรินให้กับเขา กลิ่นหอมหวานของชาทำให้เขารู้สึกสบาย และในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้มองภาพและบรรยากาศรอบๆห้อง..
มีโบราณวัตถุและงานศิลปะหลายๆอย่างที่เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นจากที่ใหนมาก่อน! ดาบอันใหญ่ที่แขวนอยู่ด้านหลังของท่านประธานก็ดูน่าประทับใจ
“คุณสนใจวัตถุโบราณไม๊?” ท่านประธานสังเกตุเห็นสายตาที่นิ่งเงียบของจองกุกที่ยิ้มแทนคำตอบ
ถ้าเขาตอบว่าไม่ในตอนนี้.. เขาก็จะไม่อยู่ในจิตใจของท่านประธานอีกเลย ในสมัยเรียนเขาเคยอยู่ชมรมกวี และเขาก็ค่อนข้างสนใจพวกวัตถุโบราณ เขายังเคยท่องกลอนจีนอยู่หลายต่อหลายครั้ง “ผมชอบครับท่าน”
“อ่อ.. ถ้างั้นก็ลองดูภาพวาดนี้สิ” ท่านประธานบอกขณะดึงม้วนภาพออกมาจากลิ้นชัก
มันเป็นม้วนภาพที่เก่ามากๆ และเป็นภาพวาดของใครบางคน แต่ก็ไม่สามารถเห็นใบหน้าได้ชัดเพราะมีคราบสีแดงติดอยู่
ดูเหมือนจะเป็นของไม่ค่อยมีค่า เพราะท่านประธานดูไม่ค่อยหวงแหน แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรสำคัญ แต่เขาก็ไม่อาจละสายตาจากมันได้
จองกุกไม่รู้ตัวว่าจิตใจของเขาได้จดจ่ออยู่กับภาพม้วนนั้น..
ท่านประธานถามราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น “เป็นภาพที่สวยงามใช่ไม๊? เขาพูดแปลกมาก แต่จองกุกก็ไม่ทันสังเกตุ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกโหยหาที่ส่งออกมาจากภาพวาดนั้น แล้วพูดขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น”
“ท่านครับ.. เอ่อ.. ผู้ชายคนนี้.. ไม่ใช่สิ สองคนนี้.. เป็นใครกันครับ?”
“ผมไม่รู้จริงๆ คุณดูดาบในมือเขาสิ?” ในภาพมีดาบแบบเดียวกันกับดาบเล่มใหญ่ที่แขวนอยู่ด้านหลังของท่านประธาน.. และในภาพยังก็มีรูปอย่างอื่นด้วยอย่างเช่น.. ชิงช้า เชือก หนังสือ แปรง แล้วก็เข็มสำหรับทำการฝังเข็ม
ดูเหมือนว่าท่านประธานจะรู้อะไรบางอย่าง ปากของเขาขยับเหมือนต้องการจะบอกอะไร แต่จองกุกก็เอาแต่จ้องมองภาพวาดนั้น
“ดูราวกับว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน ผู้ชายและผู้หญิง” เขาชี้ไปที่เงาของคนสองคนบนภาพ จากภาพวาดนั้น ไม่มีอะไรสามารถบ่งบอกเพศได้เลย แต่จองกุกยังคงมั่นใจว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน
“อย่างงั้นรึ? ในความคิดขอบคุณ.. ทั้งคู่ดูเหมือนสามีภรรยาอย่างงั้นรึ?” ท่านประธานรู้สึกทึ่งกับการสิ่งที่เขาสังเกตุเห็น
“ท่านพูดว่าอะไรนะครับ? เอ่อ..” เขารู้สึกแปลกเมื่อมองภาพ ดูเหมือนชายในภาพดูช่างมีเสน่ห์น่าดึงดูด
จองกุกสัมผัสภาพม้วนนั้นอย่างหลงใหล ท่านประธานไม่ห้ามเขา และได้แต่พึมพำราวกับรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมือของจองกุกสัมผัสเข้ากับม้วนภาพนั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าโลกได้หมุนกลับหัว เขาคิดว่าเขาจับอะไรบางอย่างไว้ได้ แต่ความจริงแล้วเขาคว้าอะไรไม่ได้เลยนอกจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์สีดำใบนั้น
เขาได้ยินเสียงท่านประธานตะโกนดังมาแต่ไกล แต่ก็ฟังไม่เข้าใจ เพราะเสียงนั้นเบามากไม่ต่างจากเสียงยุง
...
ในไม่ช้า.. ใครบางคนก็เขย่าตัวเขาปลุกให้ตื่น..
“นายท่าน.. นายท่าน..! นายท่านกำลังหลับหรือขอรับ?”