บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 73 มาร
ตอนที่ 73
มาร
“แฮก....แฮก....”เสียงหอบหายใจของหยงเวยดังออกมาอย่างหนักหน่วง แม้มันจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมของเจ้าเมือง แต่มันกลับไม่ค่อยอยากไปเสียเท่าไหร่เพราะมันรู้สึกว่าเสียเวลาฝึกฝนของมันมากกว่า
ฟุบ! ดาบในมือของหยงเวยวาดไปอย่างรวดเร็วพร้อมท่วงท่าที่ดุดันรุนแรง แม้จะเป็นวิชาจากสำนักเล็กๆแต่หยงเวยก็ฝึกจนเชี่ยวชานและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความจริงก่อนหน้านี้ตัวหยงเวยมั่นใจในตัวเองมาก แต่พอมาเข้าสำนักเขี้ยวมังกรก็ราวกับสูญเสียความมั่นใจไป วันแรกก็พ่ายแพ้ให้กับอสูรจิ้งจอกที่ตนชิงชัง แถมยังโดนคนที่พลังวิญญาณน้อยกว่าตนเองช่วยเอาไว้อีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ได้ทราบว่าไป๋จูเหวินนั้นเก่งกาจยิ่งกว่าที่ตนจินตนาการได้
ทั้งๆที่เมื่อก่อนหยงเวยเคยมั่นใจแท้ๆว่าคนอย่างมันไม่ใช่คนธรรมดา แม้จะมีพลังระดับหลอมรวมปฐพีแต่มันก็สามารถเอาชนะคนในระดับหลอมรวมนภาได้ บางครั้งหากต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายคู่ต่อสู้ระดับหลอมรวมวิญญาณก็อาจจะสู้มันไม่ได้ เพียงแต่ไป๋จูเหวินไม่ใช่แค่นั้น ในวันที่มันยังอยู่แค่ระดับผลึกวิญญาณมันกลับสามารถเอาชนะศัตรูที่มันยังเอาชนะไม่ได้ แถมในวันนี้ไป๋จูเหวินยังก้าวขึ้นมาสู่ระดับหลอมรวมปฐพีแล้ว ตัวมันยิ่งไม่สามารถสู้ได้
แถมหลินหลินอสูรแมงมุมที่มันทำไม่ได้แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วนให้ก็ยังยอมศิโรราบต่อไป๋จูเหวินอีกต่างหาก บัดนี้มันไม่เหลือความมั่นใจในตัวเองอีกแล้ว
“ย้า...”หยงเวยฟาดดาบใส่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างทาง เพียงฟันทีเดียวเท่านั้นต้นไม้ก็ขาดราวกับใช้มีดตัดเต้าหู้ ดาบที่มันพึ่งได้มาเป็นดาบที่พบภายในถ้ำที่หลินหลินขุดขึ้นมา นั่นหมายความว่าดาบเล่นนี้ซ่อนอยู่ในผาหยกมานานมากแล้ว อาจจะหลายร้อยหรือหลายพันปีก็เป็นได้
แม้มันจะมีสีเขียวราวกับมรกต แต่มันกลับแข็งและทนทานอย่างมาก เรียกได้ว่าแม้แต่ฟันของหลินหลินที่เคี้ยวหยกเคี้ยวหินได้ราวกับเคี้ยวขนมยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ สุดท้ายมันก็ไม่ทราบว่าดาบเล่มนี้ทำมาจากอะไรแต่ที่มันขัดใจที่สุดก็หนีไม่พ้น รอยฟัน ของหลินหลินที่ยังค้างอยู่บนดาบ
“ยัยนั่นฟันคมขนาดไหนนะ”หยงเวยว่าพลางมองดาบของตน หากไม่มีรอยกัดที่หลินหลินทิ้งเอาไว้มันคงสวยงามไร้ที่ติไปแล้วแท้ๆ
แกร๊ก! หยงเวยลองมองที่รอยกัดของหลินหลินพลางเอานิ้วสัมผัสรอยฟันที่ดาบ แต่ทันทีที่สัมผัสเศษสีเขียวที่อยู่ภายนอกก็กะเทาะออกราวกับแก้วแตก
“นี่มันอะไร”หยงเวยขมวดคิ้วพลางแกะเอาเศษสีเขียวเข้มออกช้าๆ ยามนี้มันถึงได้รู้ว่าสีเขียวเข้มราวกับมรกตเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ภายในกลับปรากฏใบดาบสีเขียวใสราวกับแก้ว ดูผ่านๆอาจจะดูบอบบางแต่ความจริงแล้วสิ่งที่หลินหลินกัดไม่เข้ากลับเป็นใบดาบสีเขียวใสด้านในต่างหาก
“เคล็ดวิชา...”นอกจากสีของใบดาบด้านในที่แปลกตาไปแล้ว หยงเวยยังพบว่าบนใบดาบมีเคล็ดวิชาบางอย่างสลักเอาไว้ ไม่ใช่กระบวนท่าดาบแต่กลับเป็นเคล็ดวิชาฝึกฝน แม้มันจะไม่ทราบว่าเป็นเคล็ดวิชาใดแต่การที่มันสลักอยู่บนดาบที่ฝังอยู่ในผาหยกมาเนิ่นนานนั้นอาจจะเป็นเคล็ดวิชาที่สุดยอดมากๆก็เป็นได้
กึก...หยงเวยเก็บดาบลงฝักอย่างรวดเร็วก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครผ่านมาหยงเวยก็กลับไปที่ห้องของมันทันที ก่อนจะเริ่มอ่านเคล็ดวิชาที่เขียนอยู่บนดาบอย่างตั้งใจ
เคล็ดวิชาที่เขียนอยู่บนดาบมรกตนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่มีชื่อว่า มารมรกต โดยแนวทางฝึกฝนไม่ค่อยเหมือนการฝึกฝนพลังวิญญาณเท่าไหร่นัก โดยเคล็ดวิชากล่าวอ้างถึง พลังมาร ที่สามารถนำมาฝึกฝนแทนพลังวิญญาณได้ มีพลังเทียบเท่าพลังเทวะหรือพลังเซียนเลยก็ว่าได้ หากฝึกฝนสำเร็จจะแข็งแกร่งและทรงพลังในเวลาอันสั้น
หลังจากได้ลองอ่านดูแล้วหยงเวยก็รู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ตัวมันเป็นพวกเรียนรู้ไวเพียงอ่านทบทวนไม่กี่ครั้งก็พอจะเข้าใจเคล็ดการฝึกฝน เลยทดลองฝึกฝนดูหากไม่เกิดผลก็คงไม่เสียหายอะไรมาก
วูบ..ราวกับโชคชะตาเป็นใจ เพียงเริ่มฝึกฝนร่างกายของหยงเวยก็สั่นสะท้าน ทั่วร่างรู้สึกเย็นวาบราวกับอากาศหนาวเหน็บขึ้นมาแถมหัวใจยังเต้นแรงจนสัมผัสได้ เพราะวินาทีนั้นในจุดตันเถียนของมันกลับปรากฏพลังบางอย่างที่ไม่ใช่พลังวิญญาณ ไม่ใช่พลังอสูร….
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”หยงเวยว่าพลางกำหมัดแน่น ทันทีที่พลังดังกล่าวเข้ามาในร้างหยงเวยก็สัมผัสได้ทันทีว่ารอบกายของมันมีพลังดังกล่าวอยู่มากมายราวกับมันมีอยู่ทั่วไปในอากาศเพียงแต่มันไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย
ฟุบ! ร่างของหยงเวยทะยานออกไปนอกหอพักก่อนจะออกจากสำนักไปอย่างง่ายดายเพราะเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์ต่างเดินทางไปร่วมงานชุมนุมกันจนหมด ไม่นานตัวมันก็ออกมานอกเมืองเพื่อที่จะตรงไปยังถ้ำหยกที่หลินหลินเคยขุดเอาไว้
“.....”เหตุผล 2 ข้อที่หยงเวยเดินทางมาที่ถ้ำหยกของหลินหลินนั้น 1 คือมันต้องการฝึกฝนอย่างเงียบๆไม่ให้ใครเข้ามายุ่งและ 2 ไม่ทราบทำไมภายในถ้ำหยกถึงมีพลังดังกล่าวที่น่าจะเป็นพลังมารที่เคล็ดวิชาได้กล่าวเอาไว้
แกรก...ทันทีที่หยงเวยเข้าไปในถ้ำ เสียงๆหนึ่งก็ดังออกมาจากภายในถ้ำทำเอาหยงเวยชักเท้าลงทันที
“พี่เวย นั่นท่านเหรอ”เสียงภายในถ้ำตอบรับมาด้วยเสียงที่มันจำได้ดี มันคือเสียงของหลินหลินนั่นเอง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”หยงเวยถามพลางเดินเข้าไปอย่างโล่งอก ถ้าเป็นหลินหลินก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่นางจะมาอยู่ที่นี่
“พี่ไป๋เอาแหวนมิติให้ข้าใช้ ข้าเลยมาเอาหยกเก็บใส่แหวน”หลินหลินว่าพลางใช้มือเก็บก้อนหยกที่ตกอยู่บนพื้น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเอาหยกในแหวนของข้าไปใส่ด้วยก็แล้วกัน”หยงเวยว่าพลางเอาหยกออกมาจากแหวน
“อื้อ”หลินหลินตอบรับด้วยรอยยิ้มพลางเก็บหยกที่หยงเวยนำออกมาใส่แหวน แต่ถึงจะเก็บหมดแล้วหลินหลินก็ยังกะเทาะหยกออกแล้วเก็บใส่แหวนต่อทันที
“แหวนวงนั้นจุขนาดไหนกัน”หยงเวยถามพลางมองแหวนที่นิ้วของหลินหลิน หยกที่มันนำออกมากินพื้นที่ไป 8 ใน 10 ของแหวนที่มันมีเลย แต่หลินหลินกลับใส่หยกจำนวนนั้นเข้าไปจนหมดแถวยังทำท่าจะขุดต่ออีกต่างหาก
“ใหญ่มากเลยยยยยย ใหญ่อย่างกับภูเขาแนะ”หลินหลินว่าพลางหยิบเอาก้อนหยกเข้าแหวนอย่างสบายใจ แต่เดิมแหวนวงนี้เป็นของคนๆหนึ่งที่ครอบครองของวิเศษมากมาย ไม่แปลกใจเลยที่มันจะมีแหวนที่มีความจุมหาศาลเช่นนี้ได้
“งั้นข้าจะช่วยเจ้าแล้วกัน”หยงเวยว่าพลางเอาดาบมรกตออกมาฟันผนังหยกอย่างรวดเร็ว มันอยากได้ถ้ำไว้ฝึกฝน การที่มันช่วยหลินหลินให้เก็บหยกได้ตามที่นางต้องการให้ไวที่สุดถือว่าเป็นประโยชน์กับมันมาก
“แฮกๆ”หยงเวยหอบหายใจเบาๆหลังจากวาดท่าดาบมากว่า 2 ชั่วโมง มันฟันผนังถ้ำลึกเข้ามาเป็นกิโลเลย แต่แหวนของไป๋จูเหวินกลับยังไม่เต็มเสียที
“ใกล้เต็มหรือยัง”หยงเวยถามพลางหอบหายใจออกมา
“พึ่งจะครึ่งเดียวเอง”หลินหลินว่าพลางยิ้มกว้าง ภายในแหวนตอนนี้แม้จะกินพื้นที่เพียงครึ่งเดียวแต่นางก็ได้หยกเป็นจำนวนมากมาแล้ว อย่างน้อยช่วงนี้นางก็ไม่ขาดอาหารแน่นอน
“วันนี้พอเท่านี้เถอะ”หยงเวยว่าพลางเก็บดาบลง ใครจะไปคิดว่าแค่ขุดหยกออกมาให้หลินหลินจะเสียแรงขนาดนี้ ทำไมไป๋จูเหวินต้องให้แหวนความจุเยอะขนาดนี้กับหลินหลินด้วย
“อื้ม งั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาอีก”หลินหลินว่าพลางยิ้มกว้าง นางบอกลาหยงเวยแล้วเดินกลับออกไปอย่างว่าง่าย ทั้งนี้เพราะไป๋จูเหวินบอกให้นางกลับไปเจอที่ยอดผาหยกนั่นเอง ส่วนทางด้านหยงเวยนั้นก็รีบนั่งลงกับพื้นเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาใหม่ที่มันพึ่งได้มาทันที
“ฮ่า...”หยงเวยระบายลมหายใจออกมาช้าๆพลางซึมซับพลังมารที่ค่อยๆไหลเข้ามาในร่างกายอย่างช้าๆ แม้มันจะเสียเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมงแต่ก็ไม่ใช่ 2 ชั่งโมงที่สูญเปล่า เพราะถ้ำหยกแห่งนี้มีพลังมารหนาแน่นกว่าข้างนอกมาก ยิ่งขุดเข้ามานานเท่าไหร่พลังมารก็ยิ่งมาก บางทีมันอาจจะเป็นสาเหตุที่หลินหลินขุดเข้ามาข้างในตั้งแต่แรกก็เป็นได้
วุบ ร่างของหยงเวยเย็นสะท้านอีกครั้งด้วยพลังมารที่หลั่งไหลเข้ามา แต่คราวนี้มันไม่ได้ตกใจเหมือนครั้งแรกเพราะมันทำใจรับเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่นานความรู้สึกเย็นก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความรู้สึกสดชื่น ไม่นานพลังมารก็เข้ามาอยู่ทั่วร่างของมัน
“อัก”อยู่ๆหยงเวยก็กระอักเลือดออกมา เพียงแต่ไม่ใช่แค่เลือดเท่านั้นที่มันกระอักออกมา ยามนี้ร่างของมันค่อยๆสูญเสียพลังวิญญาณไปช้าๆราวกับลูกโป่งมีรอยรั่ว ทุกครั้งที่พลังมารเข้ามาแทรกแซงพลังวิญญาณก็โดนขับไล่ออกไป ยิ่งมันได้พลังมารมาเท่าไหร่ระดับพลังวิญญาณของมันก็ค่อยๆลดลงช้าๆพร้อมเส้นเลือดที่ปูดโปนออกมาจากร่าง
“อากกกก”ร่างของหยงเวยล้มลงนอนกับพื้นด้วยความทรมาน ตอนนี้มันพยายามจะหยุดพลังมารไม่ให้ไหลเข้ามาและพยายามจะรักษาพลังวิญญาณของมันเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดพลังทั้งสองเอาไว้ได้เลย พลังมารที่มันปล่อยให้เข้ามายามนี้ราวกับได้พบเจ้าของ มันพากันเข้ามาในร่างโดยไม่ต้องให้หยงเวยต้อนรับเลยแม้แต่น้อย
“อัก”ในที่สุดร่างของหยงเวยก็หยุดเกร็ง ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดหายไป แต่เพราะสติของมันขาดหายไปแล้วเท่านั้น แต่ดูเหมือนพลังมารจะไม่ปล่อยให้หยงเวยได้หลับอย่างสบายนัก.....
ฟิ้วววว..... อยู่ๆภาพตรงหน้าของหยงเวยก็ปรากฏหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่หาได้ทั่วไปตามชนบท อยู่ท่ามกลางป่าและลำธารดูสงบสุขและร่มรื่น เพียงแต่ในสายตาของหยงเวยนั้นหมู่บ้านแห่งนี้คือสิ่งที่มันไม่อยากเห็นเป็นที่สุด
“ท่านพ่อ....”หยงเวยมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง พ่อของมันที่ควรจะตายไปแล้วกำลังนั่งอยู่หน้ากองไฟพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวนางนั้นงดงามจนไม่เหมือนหญิงสาวในหมู่บ้านจนๆแห่งนี้ แต่ภาพที่พ่อของหยงเวยกำลังโอบร่างของหญิงสาวคนนั้นกลับทำให้หัวใจของหยงเวยแทบหยุดเต้น
“หยงเวย เจ้าไปเล่นที่ไหนมา แม่เตรียมอาหารเอาไว้ให้เจ้าแล้ว”เสียงที่ดูอ่อนนุ่มราวกับเสียงสายลมแผ่วเบาดังมาจากหญิงสาวตรงหน้า นางยื่นถ้วยที่มีเนื้อย่างมาให้หยงเวยด้วยท่าทีเอ็นดู เพียงแต่สีหน้าของหยงเวยยามนี้กลับซีดเผือดราวกับคนตาย
“นังปีศาจ”หยงเวยคำรามลั่นก่อนจะปัดจานในมือของหญิงสาว วินาทีนั้นหญิงสาวยิ้มพลางมองมาที่มันด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
“เข้ารู้แล้วสินะ”หญิงสาวคำรามด้วยน้ำเสียงแหลมแสบแก้วหู ก่อนที่ใบหน้าของนางจะยื่นยาวออกมาราวกับเดรัจฉาน
“เจ้ามารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว”เสียงแหลมแสบแก้วหูของนางดังกังวานในโสตประสาทของหยงเวย ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นภาพของหมู่บ้านที่โดนอสูรจิ้งจอกทำลายจนย่อยยับ ท่านลุงท่านป้าแม้แต่ท่านพ่อก็ตายจนหมด ไม่มีใครเหลือในหมู่บ้านเลยนอกจากตัวหยงเวยเพียงผู้เดียว ภาพความทรงจำสุดท้ายที่มันจำได้มีเพียงใบหน้าของอสูรจิ้งจอกมีแต่คราบเลือดเต็มร่างเท่านั้น
“แก”หยงเวยกัดฟันแน่นพลางควานหาอาวุธ ในที่สุดมันก็คว้าได้ดาบสีเขียวเล่มหนึ่งมาไว้ในมือ พริบตานั้นมันพยายามวิ่งไล่ตามอสูรจิ้งจอกไปอย่างไม่ลดละ แต่มันก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพลางหันมาหัวเราะด้วยท่าทีเยาะเย้ยอีกต่างหาก
“จะฆ่าข้าเหรอ ฝันไปเถอะเจ้าหนู”อสูรจิ้งจอกหัวเราะพลางวิ่งนำหน้าหยงเวยไปอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นไอเย็นก็แผ่พุ่งออกมาจากทั่วร่างของหยงเวย ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่อสูรจิ้งจอกอย่างรวดเร็ว
“แก”อสูรจิ้งจอกคำรามหลังจากโดนหยงเวยจับตัวได้ พริบตานั้นหยงเวยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นมันแทงดาบมรกตเข้าไปอย่างแรงจนดาบทะลุร่างของอสูรจิ้งจอกไป พริบตานั้นอสูรจิ้งจอกหันมาหัวเราะครั้งหนึ่งก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไป
“......”ภาพตรงหน้าหยงเวยยังคงเป็นศพของอสูรจิ้งจอก เพียงแต่มันไม่ใช่อสูรจิ้งจอกตัวที่ทำลายหมู่บ้านของมัน แต่กลับเป็นอาจารย์อสูรที่อยู่ในสำนักเขี้ยวมังกร
“จะ เจ้า..”อาจารย์จิ้งจอกกระอักเลือดออกมาก่อนจะค่อยๆสลายหายไปเหลือไว้แต่แก่นอสูรและเครื่องประดับเท่านั้น