DND.102 - บุพผาแห่งร้อยตระกูล
เสียงหัวเราะเงียบลงอย่างมาก...แทนที่ด้วยความตกตะลึง
“เจ้าพูดจริงงั้นรึ?”
ฉีลั่วหลานถาม ใบหน้านางเรียบเฉย
ทุกคนเงียบลงทันที
เมื่อเห็นแววตาบริสุทธิ์ของซือหยู แววตาดั่งนักปราชญ์คู่นี้มิใช่แววตาของบุรุษที่่นิยมชมชอบก่อความวุ่นวาย หรือเขาจะคิดเช่นนั้นจริงๆ?
ซือหยูพยักหน้าเบาๆ
“ใช่แล้ว...ทุกคำที่ข้ากล่าวเป็นเรื่องจริง!”
ความเงียบเชียบแผ่กระจายก่อนที่เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์จากร้อยตระกูลจะซุบซิบกัน
ผู้อาวุโสบางคนเริ่มแอบประเมินซือหยูและเปลี่ยนท่าทาง
“ความมั่นใจเช่นนั้น...อย่าบอกนะว่าเขามีวิชาลับซ่อนเอาไว้?”
“ไม่ว่าเขาจะเก่งหรือไม่ก็ยังมิได้แสดงอะไรออกมา การคุยโตและความหยาบคายนั่นช่างหาตัวจับยาก”
“เขามาจากตระกูลใดกัน? ดูจากตำแหน่งที่ยืนแล้วน่าจะมาจากตระกูลลี่ลำดับที่สามสิบใช่หรือไม่?”
ผู้นำตระกูลลี่รู้สึกไม่ดีเมื่อถูกสายตาจากหลายตระกูลจับจ้อง การคุยโตโอ้อวดของซือหยูนั้นไม่สมกับภาพลักษณ์ของเขาเลย
แต่ไม่นานผู้นำตระกูลลี่ก็เข้าใจก้าวถัดไปของซือหยู….เพื่อการถูกปกป้อง...เขาต้องสร้างนามให้ดังก้อง!
ตอนนั้นเอาแอบชื่นชมในความปราดเปรื่องของซือหยู...แต่ก็รู้สึกกังวล
ต้นไม้ใหญ่ถูกลิขิตให้หักโค่นด้วยสายลมรุนแรง ความตั้งใจที่จะสร้างชื่อของเขาน่าจะทำให้เกิดโทสะจากใครหลายคน
ที่สำคัญกว่านั้นคือซือหยูมีพลังพอที่จะประลองกับคนยี่สิบคนด้วยตัวคนเดียวหรือไม่? มันจะไม่เกินมือไปหน่อยงั้นหรือ?
ลี่คงหุยกับเด็กตระกูลลี่รู้สึกถึงท่าทางจากคนต่างตระกูล นั่นทำให้พวกเขารู้สึกโกรธเกรี้ยว! ตั้งแต่ซือหยูเข้ามาพวกเขาก็ถูกทำให้อับอาย ครั้งแรกพวกเขาถูกหยวนหู่ขู่อย่างไร้เหตุผล และตอนนี้ชื่อเสียงของตระกูลลี่ก็กำลังป่นปี้
ลี่คงหุยมองซือหยูด้วยสายตาเฉียบคม
“น่าละอายนัก!”
“เจ้าคนป่าเถื่อนในเกาะ เจ้ามิได้สลักสำคัญเลยกับที่นี่ เจ้าคิดจริงๆรึว่าคนในเฉินหลงระดับพอๆกับเจ้า?”
คนอื่นในตระกูลลี่ก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราด
ฉีลั่วหลานประเมินซือหยูหัวจรดเท้า นางเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“เจ้าจะสู้กับยี่สิบคนพร้อมกันก็ย่อมได้ แต่หากเจ้าแพ้ เจ้าจะสอบตกทันที”
ซือหยูพยักหน้าอย่างเยือกเย็น
“เป็นเช่นนั้น”
ฉีลั่วหลานชี้ไปยังกลุ่มคน
“พวกเจ้าทุกคน คนที่มีพลังระดับเก้าขั้นสูงหรือสูงกว่า จงก้าวมาข้างหน้า!”
ฟึ่บ--
ในบรรดาผู้ที่ถูกเลือดนั้นมีระดับเก้าขั้นสูงสิบเก้าคนและกึ่งราชันย์หนึ่งคน
ทั้งยี่สิบคนก้าวเข้ามาพร้อมกัน แววตานั้นอับอายและโกรธเกรี้ยว
หนึ่งต่อยี่สิบ...ช่างเป็นการต่อสู้อันไร้ยุติธรรม
กึ่งราชันย์ยืนกอดอก ไม่คิดจะจู่โจม
ยี่สิบต่อหนึ่ง มันไร้เกียรตินักหากจะพูดในฐานะของกึ่งราชันย์ เขาไม่คิดจะโจมตีเลย...มันไม่ยุติธรรมเกินไป
“หากเจ้าอยากสร้างชื่อ เจ้าก็ทำสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าควรคิดรับมือความโกรธของพวกข้า!”
ซือหยูก้าวไปข้างหน้า เขาค่อยๆคลายมือที่ไพล่หลัง เขาเงียบสงบราวกับธารน้ำแข็ง มิได้มีความกังวลแม้เสี้ยวแววตา
“ความโกรธของพวกเจ้าจะถูกบดขยี้ด้วยหมัดของข้า!”
ซือหยูตอบ
“สามหาว! อัตตาเจ้าจะไม่เยอะเกินไปหน่อยรึ? ไปกันเถอะทุกคน! เข้าไปพร้อมกันแล้วให้สิ่งที่มันต้องการ!”
ระดับเก้าขั้นสูงหนึ่งคนโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด
เหล่าระดับเก้าขั้นสูงคนอื่นเริ่มโจมตีตาม
“มังกรเหล็กหลับใหล!”
“ดัชนีชี้แคว้น!”
“ร่ายชิงวิญญาณ!”
การจู่โจมเกือบยี่สิบกระบวนท่านั้นหลากชนิดและมาจากทุกทิศทาง แต่ละการโจมตีมีสีสันฉูดฉาด
ในตอนนั้น ราวกับมีดอกไม้เพลิงอันงดงามปรากฏขึ้นมา ทุกคนนิ่งงันและหยุดหายใจ
ซือหยูยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้เพลิงนั้นอย่างใจเย็น
ฟึ่บ--
การโจมตีเหล่านั้นพุ่งเข้ามายังซือหยู ผมสีเงินของเขาร่ายรำในอากาศ หัวใจของเขาแพร่กระจายความเย็นอันน่าตกตะลึงออกมา
คลื่นเกล็ดหิมะแตกสลายกลายเป็นหยดน้ำเยือกเย็นนับหมื่น มันปกคลุมไปทั้งบริเวณ
แกร๊ก--
ซ่า---
เมื่อหยดน้ำนั้นสัมผัสกับเสื้อผ้าก็ทำให้มันกลายเป็นน้ำแข็ง
“ไม่ดีแล้ว! ปล่อยพลังปราณพวกเจ้ามาคลายความเย็นซะ!”
แต่พวกเขาก็เป็นอัจฉริยะในเฉินหลง พวกเขามีความรู้สูงส่งและรู้ว่าจะต้องจัดการกับการโจมตีของซือหยูยังไง
แต่อย่างไร...หากซือหยูปรารถนา...ทุกสรรพสิ่งบนผืนโลกจะกลายเป็นน้ำแข็งอันเยือกเย็น
วายุหิมะรุนแรงโหมกระหน่ำอย่างไร้ปรานี หลายต่อหลายคนต้องพยายามอย่างมากเพียงเพื่อป้องกันตนเองจากความเย็น
ฟึ่บ--
ร่างสีม่วงหายตัวไป เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยความง่ายดายราวกับเดินเล่นในสวน
ผู้ที่ถูกปลายนิ้วซือหยูสัมผัสกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งทันที
แกร๊ก---
ไม่ว่าซือหยูผ่านไปทางใด...รอบกายล้วนกลายเป็นแก้วน้ำแข็งเยือกเย็น
เหล่าอัจฉริยะต่างอยากจะหาตัวซือหยูและจัดการเขาโดยเร็ว แต่พวกเขามิอาจทำสิ่งใดได้ พวกเขามีมากเกินไปและมิอาจบ่งบอกว่าซือหยูอยู่ที่ใดกันแน่
และพวกเขายังไม่มีเวลาจะวางกลยุทธ ดังนั้นตำแหน่งของพวกเขาจึงยุ่งเหยิง...ทำให้ความได้เปรียบเรื่องจำนวนเป็นความเสียเปรียบ!
เมื่อบางคนเริ่มพบซือหยู...กว่าครึ่งก็กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปแล้ว
“วิชาเร้นกายเจ้ามิได้น่าประทับใจอะไรเลย มาสู้กันตาต่อตาซะ!”
เหลือระดับเก้าขั้นสูงเพียงสี่คน พวกเขามองหน้ากันและโจมตีซือหยูพร้อมกัน
พลังปราณโปร่งใสของซือหยูกลายเป็นน้ำแข็งอันเยือกเย็นและสร้างชั้นเกราะป้องกันรอบกายซือหยู
พร้อมกับหมัดและขาที่ยื่นออกไปพร้อมกัน ซือหยูรับมือกับทั้งสี่คนด้วยตัวคนเดียว เขาทั้งโจมตีและป้องกันไปในคราเดียว
ปั้ง--
แม้จะเจอกับสี่คน...ซือหยูก็มิได้ดูเสียเปรียบเลย
เทียบกับทั้งสี่คนที่ถูกปะทะโดยตรงจากซือหยู...พวกเขากลายเป็นน้ำแข็งทันที
ในพริบตา...นักสู้ทั้งสี่ได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง
“อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนสุดท้าย”
ซือหยูมองไปอย่างไม่ยี่หระ
คนสุดท้ายที่เหลือคือกึ่งราชันย์
เขามีอายุสิบเจ็ดปีรูปลักษณ์งดงาม เขาดูผ่อนคลายและมิได้สนใจในพลังอันน่าตกตะลึงของซือหยู
“วิชาระดับเทพในอายุสิบสี่ ปัญญาของเจ้านั้นยอดเยี่ยม และยังใช้วิชาน้ำแข็งได้อย่างอิสระ...เจ้าต่อสู้เป็นกลุ่มได้ดี เช่นนั้นจิงไม่ได้เกินเลยที่เจ้าประลองหลายคนพร้อมๆกันได้ โดยรวมพลังของเจ้าถือว่ายอมรับได้ มีระดับเก้าขั้นสูงไม่มากนักที่จะชนะเจ้าได้”
กึ่งราชันย์ยิ้ม
แม้เขาจะชม...มันก็เป็นเพียง “ยอมรับได้”
“ข้าชื่ออู๋ห่าว เจ้าควรจดจำไว้”
กึ่งราชันย์พูดด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบอย่างสุภาพ
“ข้าชื่อ...”
“หยุดซะ ข้าไม่ต้องรู้และไม่อยากรู้ชื่อเจ้า”
อู๋ห่าวกอดอก
“เจ้าก็แค่ก้อนศิลาเล็กจ้อยที่มาขวางการทดสอบของข้า”
“ข้าต้องการเพียงสิ่งเดียวคือให้เจ้ารู้ว่าคนที่ชนะเจ้ามีนามว่าอะไร”
ซือหยูปิดปากและพยักหน้า
“หึ ข้าเข้าใจแล้ว...เข้ามา”
อู๋ห่าวยังคงยิ้ม
“ดูเหมือนเจ้าจะจำชื่อข้าได้แล้ว ยังไม่ยอมแพ้อีกรึ? ด่างมหาสมุทร!”
อู๋ห่าวยกดัชนีชี้ซือหยูจากระยะไกล
พลังธรรมชาติก่อตัวที่ปลายดัชนีของอู๋ห่าว มันมีกลิ่นอายแห่งน้ำทะเลอ่อนๆ นำพาพลังแห่งมหาสมุทรลึก!
แสงสีนภามาพร้อมกับคลื่นสมุทรพิโรธพุ่งตรงไปยังซือหยู ซือหยูกลายเป็นจุดเล็กในมหาสมุทรที่พร้อมถูกคลื่นพิโรธกลืนกิน
“ฎีกาสวรรค์งั้นรึ?”
ซือหยูถามด้วยรอยยิ้ม
“ประสานอัสนีเยือกแข็ง!”
ซือหยูยกดัชนีขึ้นและแสงสีม่วงกับสีขาวก็ผสมกันที่ปลายดัชนี
อัสนีม่วงปะทุกับน้ำแข็งขาวกระจ่าง มันคือการหลอมรวมของพลังธรรมชาติสองชนิด!
ตู้ม--
ราวกับแสงแห่งสวรรค์ที่บดขยี้ทุกสิ่งบนโลกได้แผ่กระจายไปทั่วห้วงเวลา!
ซ่า---
แสงสีขาวและม่วงผ่านทะลุคลื่นสมุทรพิโรธ พุ่งตรงไปปะทะกับอกอู๋ห่าวโดยตรง!
อ๊าก----
อั่ก--
อู๋ห่าวป้องกันได้ไม่ทันเวลา เขากระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวดและกระเด็นไปด้านหลัง ดวงตาเขาตกตะลึง
“เจ้า...”
เขาพ่ายแพ้หลังจากที่ใช้ฎีกาสวรรค์ที่โด่งดังของตน! และยังเป็นการแพ้ด้วยพลังที่ด้อยกว่า!
ซือหยูยืนมือไพล่หลัง เขาเหลือบตามองอู๋ห่าว
“เจ้าชื่ออู๋ห่าวงั้นรึ? ข้าจำมันได้ดีทีเดียว...ในฐานะก้อนหินที่ข้าเหยียบย่ำ”
อู๋ห่าวหน้าแดงด้วยความอับอาย เขาละอายใจจนอยากจะขุดธรณีฝังตัวเองเสียตรงนี้!
อู๋ห่าวถอยกลับด้วยความอับอายท่ามกลางเสียงหัวเราะจากหลายต่อหลายคน
การประลองจบในหนึ่งชั่วโมง...ทั้งยี่สิบคน...พ่ายแพ้!
ไม่มีใครสงสัยในพลังของซือหยูอีกต่อไป ซือหยูได้ชนะด้วยวิชาน้ำแข็งลึกลับและชนะอู๋ห่าวด้วยฎีกาสวรรค์ นั้นพิสูจน์แล้วว่าซือหยูมีพลังพอที่จะกล่าวเช่นนั้นได้!
“คนจากตระกูลลี่ผู้นี้คือใครกัน? ทำไมไม่มีใครได้ยินชื่อเขามาก่อน?”
เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
ลี่คงหุยคือคนตระกูลลี่ที่นับว่าโดดเด่นที่สุด แต่ก็ต้องหม่นหมองไปหากเทียบกับซือหยู
หากตระกูลลี่พาซือหยูมาทดสอบด้วยก็น่าจะกล่าวได้ความสัมพันธ์นั้นมิใช่ธรรมดา หรือจะเป็นเพราะเขาได้แต่งงานกับสตรีตระกูลลี่?
หากเป็นเช่นนั้น...พวกเขาจะต้องสนใจในการต่อสู้ของซือหยู
และเหล่าศิษย์ร้อยตระกูลที่หัวเราะเยาะในซือหยูนั้นเปลี่่ยนเป็นถากถาง จากนั้นเป็นความเคลือบแคลงสงสัย และสุดท้ายสีหน้าของพวกเขาก็คารวะและหลงใหลในตัวซือหยู
บุรุษชุดม่วงยืนมือไพล่หลังอย่างเงียบเชียบ
รูปลักษณ์อันงดงามของเขาประกอบกับความสง่างามและรังสีอันสูงส่งแยกตัวเขาออกมาจากเหล่าผู้คน! ราวกับว่าองค์เทพวัยเยาว์ในคัมภีร์โบราณลงมาสู่ดินแดนมนุษย์จากขอบเขตอันสูงส่ง
ทักษะอันน่าตื่นตะลึงมาพร้อมกับความเก่งกาจหาตัวจับยาก
หลายคนที่อายุเท่าซือหยูหรืออายุมากกว่าต่างรู้สึกละอายใจกับความบกพร่องของตนอยู่ภายใน
เหล่าหญิงสาวนั้นหลากสีหน้า การจัดการยี่สิบคนในคราเดียวนั้นแข็งแกร่งจนทำให้พวกนางหวั่นไหว
ประกอบกับรังสีของความสูงส่งและรูปลักษณ์ที่เทียบได้กับตัวตนเหนือมนุษย์ มันทำให้เหล่าสตรีต่างตกหลุมรักเป็นครั้งแรก
“พี่คงหุย...”
เสียงนุ่มเล็กละเอียดอ่อนดังเข้าหูลี่คงหุย
ลี่คงหุยหันไปพบหญิงสาวอายุสิบหก นางยิ้มและเดินมาทางเขา นางน่ารักมาก ทั้งยังบอบบางและน่าหลงใหล
หลายคนต่างมองน่างอย่างหลงใหล สายตาจับจ้องนางทุกที่ที่นางไป
นางคือเฉินซื่อเอ๋อจากตระกูลลำดับสิบ นางมีชื่อเสียงจากการที่เป็นบุพผาแห่งร้อยตระกูล ความงดงามและความซุกซนอันน่าหลงใหลนั้นทำให้นางชนะใจบุรุษหลายต่อหลายคน
“เฉินซื่อเอ๋องั้นรึ?”
ลี่คงหุยถอยหลังอย่างตกใจเมื่อนางใกล้เข้ามา เฉินซื่อเอ๋อนั้นมีชีวิตชีวาและน่าหลงใหล แต่ไม่มีคนมากนักที่จะได้มีโอกาสเข้าใกล้นาง
ลี่คงหุยเก็บซ่อนความหลงใหลในตัวนางและพยายามเข้าหานางหลายครั้ง แต่เฉินซื่อเอ๋อมิได้สนใจและเขาก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับนางมากนัก
เมื่อเห็นเฉินซื่อเอ๋อมาหาเขาและเรียกเขาว่า “พี่คงหุย” นั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ลี่คงหุยพอใจอย่างมากท่ามกลางความอิจฉาและโทสะจากชายรอบๆ
เมื่อเฉินซื่อเอ๋อมาทางเขา กลิ่นอันหอมหวานก็ลอยแตะจมูก
“เหตุใดพี่คงหุยถึงดูห่างไกลเช่นนั้นเล่า? ซื่อเอ๋อไม่ว่าอะไรหรอก”
เฉินซื่อเอ๋อยิ้มอย่างน่าหลงใหล
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโลหิตในกายลี่คงหุยก็สูบฉีด หัวใจของเขาเต้นอย่างคุมไม่อยู่ เขาหน้าแดงและรูปพูด
“ซื่อ...เอ๋อ...”
เฉินซื่อเอ๋อทักทายเขาและใบหน้าขาวผ่องราวหิมะของนางก็แดงระเรื่อ ในแววตานางมีความเขินอาย นางก้มหน้าราวกับไม่กล้ามองลี่คงหุยตรงๆ
“พี่คงหุย...ข้าถามอะไรหน่อยได้หรือไม่?”
ตึก ตัก--
หรือจะเป็น...เฉินซื่อเอ๋อหลงรักข้างั้นรึ?
ดวงตานางเต็มไปด้วยความเขินอาย ใบหน้าแดงๆของนางมิใช่สัญญาณของสตรีที่มีความรักรึไงกัน?
“เจ้า...พูดมาตามที่อยากเถอะ”
ลี่คงหุยหน้าแดงด้วยความเขินหาย
ความเขินอายของเฉินซื่อเอ๋อเพิ่มขึ้นไปอีกราวกับนางกำลังจะร้องไห้ นางก้มหน้ากระซิบ
“พี่คงหุย บุรุษชุดม่วงผู้นั้นแต่งงานกับคนในตระกูลพี่งั้นรึ? ถ้ามิใช่อย่างนั้น...เป็นไปได้ไหมที่พี่จะแนะนำข้ากับเขา?”
ตู้ม--
ราวกับสมองของเขาถูกฟาดด้วยสายฟ้า ใบหน้าลี่คงหุยแข็งทื่อ หัวใจที่เต้นระรัวของเขานิ่งเป็นน้ำแข็ง เขารู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นจัดสาด เขาหยุดหายใจ!
เฉินซื่อเอ๋อ...ความตั้งใจที่เข้ามาหาลี่คงหุย… นั่นก็เพื่อถามถึงซือหยู!
ความเขินอายและท่าทีของสตรีที่ตกหลุมรักนั้นมิใช่กับลี่คงหุย...แต่เป็นซือหยู!
“ซื่อเอ๋อ...เจ้า...เจ้าชอบเขา...”
จิตใจลี่คงหุยว่างเปล่า
คนที่เขาหลงรักนั้นได้ชอบพอซือหยู...คนที่เขาดูถูกเหยียดหยาม!
เขาไม่อยากจะเชื่อ
เฉินซื่อเอ๋อหน้าแดงกว่าเดิมด้วยความเขินอาย ราวกับน้ำตาจะไหลออกมา
“ไม่ใช่นะ….ขะ...ข้าไม่ได้ชอบ ข้าแค่หวังว่าจะรู้จักเขา พี่คงหุยโปรดอย่าเข้าใจผิด”
นางขวยเขิน
แม้นางจะพูดเช่นนั้น...แต่สีหน้าท่าทางของนางจะหมายความเป็นอื่นได้อย่างไร?
ลี่คงหุยราวกับถูกสายฟ้าฟาดอีกครั้ง เขารู้สึกบอบช้ำอยู่ภายใจ ความจริงมันโหดร้ายยิ่งนัก!
“ท่านพ่อประทับใจในตัวเขา...เขาบอกให้ข้าเดินเข้ามาเอง...”
เสียงเฉินซื่อเอ๋ออ่อนโยนลงเรื่อยๆเมื่อมองไปยังตระกูลเฉิน พ่อแม่ของนางมองอย่างนับถือกับซือหยูที่ยืนมือไพล่หลังอย่างเงียบเชียบ
---
เป็นปาฏิหาริย์ยิ่งนักที่ลี่คงหุยไม่กระอักเลือดออกมา แม้แต่พ่อแม่ของนางก็ยอมรับซือหยู!