DND.101.5 - จองหองถึงที่สุด(ตอนปลาย)
บุรุษผมเงินชุดม่วงนั้นมีรังสีประหลาด เขาทำให้ทุกคนประทับใจในส่วนลึก
หลิวกวงที่ปะปนอยู่กับเหล่าผู้คนจ้องมอง
“เจ้ายังหยาบคายเหมือนเดิม! จะทำตัวเช่นนี้ในเกาะเฉินยี่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากทำที่นี่….เจ้าคิดจะฆ่าตัวตายหรือเป็นไอ้โง่กันแน่?!”
ซือหยูร่อนลงพื้นอย่างไหลลื่นและยืนข้างตระกูลลี่ เขามิได้ใส่ใจกับเหลล่าสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง
เหล่าอัจฉริยะจากตระกูลลี่ต่างกลืนน้ำลาย พวกเขามองโอสถชำระกายระดับต่ำทั้งหกขวก
ซือหยูนั้นได้รับโอสถเทียบเท่ากับที่ตระกูลลี่จะได้ในครึ่งปี! ในตอนนั้นบางคนก็อยากจะประจบซือหยูเพื่อหวังจะได้โอสถ
คิดถึงความโหดร้ายเยือกเย็นที่พวกเขาเคยทำกับซือหยู! เมื่อคิดย้อนกลับไปพวกเขาก็เสียใจมาก ละอายใจเกิดกว่าจะขอโอสถจากซือหยู
“เจ้าโชคดีนี่”
ลี่คงหุยมองอย่างเย็นชา
เหล่าคนตระกูลลี่พบว่าลี่คงหุยสูญเสียตัวตนที่เคยองอาจไปแล้ว ในแววตาเขามีแต่ความริษยา
พวกเขาทุกคนเห็นเหมือนกันว่าโอสถหนึ่งขวดที่ควรจะตกเป็นของลี่คงหุยนั้นถูกอู๋ผางหยุนแย่งไป แต่ซือหยูที่เขาชิงชังที่สุดกลับแย่งโอสถมาได้ถึงหกขวด! ไม่แปลกใจเลยว่าลี่คงหุยจะเปลี่ยนไป
ซือหยูมองอย่างเยือกเย็น
“คงงั้นมั้ง”
“โอหัง!”
ลี่คงหุยโกรธจัด การตอบอย่างเย็นชาของซือหยูไม่ต่างจากการคุยใหญ่คุยโต
ฟึ่บ--
สตรีที่โปรยกลีบบุพผาลอยอยู่บนอากาศ นางสังเกตเหล่าผู้คนอย่างเงียบเชียบ
แววตาของนางอ่อนโยนและอบอุ่น...เข้มงวดและบริสุทธิ์
แม้นางจะอายุมากกว่าสี่สิบปี ตัวตนของนางก็ส่งผ่านความอ่อนโยนออกมา รูปลักษณ์ของนางทำให้เหล่าวัยรุ่นต้องมองตาม
ซือหยูเพิ่มพลังดวงตาเพื่อสังเกตนางก่อนจะอ้าปากค้าง
“ฉี! ลั่ว! หลาน!”
ซือหยูชิงชังหานฉี่ที่ใส่ร้ายลี่กวง...ทำให้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอดร้อยปี
แต่คนที่เขาเกลียดที่สุดก็คือฉีลั่วหลาน!
ฉี่ลั่วหลานมิได้เพียงแต่ทำให้ร่างกายลี่กวงทรมาน แต่นางยังทำร้ายหัวใจของลี่กวงจนถึงที่สุด!
เขาอดทนอย่างขมขื่นมาร้อยปีเพื่อผู้หญิงคนนั้น และท้ายที่สุดนางก็ตอบแทนด้วยการทรยศหักหลัง
แรงผลักดันเดียวที่ทำให้ซือหยูเข้าสู่สำนักหลิวเซี่ยนนั้นก็เพื่อเอาหัวของนาง!
ราวกับว่านางรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมอง นางหันมาทางซือหยูอย่างไม่ใส่ใจ
ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น...ราวกับว่านางมิเคยพยายามสังหารลี่กวง
ริมฝีปากแดงขยับ เสียงของนางอ่อนโยนน่าฟัง
“การทดสอบรอบแรกจบลงแล้ว”
“อะไรกัน? การทดสอบยังไม่เริ่มเลยไม่ใช่รึ เป็นไปได้ยังไง?”
มิเพียงแต่เหล่าศิษย์จากตระกูลที่สับสน เหล่าผู้อาวุโสที่มาด้วยก็สับสนไม่ต่างกัน
“การทดสอบรอบแรกคือการชิงโอสถและกลีบบุพผา มันเป็นการทดสอบจิตใจของศิษย์ทุกคน โอสถแต่ละขวดมีค่าสองคะแนน และกลีบบุพผามีค่าหนึ่งคะแนน สำหรับพวกเจ้าที่เหลือ...ทุกคนสอบตก...มาที่นี่อีกครั้งในอีกห้าปี”
ฉีลั่วหลานพูดอย่างอ่อนโยน
“อะไรกัน? ชิงโอสถและกลีบบุพผานั่นเป็นการทดสอบงั้นรึ? พวกเขาคัดคนออกไปเก้าร้อยคนแล้วรึ?”
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่พอใจ
การเข้าสำนักหลิวเซี่ยนเปลี่ยนแปลงไปตลอด แต่มันก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและตรงตามความคาดหมายของเหล่าผู้อาวุโส แต่ในการทดสอบปีนี้นั้นเป็นการทดสอบชิงโอสถและกลีบบุพผาที่แทบจะคัดผู้เข้าร่วมทิ้งไปเกือบหมด!
“เจ้ายังมิได้ทดสอบคุณสมบัติด้วยซ้ำ...ทำไมจึงให้พวกเขาตกกัน?”
ผู้อาวุโสบางคนถาม
ในบรรดาเก้าร้อยคน มีหลายคนนักที่ไม่ได้แม้แต่กลีบเดียว และยังมีเหล่าคนอายุน้อยหลายคนที่มิอาจบินได้และยอมแพ้ทันทีเมื่อได้เห็นการแก่งแย่ง! นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!
ฉีลั่วหลานส่ายหัวเบาๆ
“คุณสมบัติไม่สำคัญนักในการคัดเลือกครั้งนี้ พลังของแต่ละคนและจิตใจที่พร้อมรับความท้าทายต่างหากที่เป็นเป้าของการทดสอบ นี่เป็นการตัดสินใจจากสำนัก หากพวกเจ้ามีปัญหาอะไรก็ให้ไปถามในสำนักโดยตรง”
แม้เหล่าผู้อาวุโอจะโกรธเกรี้ยวและรู้สึกไม่ยุติธรรม พวกเขาก็เงียบราวกับจักจั่นยามใบไม้ร่วง
ถามหาเหตุผลจากเจ้าสำนักงั้นรึ? ใครจะกล้าทำเช่นนั้น? เจ้าสำนักเพียงแค่มองก็บดขยี้พวกเขาได้อย่างหมดจดแล้ว
นางมองไปทางอื่นและประกาศ
“ผู้ที่มีกลีบบุพผาและโอสถ...ก้าวเข้ามา!”
ฟึ่บ--
ในบรรดาหนึ่งพันคนที่มาทดสอบ...มีเพียงเก้าสิบคนที่ก้าวมาข้างหน้า
เพราะว่าหนึ่งคนนั้นเก็บกลีบบุพผาได้มากกว่าหนึ่งกลีบ นั่นทำให้คนที่เหลือไม่มีโอกาส
“รอบที่สองจะเป็นการคัดเลือกด้วยพลังของแต่ละคน!”
ฉีลั่วหลานยื่นมือชี้ซือหยูจากระยะไกล!
“เจ้า ออกมา!”
หัวใจซือหยูเยือกเย็น นางจะต้องพยายามใช้พลังของนางหยุดเขาไม่ให้เข้าสู่สำนักแน่!
ก็ได้!
ฟึ่บ--
ซือหยูก้าวออกไปยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน
“กฎของการประลองเป็นเช่นนี้ ผู้ประลองจะต้องชนะสิบครั้งต่อเรื่องกัน และคนที่ประลองด้วยจะต้องไม่อ่อนแอกว่าในด้านพลังบ่มเพาะ หากใครชนะไม่ได้สิบครั้ง คนผู้นั้นถือว่าไม่ผ่าน! จำกัดเวลาหนึ่งชั่วยาม! หากชนะมากกว่าสิบครั้งจะได้คะแนนสูงขึ้นไปอีก และระไปรวมกับคะแนนในรอบที่แล้ว”
“ยังมีอีก! คนที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับโอสถชำระกายระดับต่ำอีกห้าขวด และจะได้สิทธิ์เข้าสู่ห้องตำราของสำนักหนึ่งครั้ง!”
ทุกคนอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง!
การชนะสิบคนที่มีระดับพลังเท่ากันนั้นยากลำบากมาก และยังมีการจำกัดเวลา! ไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะคนที่ฐานพลังสูงกว่าเลย มันเป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด!
แต่ผู้ชนะที่มีคะแนนสูงสุดจะได้รางวัลอันน่าตกใจ!
โอสถชำระกายห้าขวดนั้นมีค่ามหาศาล และการเข้าสู่ห้องตำราของสำนักหลิวเซี่ยนนั้นมิอาจประเมินค่าได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทั้งร้อยตระกูลต้องการ ตระกูลของพวกเขามิได้มีตำราวิชาอันล้ำค่าดั่งเช่นสำนักหลิวเซี่ยน
ห้องตำรานั้นจะเปิดรับเฉพาะศิษย์หลักที่ได้ทำคุณประโยชน์กับสำนักเท่านั้น รางวัลเช่นนี้เกินกว่าที่ควรจะได้ไปมาก
เหล่าอัจฉริยะเก้าสิบคนนั้นต่างหวังกับรางวัล
รางวัลที่ให้กับคนคนเดียวนั้นมันมากเกินไปแล้ว!
ฉีลั่วหลานพยักหน้า
“เริ่มการประลองได้ เจ้าเลือกคู่ประลองได้อย่างอิสระ และจงจำไว้ว่ามีเวลาแค่หนึ่งชั่วยาม! หากพวกเจ้าทำไม่สำเร็จจะไม่ผ่านการทดสอบ!”
ซือหยูสีหน้าเยือกเย็น การเลือกเขาเป็นคนแรกตั้งแต่เริ่ม...หรือนางจะพยายามจะประเมินพลังของเขาเพื่อวางแผ่นถัดไป? หรือนางจะทำให้เขาไม่ผ่านการทดสอบตั้งแต่แรก?
ไม่แปลกใจเลยว่าคนที่เข้าทดสอบทีหลังนั้นจะได้เปรียบคนที่ประลองก่อน เพราะการสังเกตการประลองจะทำให้พวกเขารู้ว่ามีใครบ้างที่ฐานพลังเท่ากันและอ่อนแอกว่าตนเอง
ซือหยูเลือกไปตามอารมณ์ราวกับโยนหินข้ามแม่น้ำ หากเขาไม่เลือกให้ดีและเลือกคนที่แกร่งกว่าเขาอาจจะแพ้ได้!
ฉีลั่วหลาน! ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น!
ซือหยูยื่นนิ้วชี้ไปยังระยะไกล
คนที่ซือหยูชี้นั้นมีอายุสิบเก้าปีที่มีหนวดเครา เขาแสดงความตั้งใจในการต่อสู้ และหัวเราะก้าวมาข้างหน้า
“เจ้าอยากจะประลองกับข้างั้นรึ? ข้าก็ปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน!”
แต่ซือหยูก็เปลี่ยนทิศนิ้วไปอีกทาง เขาปราดนิ้วเป็นแนวระนาบไปยังอีกทางราวกับวาดเส้นโค้ง
“มิใช่เจ้า!”
ซือหยูจ้องเขาเล็กน้อย
สีหน้าของชายผู้มีหนวดเครานิ่งงัน
“นี่มิใช่การล้อเล่นรึไงกัน?”
ฉีลั่วหลานขมวดคิ้วและเตือน
“ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้ายังไม่เลือกว่าจะประลองกับใครได้ เจ้าจะสอบตก! หนึ่ง! สอง!”
“ใครกันที่บอกว่าข้ามิได้เลือกคนที่จะประลองด้วย?”
ซือหยูตอบอย่างเย็นชา
หลังจากนั้นเขาก็มองผ่านทุกคนที่เขาชี้ไปเมื่อสักครู่
“ทุกคนที่ข้าชี้เป็นเส้นโค้งเมื่อสักครู่...ก้าวเข้ามา!”
“ข้าคนเดียวจะประลองกับพวกเจ้าทุกคน!”
ฉีลั่วหลานใบหน้าแข็งทื่อ
เขาวาดนิ้วเมื่อสักครู่ใส่คนมากกว่าห้าสิบคน...มากกว่าครึ่งที่มีอยู่!
ท่ามกลางคนเหล่านั้น มีมากกว่ายี่สิบคนที่มีฐานพลังเท่าซือหยู!
หนึ่งคนจะจัดการยี่สิบคนพร้อมกันงั้นรึ? ไร้สาระสิ้นดี!
หลังจากความเงียบกริบ...ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะ
ฉีลั่วหลานยักคิ้ว
“เจ้าก่อกวนการประลอง ซือหยูไม่ผ่านการทดสอบ...”
ซือหยูจ้องกลับอย่างเยือกเย็น
“ประทานโทษ...แต่ข้าพูดจริง!”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังยี่สิบคนที่มีฐานพลังเทียบเท่าเขา
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก้าวออกมา! ข้าจะจัดการพวกเจ้าพร้อมกัน!”
หากเขาอยากจะได้คะแนน...เขาก็ต้องจัดการให้หมดในคราเดียว!
เขาต้องหวังพึ่งคนที่ทรงพลัง...แม้เขาจะเข้าสู่สำนักได้ ตัวตนอันเล็กจ้อยเช่นเขาก็คงจะถูกทำร้ายโดยหานฉี่และฉีลั่วหลาน
เขาจะต้องเป็นคนที่โดดเด่นตั้งแต่เริ่ม...เพื่อทำให้คนที่มีระดับสูงในสำนักสนใจเขา
ถ้าเป็นเช่นนี้...หานฉี่กับฉีลั่วหลานจะต้องคิดหนักก่อนที่จะเคลื่อนไหวกับซือหยู…
นี่เป็นสิ่งที่ซือหยูคิดมานาน ก่อนที่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ใด...การพนันที่ปลอดภัยที่สุดของเขาก็คือการสร้างนามให้เป็นที่รู้จัก
เขามิได้อยากจะเป็นคนหยาบคายอย่างเดียว….เขายังต้องการเป็นบุคคลที่น่ากลัวด้วย!
และเป็นเขาที่ประลองกับยี่สิบคนด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่แรก!