DND.95 - ดินแดนเฉินหลง
“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่!”
เสียงดังมาจากระยะไกล
ฟึ่บ-
ในพริบตา แสงอันประณีตก็ปรากฏต่อหน้าเซียนหุบเขา ผลของประสานอัสนีเยือกแข็งกระจัดกระจายออก
ปรากฏร่างของลี่กวง
ผนึกเวลานั้นมีผลกับเป้าหมายเท่านั้น ดังนั้นจึงมีเพียงเซียนหุบเขาที่อยู่ในผนึก ลี่กวงมิได้รับผลไปด้วย การก่อกวนทันทีทันใดครั้งนี้ได้ปลดปล่อยเซียนหุบเขาจากพันธนาการ
ในตอนนั้น ร่างของมังกรม่วงที่ดวงตาธรรมดามิอาจมองเห็นได้หายไป เซียนหุบเขาหลุดออกมาจากห้วงเวลา
แม้ว่าร่างนางจะอยู่ในมิติเวลา นางก็ยังมีสติอยู่ ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่อกทำให้นางโกรธจัด!
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เซียนหุบเขากู่ร้อง
นางมิได้บาดเจ็บสาหัว แต่นางต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา! ในนามแห่งราชันย์...กลับต้องบาดเจ็บเพราะสามัญชน! มีเพียงลี่กวงเท่านั้นที่หยุดการโจมตีจากซือหยูครั้งที่สองให้นาง!
นางไม่มีวันลืมความอัปยศนี้!
“ฮื่ม!”
ลี่กวงจ้องนาง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นของตกแต่งงั้นรึ? ลองขยับอีกกระบวนท่าเดียว ข้าจะสังหารเจ้าด้วยตัวเอง! ข่มเหงศิษย์ข้าอีกครั้งเจ้าจะโดนอย่างสาสม!”
“นี่เจ้า!”
ซือร่งโกรธและอับอาย
ซือหยูจ้องซือร่งอย่างเสียดาย ผนึกเวลานั้นมีเวลาจำกัด ทุกการใช้งานจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู มิเช่นนั้นดวงตาเขาจะฉีกออก เขาได้พลาดโอกาสดีที่สุดในการสังหารเซียนหุบเขาไปเสียแล้ว
“ท่านราชันย์...เหตุใดจึงหยุดข้า?”
ซือหยูถามด้วยความสับสน เขาไม่เข้าใจเบื้องลึกในความเลื่อนไหวของลี่กวง ลี่กวงมิได้มีอคติต่อซือหยูแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงไม่ปกป้องซือหยู
ลี่กวงมองด้วยดวงตาอายุกว่าร้อยปีของเขาด้วยความโล่งใจและสง่างาม
“มากับข้า! ข้าจะแสดงอีกโลกให้เจ้าได้เห็น”
ลี่กวงมิได้ตอบซือหยู เขากลับคว้าไหล่ซือหยูและทะยานท้องนภาขึ้นไปหลายพันศอก
ซือหยูไม่เข้าใจ...อีกโลกงั้นรึ?
“มองไปที่ธรณีหวงห้าม”
ลี่กวงกล่าว
ซือหยูมองลงไป เขาตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า
“นั่นมัน….รอยฝ่ามือ!”
ตามตำนาน ธรณีหวงห้ามเคยเป็นดินแดนอันรุ่งเรือง มันถูกลบกลายเป็นที่รกร้างในชั่วข้ามคืน หากมองที่พื้นก็ยากจะรู้ได้ว่ามันล่มสลายเพราะเหตุใจ
แต่เมื่อมองจากข้างบน ซือหยูได้เห็นภาพอันน่าตกตะลึงที่จะต้องจดจำไปจนวันตาย!
มันมีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ฝังแน่นลงไป
“เจ้าพูดถูกแล้ว นั่นคือรอยฝ่ามือ! ฝ่ามือนั้นทำลายทุกสิ่งในสามสิบศอก”
ฝ่ามือนั่นทำลายทุกสิ่งในระยะสามสิบศอก...เป็นเถ้าถ่าน
ซือหยูตกอยู่ในภวังค์กับสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต
เขานึกถึงวันในเทือกเขารัตติกาล และภาพเขียนที่อยู่ใต้ดิน ภาพแรกคือดัชนีสวรรค์ของชายแก่ ซือหยูได้ฎีกาสวรรค์มาจากภาพเขียนนั้น ภาพที่สองคือฝ่ามือสวรรค์ใหญ่ยักษ์ที่พุ่งลงมาจากสวรรค์ บดขยี้ภูเขาและทำลายทุกสิ่งในระยะหลายหมื่นลี้!
ซือหยูไม่เคยลืมภาพเขียนนั้น
รอยฝ่ามือสามสิบศอกที่ทำลายทุกสิ่งนี้จะต้องเป็นฝ่ามือในภาพเขียนที่สอง
“นั่นคือพลังของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ?”
ซือหยูลืมตัว
ลี่กวงหัวเราะแห้งๆ
“ราชชันย์งั้นรึ? หึหึ ราชันย์มันคือสิ่งใดกัน? เทียบกับพลังฝ่ามือนี่แล้ว...ราชันย์ก็แค่มดปลวก...ดัชนีเดียวก็สังหารข้าจนป่นปี้”
“เจ้าเห็นอีกโลกรึยัง?”
ลี่กวงถามทันที
ซือหยูใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใจเย็นลงและคิดถึงคำถามของลี่กวง
“ท่านราชันย์...จะบอกว่าระดับราชันย์ ตำนานแห่งผู้ฝึกตน...ยังมิใช่จุดสุดยอดงั้นรึ?”
“ตำนานงั้นเรอะ?”
ลี่กวงเย้ยหยันต่อตัวเอง
“บางทีโลกของเจ้าอาจจะกล่าวเชช่นนั้น แต่ในอีกโลก...ราชันย์ก็แค่ชีวิตชั้นต่ำที่สุด”
“อีกโลกนั่นอยู่ที่ใดกัน?”
ซือหยูตกตะลึง ราชันย์ในตำนานคือสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในต่างโลก!
ลี่กวงตอบด้วยคำถาม
“เจ้าคิดว่าทวีปเฉินยี่นี้ใหญ่เพียงใดกัน?”
ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ เขตเซี่ยนหยูนั้นใหญ่เท่าแผ่นดินจีน และแคว้นเฟิงหลินก็กว้างใหญ่เท่าโลกทั้งใบ พันธมิตรเก้าแคว้นก็คือโลกเก้าดวงรวมกัน
หากรวมกับดินแดนยักษ์อย่างแคว้นเฟิงหวงที่ใหญ่กว่าพันธมิตรเก้าแคว้นรวมกัน...ทั้งทวีปเฉินยี่น่าจะมีขนาดประมาณโลกยี่สิบดวง
ขนาดเช่นนี้สั่นคลอนดวงวิญญาณซือหยู
“กว้างใหญ่ไพศาล! ต่อให้เดินทางทั้งชีวิตก็มิอาจได้เห็นทุกสรรพสิ่ง”
ซือหยูตอบอย่างจริงใจ
ลี่กวงหัวเราะ
“แล้วถ้าข้าบอกเจ้าบอกทวีปเฉินยี่นี่เป็นแค่เกาะเล็กจ้อยล่ะ?”
“อะไรกัน? เกาะงั้นรึ?”
ซือหยูอ้าปากค้าง!
ลี่กวงพยักหน้าช้าๆ
“เป็นเช่นนั้น! ทวีปเฉินยี่นี่มิต่างอะไรกับเกาะในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ดินแดนที่แท้จริงคือทวีปเฉินหลง”
“ทวีปเฉินหลงคือศูนย์กลางของโลก นั่นคือสภาพแวดล้อมของผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง ทวีปเฉินยี่นี้ก็แค่หนึ่งในเกาะเล็กจ้อยที่มีอยู่มากมาย”
ซือหยูพูดอะไรไม่ออก ทวีปเฉินยี่อันกว้างใหญ่...เป็นแค่ธุลีในมหาสมุทร!
“ซือร่งกับข้าเป็นศิษย์สำนักหลิวเซี่ยนในแผ่นดินใหญ่ ร้อยปีก่อน พวกเราถูกส่งมายังเกาะเฉินยี่เพื่อดเฟ้นหาอัจฉริยะในเขตของสำนัก”
“ซือร่งก่อตั้งหุบเขาเฟิงหวงและสร้างแคว้นเฟิงหวง และเป็นข้าที่ก่อตั้งวิหารและควบคุมพันธมิตรเก้าแคว้น พวกเราแบ่งเกาะเฉินยี่กันครึ่งส่วน...เพื่อหาอัจฉริยะจากดินแดนนั้น”
“การต่อสู้แห่งศตวรรษในวันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อหาอัจฉริยะห้าคนไปยังแผ่นดินใหญ่”
ลี่กวงพูดเสริม
ซือหยูตกตะลึงเมื่อรู้ว่าวิหารและหุบเขาเฟิงหวงถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสำนักหลิวเซี่ยนในทวีปเฉินหลงเพื่อค้นหาอัจฉริยะ
ลี่กวงมองซือร่งและถอนหายใจ
“เจ้ารู้รึยังว่าทำไมข้าจึงหยุดเจ้า? อย่างแรก เจ้ามิอาจสังหารนางได้ พลังที่แกร่งที่สุดของเจ้าทำให้นางบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น….แม้จะเป็นวิชาวิญญาณลับของเจ้าก็มิอาจสร้างบาดแผลกับนางได้”
“อย่างที่สอง...แม้เจ้าจะสังหารนางได้...เจ้าจะรับมือกับนักรบจากทวีปเฉินหลงที่จะมาล้างแค้นให้นางได้รึ? ในบรรดาพวกนั้น บางคนสังหารข้าได้เพียงประสงค์เท่านั้น”
แค่ความคิดก็บดขยี้ราชันย์ได้อย่างงั้นรึ?
ซือหยูหน้าซีด ซือร่งกับลี่กวงมิใช่แค่ทรงพลังเท่านั้น...สถานะของพวกเขาก็มิใช่ธรรมดาอีกด้วย
“เอาล่ะ...ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาได้แล้ว...พลังของเจ้าเติบโตอย่างรวดเร็วจากป่าอสูรได้ยังไง?”
ลี่กวงมิอาจเก็บซ่อนความสงสัย
ซือหยูพยักหน้า มาถึงขั้นนี้...เขาต้องอธิบายตอบกลับ
หัวใจเยือกแข็งของเขาเริ่มเต้น...ดูดซับพลังความเย็นจากสิ่งรอบข้าง
“วันนั้นที่ข้าติดอยู่ใต้หุบเขา ข้าสำเร็จแก่นแท้จิตน้ำแข็งระดับสูง ตามตำราแล้ว หลังจากที่ข้าสำเร็จระดบสูง หัวใจของข้าจะก่อตัวเป็นแก่นแท้จิตน้ำแข็ง หัวใจนี้จะเพิ่มพลังบ่มเพาะของข้าโดยการดูดซับพลังความเย็นจากสิ่งรอบกาย”
ลี่กวงเข้าใจทันที ตอนที่ซือหยูถูกฝังนั้นมีพลังระดับเจ็ดขั้นกลาง แต่วันนี้เขามีพลังระดับแปดขั้นสูง...ทั้งหมดต้องขอบคุณแก่นแท้จิตน้ำแข็ง
ในเฟิงหลินนั้นอยู่ในฤดูเหมันต์ พลังความเย็นอยู่ที่จุดสูงสุด และในป่าอสูรยังเต็มไปด้วยร่มเงา พลังความเย็นยิ่งมีมากในที่นั่น
ซือหยูดูดซับพลังความเย็นอย่างต่อเนื่องตลอดสิบวัน ประกอบกับโอสถวิญญาณที่เขาดื่มไปหลายขวด ผลทางยาจากทั้งพลังความเย็นและโอสถได้ทำให้เขาเพิ่มพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว
“แล้วเจ้าสำเร็จแก่นแท้จิตน้ำแข็งขั้นสูงได้ยังไงกัน? ก่อนที่เจ้าถูกฝัง เจ้าบรรลุมันแค่ระดับกลางและมันยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีก่อนที่เจ้าจะทะลวงระดับสูงได้ วิชาระดับเทพนั้นยากที่จะบรรลุเมื่อถึงระดับสูง”
“นั่นคงเป็นระดับสติปัญญาของข้า”
ซือหยูกล่าว...โดยไม่อธิบายความเปลี่ยนแปลงในร่างแบบอื่น!
การเปลี่ยนแปลงสูงสุดของเขามิใช่พลังบ่มเพาะ หรือวิชาที่เขาได้เรียนรู้ แต่...เป็นเพราะหม้อเก้ามังกร!
เมื่อถึงคราวใกล้ตาย...หม้อเก้ามังกรได้เปลี่่ยนแปลงไป
ของเหลววิญญาณหลายหยดปะทุออกมาชำระร่างกายและดวงวิญญาณของเขา เพิ่มระดับสติปัญญาของเขาอีกมาก
และพลังเร่งเวลาของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อก่อนเขาเร่งเวลาได้ห้าสิบเท่าเมื่อหยุดนิ่ง หลังการเปลี่ยนแปลง...เขาเร่งเวลาได้ถึงสองร้อยเท่า!
เขาติดอยู่ภายใต้หุบเขาครึ่งเดือน ด้วยพลังเร่งเวลานั้นเอง...มันเทียบเท่ากับสิบปี! นั่นเป็นเวลามากพอที่จะทำให้เขาสำเร็จแก่นแท้จิตน้ำแข็งอย่างหมดจด
ยิ่งไปกว่านั้น หัวมังกรสีม่วงบนหม้อเก้ามังกรที่ผ่านการชำระล้างจากของเหลววิญญาณสีแดง...ได้กลายเป็นสีแก้วส่องสว่าง
ดวงตาซือหยูพบกับการเปลี่ยนแปลงประหลาด...ในที่สุดก็กลายเป็นสีม่วง
เมื่อก่อน...เขาทำได้แค่ควบคุมเวลารอบกายเท่านั้น เนตรม่วงนี้ทำให้เขาควบคุมเวลาของโลกภายนอกได้อีกด้วย
พลังผนึกเวลาจึงถือกำเนิดขึ้นมา มันหยุดเวลาใส่เป้าหมายใดก็ได้ ในการต่อสู้เอาชีวิต...มันจะเป็นประโยชน์กับซือหยูอย่างมาก!
แต่ซือหยูก็ยังควบคุมเนตรได้ไม่ถึงขึดสุด เขาจึงหลับตาเพื่อป้องกันไม่ให้พลังเนตรเล็ดรอดออกไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์
“ระดับสติปัญญางั้นรึ?”
ลี่กวงอ้าปากค้าง
“ระดับสติปัญญาของเจ้ามันเหลือเชื่อจริงๆ”
ซือหยูแอบหน้าบึ้ง...คนที่ไม่น่าเชื่อโดยแท้จริงคือเซี่ยจิงหยูต่างหาก
“แล้ววิชาระดับวิญญาณของเจ้ามาจากไหน?”
ลี่กวงสีหน้าหม่นหมอง นี่คือคำถามสำคัญ เขาคิดว่าเนตรเทพสีม่วงของซือหยูนั้นเป็นเพียงวิชาวิญญาณลับและทำให้ซือร่งเสียสติไปชั่วคราว...เขามิได้สนใจมันมากนัก
“วิชาระดับวิญญาณคืออะไรงั้นรึ?”
ซือหยูตกใจ
“สายฟ้าดาราม่วงนั่น”
“ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง ระดับสวรรค์ ระดับเทพ ระดับเหล่านี้คือวิชาบ่มเพาะที่มนุษย์ตั้งขึ้น ส่วนวิชาระดับวิญญาณนั้นคือวิชาบ่มเพาะที่จะฝึกได้โดยคนที่มีระดับตั้งแต่ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ วิชาของซือร่งที่นางใช้กับเจ้าก็เป็นวิชาระดับวิญญาณ”
สายฟ้าดาราม่วงเป็นวิชาระดับวิญญาณงั้นรึ? ซือหยูตกใจแต่เมื่อคิดย้อนกลับไปมันก็สมเหตุสมผล วิชาระดับเทพเช่นแก่นแท้จิตน้ำแข็งและภวังค์น้ำค้างมีระดับพลังเพียงสามระดับ แต่สายฟ้าดาราม่วงมีเหนือกว่านั้น
และในเรื่องของความยาก...สายฟ้าดาราม่วงทำให้ซือหยูซับซ้อนหลายต่อหลายครั้ง
เขาสำเร็จวิชาระดับเทพขั้นสูงสองวิชานั่นคือแก่นแท้จิตน้ำแข็งและเนตรอสูรนรก แต่สายฟ้าดาราม่วงนั้นก็ยังคงอยู่ในระดับหนึ่งขั้นกลาง เวลาที่เขาใช้กับสายฟ้าดาราม่วงนี้ก็หกเดือนเข้าไปแล้ว ประกอบกับพลังเร่งเวลาของเขา...เขาได้ใช้เวลาตลอดสิบปีในการบ่มเพาะวิชาแต่ก็ติดอยู่ที่ระดับหนึ่งขั้นกลาง
ความต่างกันของความยากนั้นสมเหตุสมผลเสียที
เมื่อคิดว่าสายฟ้าดาราม่วงเป็นวิชาระดับวิญญาณที่มีเพียงแต่ในทวีปเฉินหลง...และได้รับเฉพาะราชันย์เท่านั้น...ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซือหยูจึงบ่มเพาะมันอย่างยากลำบาก
เมื่อก่อน เขาเคยคิดว่ามันเป็นวิชาระดับสวรรค์ จากนั้นเขาจึงตระหนักว่าพลังมันเหนือกว่าวิชาระดับเทพ ...คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นวิชาระดับวิญญาณ!
หากเป็นเช่นนี้ มันก็น่าจะมีชิ้นส่วนตำราอีกที่ไหนสักแห่ง!
“มันมาจากตำราในสำนักเซี่ยนหยู”
“เขตเซี่ยนหยูงั้นรึ?”
ลี่กวงคิดหนัก
“เทือกเขารัตติกาลในเขตเซี่ยนหยูครึ่งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรือง...แต่ก็ถูกทำลายในข้ามคืน หากข้าคิดถูกต้อง...เศษตำราวิชาระดับวิญญาณนั่นจะต้องถูกพบโดยบังเอิญในภายหลัง”
“เอาล่ะ ในหนึ่งวัน คนจากทวีปเฉินหลงจะมาที่นี่และพาพวกเรากลับเฉินหลง งานข้ากับซือร่งจบลงแล้ว”
ลี่กวงลงมาจากฟากฟ้าพร้อมซือหยู
“ซือหยูคือผู้ชนะ!”
หุ่นเชิดทมิฬประกาศ
หุ่นเชิดทมิฬอ้าปากดันเหรียญไปทางลี่กวง
“ตามกฎการต่อสู้แห่งศตวรรษ...ฝั่งที่ชนะจะได้เหรียญหลิวเซี่ยน”
ลี่กวงกำมันไว้ในมือ...เปลือกตาสั่นไหวพร้อมน้ำตา
ซือร่งมองเหรียญหลิวเซี่ยนด้วยความอิจฉา
นางข่มความริษยาในใจและฝืนประสานมือ
“ยินดีด้วยพี่ลี่ อดทนรออย่างขมขื่นมาเป็นร้อยปีและความอดทนนั้นก็ได้ตอบแทนเสียที จะได้ใช้เหรียญหลิวเซี่ยนในการร้องขอสิ่งตอบแทนจากสำนัก”
ลี่กวงหลับตา เขากำเหรียญหลิวเซี่ยนแน่นพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก เขาเสี่ยงสั่น
“ลั่วหลาน...รอข้าก่อนเถอะ! ข้าจะต้องให้สำนักสืบสวนเรื่องในอดีตนั้น...ข้าจะต้องได้รับคำตอบ! ข้าผิดไปแล้ว!”
จ้าวกวงตกอยู่ในภวังค์ เขาคุกเข่าซือหยูอย่างนับถือ น้ำตาไหลพรากมิต่างจากราชันย์
“ศิษย์น้องซือ! ข้าจะไม่ลืมพระคุณของเจ้าเลย!”
มีเพียงจ้าวกวงเท่านั้นที่เข้าใจความเจ็บปวดของผู้เป็นอาจารย์ เขาได้ใช้เวลาร้อยปีพยายามคว้าเหรียญหลิวเซี่ยนเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี
และเป็นซือหยูที่ได้ทำให้ความปรารถนาของลี่กวงเป็นจริง!
ดวงตาลี่กวงเต็มไปด้วยความนับถือ เขามองศิษย์สวรรค์ที่เขาพามาและยิ้มอย่างโล่งใจ
“มีเพียงจ้าวกวงที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าในอดีต ในวันนี้...ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้น”
เรื่องมีอยู่ว่าลี่กวงนั้นครั้งหนึ่งได้เป็นศิษย์หน้าใหม่แห่งสำนักหลิวเซี่ยน แต่เขาก็มีพลังเหนือกว่าศิษย์หน้าใหม่ทั่วไป
ลั่วหลานคือศิษย์น้องของเขา งดงามและบริสุทธิ์ผุดผ่อง...นางตกหลุมรักกับลี่กวง
พวกเขาทั้งสองไปกันได้ดี พวกเขาบ่มเพาะพลังร่วมกันและเติบโตไปกับสำนัก
แต่คืนหนึ่ง...ลั่วหลานก็ถูกลวนลามในที่พักของลี่กวง
เหตุการณ์ครั้งนี้มีพยานรู้เห็นเป็นศิษย์พี่หานฉี่ ศิษย์มากพรสวรรค์ที่มีคุณสมบัติน่านับถือ เขาบอกว่าลี่กวงและศิษย์น้องลั่วหลานดื่มด้วยกันในทุ่งบุพผาในค่ำคืนนั้น...ทั้งสองมัวเมาจนถึงจุดหมดสติ
เมื่อพวกเขาตื่น...ลี่กวงก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที
ศิษย์น้องลั่วหลานโกรธเกรี้ยวและอับอาย...นางหายหน้าไปจากทุกคน
ลี่กวงถูกตราหน้าเป็นผู้ร้ายขืนใจ...และควรถูกเนรเทศ! มีเพียงลี่กวงเท่านั้นที่รู้ตัวดีว่าเขามิได้แตะต้องลั่วหลานในค่ำคืนนั้นเลย
คนที่ลงมือมิใช่ลี่กวง...แต่ควรจะเป็นพยานนั่น...หานฉี่!