GE45 ร้องขอปรมาจารย์ปรุงโอสถ
สามกองทัพเทพและทัพปราการใต้ร่วมฝึกฝน
ไม่ไกลนัก หนานกงและหนิงฝานถอยห่างจากผู้คนเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว... หนิงฝานปรับปรุงตารางการฝึกฝนให้กับสามกองทัพเทพโดยบอกกล่าวกับหนานกง ด้วยพรสวรรค์ของหนานกงแล้ว มันเข้าใจทั้งหมดเป็นอย่างดี
“แม่ทัพหนานกงช่างมีไหวพริบ ด้วยคำกล่าวเพียงไม่กี่คำ แต่กลับทำให้หลู่หนานสื่อและหนางหยางสื่อเชื่อฟัง... ข้าหนิงฝานนับถือ!”
“นายน้อยชื่นชมเกินไป...บ่าวมิอาจรับได้ บ่าวเพียงต้องการแบ่งเบาภาระงานของนายน้อยบ้าง”
ด้วยคำกล่าวเพียงไม่กี่คำของหนานกง กลับทำให้หลู่หนานสื่อยอมสยบ หนิงฝานนับถือในตัวหนานกงมาก ส่วนเรื่องที่หนิงฝานใช้ซื่อหวูเสียปลอมเป็นปีศาจทมิฬหนิง หนานกงย่อมนับถือหนิงฝานเช่นกัน
หนิงฝานรู้ว่าหนานกง ซื่อถูก และยุ่ยฉี คือเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่หานหยวนจี๋คัดสรรค์มา แต่น่าเศร้าที่ชายชราสูญเสียพลัง ทำให้การฝึกฝนของทั้งหมดล่าช้า หากช่วยให้ทั้งสามยกระดับพลังขึ้นได้ ในอนาคตทั้งสามจะกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของหนิงฝาน
และเพื่อให้สามกองทัพเทพทรงพลังมากขึ้น ภายในหัวของหนิงฝานจึงปรากฏแผนการที่บ้าบิ่นขึ้นมากมาย โดยเป้าหมายแรกคือทำให้ทหารในกองทัพทั้งหมดบรรลุขอบเขตประสานวิญญาณ
หากทั้งหมดเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ พวกมันย่อมยึดครองได้ทั่วทั้งแคว้นเยว่!
“หนานกง.... หากข้ากล่าวว่า ในอนาคตข้าจะทำให้เจ้า ซื่อถู และยุ่ยฉี ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก ทำให้สามกองทัพเทพปีศาจทมิฬกลายเป็นกองทัพอันดับ 1 ของโลกพิรุณ...เจ้าจะชื่อถือข้าหรือไม่?” ดวงตาหนิงฝานเป็นประกาย รอยยิ้มปรากฏยามจ้องมองหนานกง
ครู่แรกที่ได้ยินหนิงฝานกล่าว หนานกงตกตะลึง มันไม่เคยคิดว่านายน้อยของมันจะมีความทะยานอยากเช่นนั้น
“หากเป็นผู้อื่น...บ่าวย่อมไม่ใส่ใจ แต่หากเป็นนายน้อย...มิว่าจะกล่าวถ้อยคำอันใด บ่าวย่อมเชื่อว่านายน้อยจะทำได้สำเร็จ!”
“ศัตรูของอาจารย์แข็งแกร่งนัก... หนานกง ข้าต้องการให้เจ้าช่วย... ยามนี้ผู้เชี่ยวชาญทั่วทั้งแคว้นเยว่สมควรมุ่งมาหาเรา แต่นั่นนับเป็นโอกาสทอง แม้เราไม่ซื้อหาสมุนไพร แต่ยังมีคนนำส่งถึงที่... อีกเรื่อง ข้าพบว่าสถานที่ที่เมืองหนิงตั้งอยู่นั้น มีเมล็ดพันธุ์ของต้นหลิงเพลิง หากมันเติบโตขึ้นและออกผล มันจะช่วยขัดเกลาร่างกายได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นเจ้าจงดูแลรักษาพวกมัน”
“ขอรับนายน้อย!”
“ทัพปราการใต้... หลู่หนานสื่อ... และหนานหยางสื่อ เจ้าฝึกฝนพวกมันให้ดี หนานกง...ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ นับจากพรุ่งนี้ไป ข้าจะมุ่งหน้าไปนิกายกุ่ยเชว่เพื่อช่วงชิงปราณหยินลึกล้ำ ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้...”
เมื่อกล่าวจบ หนิงฝานเงยหน้ามองฟ้า สีหน้ามืด หนานกงและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆก็แหงนมองเช่นกัน
นั่นเพราะทางใต้ของเมืองหนิง ปรากฏเมฆเซียนขึ้นหลายก้อนพุ่งทะยานผ่านท้องนภา เมฆเซียนแต่ละก้อนล้วนเป็นเมฆเซียนระดับสาม มีความเร็วเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม
“สามกองทัพเทพตั้งกระบวนทัพ!” หนานกงออกคำสั่ง สามกองทัพเทพเร่งจัดกระบวนทัพอย่างรวดเร็วพลางเฝ้าสังเกตุการณ์บนท้องนภา
ผู้ที่โดยสารเมฆเซียนมาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ ทั้งหมดสวมชุดคลุมสีแดงฉาน ปักด้วยลวดลายเพลิงเมฆา
“นิกายฝ่ายธรรมะ... นิกายเพลิงเมฆา! เหตุใดพวกมันมาเยือนเมืองหนิง!” ยุ่ยฉีกล่าวพลางมองเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่เรียงแถวกันมา
ในผู้เชี่ยวชายเหล่านั้น มีผู้หนึ่งที่สวมทับด้วยชุดเกราะสีแดง รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางสูงส่ง จากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา มันเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ
“ฮ่าฮ่า! ยุ่ยฉี...เป็นเจ้าจริงๆ! นั่นก็สามกองทัพเทพปีศาจทมิฬ คาดไม่ถึงว่าสามแม่ทัพอย่างพวกเจ้าจะสร้างเมืองที่นี่... แม้ผ่านมากว่า 40 ปี แต่ยุ่ยฉีเจ้ายังเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ ช่างอ่อนด้อยนัก!”
บุรุษในชุดเกราะแดงดูราวกับจะรู้จักยุ่ยฉีเป็นอย่างดี ยามนี้มันและศิษย์นิกายจำนวนหนึ่งลงมาจากเมฆเซียน
ยุ่ยฉีใบหน้าบิดกระตุกเมื่อเห็นอีกฝ่าย มันทั้งอายและอยากหลบซ่อน
“มันคือผู้ใด?” หนิงฝานกล่าวกับหนานกงด้วยสัมผัสเทพ
“ผู้อาวุโสนิกายเพลิงเมฆา ‘ปู้ขวางเฝิน’ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มันท้าท้ายสามกองทัพเทพปีศาจทมิฬ เมื่อยามนั้นมันเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นกลาง แต่พ่ายให้กับยุ่ยฉีในกระบวนท่าเดียว คาดไม่ถึงว่า 40 ปีที่ผ่านมา มันจะฝึกฝนกระทั่งสามารถบรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลางได้...”
หนานกงถอนหายใจ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มันอาศัยอยู่ในเมืองฉีเหม่ยโดยมิได้ยกระดับพลัง หากยามนั้นระดับพลังของมันเพิ่มพูน มันย่อมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังในยามนี้
“ปู้ขวางเฝิน...เจ้ามาทำอันใดที่เมืองหนิง!” ยุ่ยฉีขบฟันแน่น แม้จะผ่านมาถึง 40 ปี แต่มันยังไม่ลืม
“วางใจเถอะ ข้ามิได้มาหาเรื่อง เหตุที่ข้ามาก็เพื่อขอให้ปีศาจทมิฬหนิงช่วยปรุงโอสถให้! จากที่เห็น สามกองทัพเทพปีศาจทมิฬของเจ้าไม่ได้อยู่ในบัญชาของหานหยวนจี๋ และเปลี่ยนมือมาเป็นของปีศาจทมิฬหนิง... ปีศาจทมิฬหนิงอยู่ที่ใด บิดามาที่นี่เพื่อให้เจ้าปรุงโอสถให้!”
ปู้ขวางเฝินเย่อหยิงจองหอง มันกวาดสายตาไปยังสามกองทัพเทพ ทำให้ทหารแต่ละคนรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเพลิงเผา แต่เมื่อมันกวาดสายตาไปพบหลู่หนานสื่อ และหนานหยางสื่อ มันตกตะลึงเล็กน้อยแต่มิได้ใส่ใจ.. แต่เมื่อมันกวาดสายตาไปพบชายชราในชุดคลุมดำที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าของมันกลับแข็งค้าง
“แก่นทองคำขั้นสุดท้าย... หรือคนผู้นั้นอาจเป็นปีศาจทมิฬหนิง! ข้าสัมผัสได้ถึงอันตรายจากมัน ต่อให้เป็นบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม ยังมิสร้างแรงกดดันคุกคามให้ข้าถึงเพียงนี้”
สีหน้าเย่อหยิ่งถือดีของมันหายไป มันสัมผัสได้ว่าปีศาจทมิฬหนิงผู้นี้สังหารมันได้ราวกับผักปลา
“ผู้เยาว์ปู้ขวางเฝินแห่งนิกายเพลิงเมฆา...คารวะปรมาจารย์หนิง ผู้ก่อตั้งนิกายเพลิงเมฆา...บรรพบุรุษจิงสั่วได้ส่งข้ามาขอให้ท่านปรุงโอสถก่อดวงจิตให้... ของเหล่านี้ถือเป็นของกำนัล... ข้าหวังว่าปรมาจารย์หนิงจะเมตตาช่วยเหลือ หากท่านปรุงโอสถสำเร็จ นิกายเพลิงเมฆาของข้าจะถือเป็นหนี้ติดค้างเมืองหนิง แต่หากไม่สำเร็จ นิกายเพลิงเมฆาข้าจะไม่ติดใจเอาความใดๆ”
ปู้ขวางเฝินส่งสัญญาณให้ศิษย์นิกายที่อยู่ด้านหลังนำของกำนัลมา พวกมันวางกระเป๋าเก็บของลง แต่เมื่อนำสิ่งที่อยู่ภายในปรากฏออกมา กลับกลายสมบัติมากมายราวกับภูเขา
หยกสวรรค์ 3 หมื่น โลหะจันทรา 10 จิน สมบัติวิญญาณขั้นสูง 1 ชิ้น แร่ทองม่วงอีก 50 ก้อน... นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรวิญญาณจำนวนมาก แม้มันถูกบรรจุมิดชิด แต่กลิ่นที่มันแผ่ออกมายังคงได้กลิ่นชัดเจน... การจะขอให้อีกฝ่ายปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ให้นั้น ยังต้องมีรางวัลที่เป็นสมุนไพรอายุอย่างน้อยพันปี แม้ผู้คนจำนวนมากจะได้กลิ่นสมุนไพร แต่ไม่มีผู้ใดกล้าแผ่สัมผัสเทพตรวจสอบ
ทั้งหมดนั้นคือของกำนันที่นิกายเพลิงเมฆามอบให้ปีศาจทมิฬหนิง... หากผู้คนมิกล้ายั่วยุนิกายเพลิงเมฆา ผู้คนย่อมมิกล้ายั่วยุเมืองหนิงเช่นกัน
สมบัติกองเป็นภูเขาเลากานี้ทำให้หนิงฝานตกตะลึง ราวกับตนเองดูหมิ่นอำนาจของนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 มากจนเกินไป
หากต้องการครองสมบัติมากมายเหล่านี้ด้วยตนเอง มิรู้ว่าต้องปลิดชีพสังหารผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำมากมายเท่าใด แต่นี่เพียงต้องปรุงโอสถก่อดวงจิต นิกายเพลิงเมฆากลับนำสมบัติมากมายมามอบเป็นรางวัล เพียงแค่สมุนไพรวิญญาณที่ได้มานั้น ย่อมเพียงพอให้ปรุงโอสถเปิดเส้นโลหิตได้นับหลายพันเม็ด นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อสามกองทัพเทพ ส่วนโลหะที่ได้มากย่อมเพียงพอให้เมืองหนิงสร้างกำแพงเมืองที่แข็งแกร่ง
ในความเป็นจริงแล้ว สมบัติทั้งหมดนี้ล้ำค่ากว่าโอสถก่อดวงจิตมากนัก แต่ด้วยโอสถนั้นหาได้ยาก จึงทำให้มูลค่าเพิ่มมากขึ้น การที่หนิงฝานสามารถก้าวเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ได้ ย่อมทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ปรารถนาบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม ประชันขันแข่งเพื่อให้ตนบรรลุเป้าหมาย
เดิมทีนั้น ระดับพลังไม่สมควรเปิดเผยต่ออีกฝ่าย... เพราะหากไม่ทำให้อีกฝ่ายคิดว่าด้อยกว่า ย่อมไม่อาจข่มขู่พวกมันได้...
ปีศาจทมิฬหนิง...ซื่อหวูเสีย เริ่มเคลื่อนไหวด้วยการส่งสายตาเป็นการบอกใบ้ ให้ยุ่ยฉีเก็บสมบัติทั้งหมด นั่นหมายความว่าปีศาจทมิฬหนิงรับคำขอของปู้ขวางเฝิน
ซื่อหวูเสียไม่กล้ากล่าวคำเพราะกลัวจะเปิดสถานะ เพราะทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของมันนาง อยู่ภายใต้การเฝ้ามองของหนิงฝาน
ปู้ขวางเฝินสังเกตุเห็นการแสดงออกด้วยสีหน้าของปีศาจทมิฬหนิงอย่างชัดเจน มันอุตส่าห์มอบของขวัญมากมายให้เป็นของกำนัล แต่อีกฝ่ายกลับไม่กล่าวแม้เพียงครึ่งคำ ช่างเย่อหยิ่งนัก
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึง คือปู้ขวางเฝินกลับไม่โกรธปีศาจทมิฬหนิง ทั้งยังยิ้มให้อย่างนอบน้อม
“ข้าขอบังอาจถามปรมาจารย์หนิง... นานเท่าใดกว่าท่านจะปรุงโอสถก่อดวงจิตแล้วเสร็จ?”
“หนึ่งปี...” หนิงฝานกล่าวกับซื่อหวูเสีย นางจึงชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วให้ปู้ขวางเฝิน
โอสถก่อดวงจิตคือโอสถระดับสูงของโอสถผันแปรที่ 4 ด้วยวิชาการกลั่นโอสถของหนิงฝานแล้ว ไม่เพียงจะปรุงโอสถได้ช้า อัตราความสำรวจยังต่ำมาก บางที 1 เดือนหนิงฝานอาจปรุงโอสถได้เพียง 1 เตา
แต่ยามนี้หนิงฝานมีธุระสำคัญกว่าที่ต้องทำ เขาต้องเดินทางไปยังนิกายกุ่ยเชว่ จึงไม่อาจหาเวลาปรุงโอสถได้เร็วนัก
“หนึ่งปี...นับว่าช้าไม่น้อย...”
มุมปากปู้ขวางเฝินขมวดมุ่น มันเคยกล่าวถามนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ของแคว้นอื่น การปรุงโอสถก่อดวงจิตนั้น อย่างมากใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน เหตุที่นิกายเพลิงเมฆาของพวกมันยอมทุ่มสมบัติมากขนาดนี้ก็เพื่อให้ปีศาจหนิงปรุงโอสถให้พวกมันเร็วขึ้น แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตั้งเวลาไว้ 1 ปี
เมื่อปู้ขวางเฝินกำลังจะกล่าว แววตาของซื่อหวูเสียที่จับจ้องมันกลับเย็นชา ทำให้มันสัมผัสได้ถึงอันตราย สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวงพลางผงะถอยไปหลายก้าว ทั่วร่างอาบชุ่มไปเหงื่อ มันเร่งป้องมือเป็นขอโทษซื่อหวูเสียในทันที
“ผู้เยาว์กระทำเรื่องไม่สมควร! หากปรมาจารย์ท่านกล่าวว่า 1 ปี ผู้เยาวว์ย่อมรอ 1 ปี...”
ปู้ขวางเฝิงตกตะลึง แววตาที่เย็นชาของปีศาจทมิฬหนิงช่างน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าบรรพบุรุษของมัน ดังนั้น คนผู้นี้ย่อมเป็นตัวตนระดับสูง มิเช่นนั้นย่อมมิอาจมีสายตาที่ดุดันและน่าเกรงขามเช่นนั้นได้
ซื่อหวูเสียเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งของนิกายฝ่ายอธรรมในแคว้นเยว่มานานหลายปี แม้นางจะสูญเสียความทรงจำ แต่แรงกดดันและกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ของนางยังคงอยู่
“เช่นนั้นผู้เยาว์ขอลา... หากปรมาจารย์ท่านมีโอกาส ขอเชิญท่านมาเยี่ยมเยือนนิกายเพลิงเมฆา พวกข้าจะต้อนรับท่านเป็นอย่างดี” ปู้ขวางเฝินไม่อยากอยู่ในเมืองหนิงต่อ เพราะซื่อหวูเสียทำให้มันหวาดกลัว
“ฮึ่ม! ไอ้เฒ่าจิงสั่ว... ต้องการโอสถก่อดวงจิต แต่กลับไม่มาร้องขอด้วยตนเอง... ขนาดตัวข้ายังเป็นผู้มาร้องขอด้วยตนเอง!”
บนท้องนภาทางทิศตะวันออก ผู้ที่มาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งนั้น เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสุดท้าย
ด้วยกลิ่นอายและแรงกดดันของผู้ที่มา ทำให้ปู้ขวางเฝินสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
“‘นิกายจี๋หลิน’... สือหยิน นี่เจ้ายังไม่ตาย!”
“ฮึ่ม! ต่อให้ตาเฒ่าจิงสั่วของเจ้าตาย ข้าย่อมไม่มีทางตายหรอก! ฮ่าฮ่า นั่นรึปีศาจทมิฬหนิง...นักปรุงโอสถผันแปรที่ 4? แก่นทองคำขั้นสุดท้าย นับว่าแข็งแกร่ง... รับมือ!”
บุรุษในชุดคลุมม่วงกล่าวอย่างถือดี มันยิ้มกระทั่งเห็นฟันก่อนเหยียบย่างนภาตรงเข้าหา เค้นพลังก่อตัวเป็นกระดูกม่วงเข้าจู่โจม
แววตาของซื่อหวูเสียเผยเจตนาสังหาร แต่เมื่อนางจะลงมือ หนิงฝานกลับห้ามนางไว้
“ไม่ต้องลงมือ อีกเดี๋ยวจะมีผู้จัดการให้”
ขณะกล่าว หนิงฝานได้แหงนมองบนท้องนภาพลางยิ้มเล็กน้อย
“ศิษย์ของหานหยวนจี๋ สายตาเจ้าช่างเฉียบคมนัก ข้าซ่อนตัวดีขนาดนี้เจ้ายังมองเห็น”
ในหมู่เมฆ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีครามหัวเราะ มันเผยสมบัติอำพรางพร้อมกับชี้นิ้วที่ปรากฏปราณน้ำแข็งสายหนึ่ง ก่อตัวเป็นวิหคที่ใหญ่โตราวร้อยจ้าง ทะยานเข้าใส่กระดูกม่วง
“สือหยิน… ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมต้องการโอสถก่อดวงจิต ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายปรมาจารย์หนิงแน่”
“กุ่ยเชว่สื่อ! ที่แท้เป็นเจ้า!”
มุมปากของบุรุษในชุดคลุมม่วงปรากฏคราบโลหิต กระดูกม่วงของมันถูกทำลาย มันถูกผลักให้ถอย ทั้งแววตายังเผยความกังวล
กุ่ยเชว่สื่อ... หนึ่งในสิบผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเยว่ เป็นผู้นำนิกายกุ่ยเชว่ แม้เป็นสือหยินย่อมไม่อาจทัดเทียม
“ฮึ่ม! ข้าเพียงต้องการหยั่งความแข็งแกร่งของปรมาจารย์หนิงก็เท่านั้น หากรับมือกระดูกม่วงของข้าได้ นั่นหมายความว่าปรมาจารย์หนิงอยู่ในระดับเดียวกับข้า”
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียง สายรุ้งจำนวนมากได้ตรงเข้ามาจากทุกทิศทาง พร้อมกับเสียงดังกังวลปรากฏ
“ข้า ‘ช่งเฉวียนสื่อ’ ผู้นำนิกายไท่ชูไพ่ กล่าวขอให้ท่านปรมาจารย์หนิงปรุงโอสถก่อดวงจิตให้!”
“ข้า ‘เย่คง’ ผู้อาวุโสแห่ง ‘นิกายเฉ่อไพ่ฉาง’ มาเพื่อขอให้ปรมาจารย์หนิงปรุงโอสถก่อดวงจิต!”
“นิกายเหลิ่งหนิง...”
“นิกายไร้จำกัด...”
“นิกายชิงหยาง...”
...
เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากทุกนิกายเดินทางมาเยือน ทั้งหมดเดินทางมาเพื่อกล่าวขอให้เจ้าเมืองหนิงปรุงโอสถให้
ยากนักที่จะได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ เหตุการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตแก่นทองคำจำนวนมากเหยียบย่างนภาลงสู่พื้น ทั้งยังจ้องมองปีศาจทมิฬหนิงด้วยความนับถือ
เพียงแต่พวกมันไม่รู้ว่าปีศาจทมิฬหนิงที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ที่พวกมันคิด
กาลเวลาล่วงผ่าน ผู้ที่มาเยือนเริ่มเพิ่มมากขึ้น ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายปีศาจทมิฬหนิงเพราะเกรงว่าจะทำให้คนอื่นๆโกรธเคือง
ก่อนหน้านี้ที่กุ่ยเชว่สื่อได้ต้านการจู่โจมของสือหยิน มันทำไปเพื่อต้องการช่วยเหลือศิษย์ของหานหยวนจี๋ มิได้ทำเพื่อประจบเอาใจปีศาจทมิฬหนิงแต่อย่างใด
หากยามนี้ยังมีผู้หูตามืดบอดลงมือกับปีศาจทมิฬหนิง มันผู้นั้นอาจถูกผู้เชี่ยวชาญมากมายลงมือสังหารในพริบตา
สือหยินเองย่อมทราบเรื่องนั้นดี
“นี่คือของกำนัลที่ข้าจะใช้ร้องขอปรมาจารย์หนิงปรุงโอสถให้!”
หนิงฝานกวาดตามอง ไปยังแร่เซียน สมบัติวิญญาณ และสิ่งต่างๆมากมาย หากตนเองต้องการขึ้นเป็นใหญ่ในแคว้นเยว่ ด้วยสมบัติมากมายเหล่านี้ย่อมเป็นได้ไม่ยาก
“เจ้ารึหนิงฝาน? ดี...ดี... ข้าย่อมยกเหม่ยเอ๋อให้เจ้าได้อย่างวางใจ ข้ากุ่ยเชว่สื่อเป็นสหายคนสนิทกับอาจารย์ของเจ้า”
ขณะที่หนิงฝานกำลังขบคิด กุ่ยเชว่สื่อก็ตรงมาหาหนิงฝานพลางยิ้มให้
จากที่กุ่ยเชว่สื่อกล่าว หนิงฝานผู้นี้เปรียบได้กับบุตรเขยของมัน!
“ผู้เยาว์หนิงฝานคาราวะผู้นำนิกาย!”
หนิงฝานฝืนยิ้ม เพราะการหมั้นหมายที่หานหยวนจี๋และกุ่ยเชว่พูดคุยตกลงกันไว้นั้น หนิงฝานไม่อาจขัดขืน
“ฮ่าฮ่า... ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้นำปีศาจทมิฬรุ่นต่อไป... ดียิ่งนัก! มาเถอะ อย่าได้ซ่อนตัวอีกเลยเหม่ยเอ๋อ...ไปพูดคุยกับฝานเอ๋อเถอะ พวกเจ้าล้วนเป็นผู้เยาว์ ไม่สมควรอยู่ที่นี่” ด้านหลังของกุ่ยเชว่สื่อคือสตรีในอาภรณ์ฟ้า นายค่อยๆเดินออกมาพลางจ้องมองหนิงฝานด้วยแววตาซับซ้อน
“เดินไปคุยไปเถอะ... ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า...” หลายเหม่ยเผยสีหน้าจริงจัง
“อืม...” หนิงฝานคาดไม่ถึงว่ากุ่ยเชว่สื่อจะมาเยือนเมืองหนิงด้วยตนเอง ทั้งยังนำพาสตรีตัวปัญหามาด้วย
หนิงฝานหันมองหนานกงราวกับต้องการความช่วยเหลือ หนานกงจึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางกล่าวด้วยสัมผัสเทพ
“เชิญนายน้อยพูดคุยกับนางอย่างวางใจ ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า ข้าจะไม่ทำให้สถานะของปีศาจทมิฬหนิงเปิดเผยเด็ดขาด”
หนิงฝานหันมองจื่อเฮ่อ นางอยู่ข้างกายซื่อหวูเสีย เขาจ้องมองนางที่ทำท่าทางราวกับเป็นผู้อาวุโสอย่างสนใจ
“ย่อมได้... ข้าจะไปกับเจ้า หากเจ้ามีเรื่องอันใดเชิญกล่าว แต่หากเจ้ากล้าแสดงท่าทีเย่อหยิ่งใส่ข้า ข้าจะกลับทันที”
หนิงฝานเผยสีหน้าทุกข์ใจ ทำให้หลานเหม่ยขมวดคิ้วมุ่น ด้วยรูปลักษณ์ของนาง มีผู้เยาว์มากมายตามตื้อแผ้วพาน การที่ได้เดินเคียงข้างและพูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ นับเรื่องที่น่ายินดี แต่หนิงฝานกลับเผยสีหน้าไม่พอใจ
หากไม่เพราะมีเรื่องอยากกล่าวถามหนิงฝาน นางย่อมไม่ชวนหนิงฝานออกมาเช่นนี้
ครั้งแรกที่นางกล่าวขอพูดคุยกับหนิงฝาน หนิงฝานแสดงแววตาไร้อารมณความรู้สึกกับนาง จากนั้นก็จากงานประมูลไป...
ครั้งที่สอง นางร่วมเดินทางไปยังตระกูลโม่ แต่ครานั้นหนิงฝานโกรธและขับไล่นางออกไปจากเมืองฉีเหม่ย
‘หนิงฝานผู้นี้ช่างหยิ่งทะนง... ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้กล่าวแม้เพียงครึ่งคำ’
การที่หนิงฝานหยิ่งทะนงและไร้ความรู้สึกต่อนาง ทำให้นางกังวล แต่ด้วยตลอดทั้งชีวิตของนาง นางไม่เคยชอบพอบุรุษ...รวมถึงหนิงฝานด้วย
ด้วยเพราะโลกใบนี้แบ่งระดับชั้นของผู้คนด้วยพลัง หลานเหม่ยผู้หยิ่งทะนงจึงดูถูกผู้ที่อ่อนแอกว่าตน ดังนั้น นางจึงสนใจไล่ตามเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น
“หนิงฝาน...เรื่องระหว่างเราเป็นไปไม่ได้...” คำกล่าวนี้ในวันวาน คำที่มีความหมายในตัวของมัน หนิงฝานคาดเดาว่านางจะกล่าวคำนี้อีกครั้ง
แล้วหลานเหม่ยและหนิงฝานก็เริ่มออกห่างจากผู้คนอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปนอกเมือง นางขบริมฝีปากของตนราวกับต้องการกล่าว แต่คำกล่าวเหล่านั้นกลับไม่อาจหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของนางได้
เพราะเรื่องนั้นทำให้นางเขินอาย...อายจนยากจะกล่าว
“หนิงฝาน ข้าคือศิลาที่หนักแน่น สตรีเช่นข้าไม่ชื่นชอบบุรุษ... ระหว่างเราเป็นไปไม่ได้...”
คำเหล่านี้วนเวียนอยู่ภายในใจของนาง แต่นางไม่กล้าอ้าปากกล่าว
แต่หากนางไม่กล่าว ยามเมื่อหนิงฝานเดินทางไปยังนิกายกุ่ยเชว่ นางกลัวว่าตนจะได้แต่งงานโดยไม่อาจเลี่ยงได้
‘บิดาไม่ทราบความจริง... ข้าเกลียด...เกลียดที่กล่าวออกไปไม่ได้!’
‘เหตุใดข้าต้องอ้อนวอนหนิงฝาน...บุรุษผู้เฉยชาผู้นี้!’
‘ข้าเกลียดหนิงฝานที่ไม่รู้ว่ายามนี้มันอึดอัดเพียงใด ข้าอยากทำลายบรรยากาศเช่นนี้ ข้าอยากให้ตนเองกล่าวออกไป’
“แม่นางหลานเหม่ย... เจ้ามีอันใดเร่งกล่าวมาเถอะ หากมันช่วยให้เจ้าหายหน้าแดง” หนิงฝานขมวดคิ้วพลางกล่าว
“ผู้ใดหน้าแดง... เจ้า...เจ้าหยาบคายยิ่งนัก!”
ใบหน้าของนางแดงก่ำ แต่แดงด้วยความโกรธ แม้หนิงฝานจะเห็นแต่ย่อมไม่เข้าใจ เพราะเรื่องอารมณ์ของสตรีนั้น เป็นสิ่งที่บุรุษไม่เข้าใจมากที่สุด!...