DND.89 - การต่อสู้แห่งศตวรรษ
ทันใดนั้นวายุหิมะก็ก่อตัวขึ้น
ราวกับว่ามันถูกเรียกมาโดยเจ้านายของมัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะที่ร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง คลื่นแล้วคลื่นเล่าแช่แข็งไปทั้งนภาและธรณี
ชางเฟยหยุนตัวแข็งทื่อและรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันลึกลับ
“หยุดพยายามหลอกข้าด้วยวิชาเจ้าได้แล้ว!”
ชางเฟยหยุนคำรามอย่างเหยียดหยาม
“หมัดฝังเขาวารี!”
แต่เขาก็แผลงพลังหมัดออกมาไม่ได้ เหล่าเกล็ดหิมะได้กลายเป็นศรน้ำแข็งนับไม่ถ้วน! มันมีอยู่ทุกที่...ไม่มีสิ่งใดที่ศรน้ำแข็งนี้เจาะทะลวงไม่ได้
ชางเฟยหยุนป้องกันตัวเองไม่ทัน!
อ๊าก--
เขาร้องเสียงดัง เขาถูกศรน้ำแข็งนับไม่ถ้วนเสียบทะลุร่างในทันที
โลหิตสดๆไหลอาบทั้งร่าง โลหิตกระจายไปทุกทิศทางและแข็งตัวเป็นเข็มโลหิตเยือกแข็งที่ร่วงหล่นสู่ลานประลอง
“หลิวผกากระจ่าง….”
เมื่อเจอกับสถานการณ์ล่อแหลม ชางเฟยหยุนตัดสินใจใช้ฎีกาสวรรค์ออกมา เขาคิดเพียงว่าหากร่างของเขาเบาขึ้น เขาจะรอดพ้นจากศรน้ำแข็งไปได้
แต่...เขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ฎีกาสวรรค์
แกร๊ก---
เกล็ดน้ำแข็งที่กระจายไปทั่วท้องนภาแตกเสียงดัง มันกลายเป็นประกายหยดไหลลงทะลุร่างกายของชางเฟยหยุน
หยดน้ำอันเยือกเย็นเจาะทะลุกระดูกจนถึงดวงวิญญาณ!
มันทะลวงร่างชางเฟยหยุนเร็วเกินกว่าตาจะมองเห็นได้...จากนั้นหยดน้ำเหล่านั้นก็เริ่มเยือกแข็ง
ในพริบตา...ชางเฟยหยุนได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง
เขายืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น...อยู่ในท่าที่เตรียมจะใช้ฎีกาสวรรค์แต่ไม่ได้เกิดผลใดเลย
ซือหยูค่อยๆลดดัชนีลง เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้ขยับเท้าแม้แต่หุนเดียว
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว...”
ซือหยูถอนหายใจเบาๆและเอามือไพล่หลัง ผมสีเงินของเขาร่ายรำไปตามวายุหิมะ ตัวตนพิเศษที่ดูราวกับเป็นเทพและผมสีเงิน...เขายืนอยู่อย่างเปล่งประกายท่ามกลางความเงียบกริบ
ชางเฟยหยุน...มิได้มีโอกาสโจมตีด้วยซ้ำ!
ไม่ว่าจะะเป็นหมัดฝังเขาวารีหรือหลิวผกากระจ่าง...มันถูกปัดป้องไปหมดด้วยการยกนิ้วเพียงนิ้วเดียวของซือหยู...เขาไม่มีโอกาสจะได้ใช้ฏีกาสวรรค์ด้วยซ้ำ!
ความเงียบดำเนินต่อไป...ก่อนที่เหล่าคนรอบข้างจะอ้าปากค้าง
ใบหน้าหลิวคุนสั่นกลัว หัวใจเต้นแรง!
เขาคิดมาตลอดว่าซือหยูเป็นแค่คนหยาบคาย...แต่เมื่อได้เห็นการต่อสู้ด้วยตาตัวเองแล้วก็เห็นได้ชัดว่าซือหยูเพียงแค่พูดความจริงออกมาเท่านั้น!
ชางเฟยหยุนที่ชนะเขาในสองกระบวนท่าไม่มีโอกาสจะจู่โจมซือหยูได้เลย! เขามิใช่ศัตรูของซือหยูแม้แต่น้อย!
ในตอนนั้นหลิวคุนก็เริ่มมันใจ เขาเริ่มให้ความเคารพนับถือซือหยู
ซือหยูมิใช่คนหยาบช้า...เขาเพียงแค่ตระหนักในสิ่งที่พวกเขาปฏิเสธจะเชื่อมั่น
ศิษย์สวรรค์สามลำดับแรกยืนอยู่ใกล้กัน
“ศิษย์น้องหวางจิง จากการประเมินของเจ้า เจ้าคิดว่าซือหยูเทียบกับเจ้าได้หรือไม่?”
เฉินเหลียงลำดับสองมองไปยังซือหยู
ดวงตาหวางจิงเต็มไปด้วยความกดดันและมองซือหยูอย่างจริงจังก่อนจะส่ายหัวอย่างเชื่องช้า
“เขาแกร่งกว่าข้า”
“ศิษย์น้อง...เจ้ามิต้องถ่อมตัว พลังของเขานับว่าผ่านเท่านั้น...เขามิอาจทำอะไรเจ้าได้”
เฉินเหลียงตอบ
นั่นจะจริงรึ? หวางจิงส่ายหัวของนางเงียบๆ หากซือหยูมีพลังเพียงเท่าที่เห็น นางก็อาจจะพอสู้กับซือหยูได้ แต่ถ้าหากซือหยูยังซ่อนเร้นพลังไว้อีกล่ะ?
จ้าวกวงยังคงสุขุมเยือกเย็น ไม่ว่าจะที่ไหนเวลาใด เขาจะใจเย็นและมั่งคงอยู่เสมอราวกับเสาศิลา เขาประเมินซือหยูเบาๆ
“นับว่าผ่าน”
เฉินเหลียงแอบตกใจ แม้เขาจะยังไม่มั่นใจ แต่การประเมินจากจ้าวกวงว่า ‘ผ่าน’ นั้นน่าจะเป็นการประเมินพลังซือหยูสูงเกินไป
แกร๊ก--
ตู้ม--
รูปปั้นน้ำแข็งระเบิดเป็นชิ้นๆ ปลดปล่อยชางเฟยหยุน
ทั้งร่างของเขาแข็งทื่อด้วยความเย็นสุดขั้ว ราวกับว่าถูกโยนไปในธารน้ำแข็ง ร่างกายเขาสั่นอย่างคุมไม่อยู่ แต่เป็นหัวใจของเขาที่สั่นกลัวที่สุด!
พลังซือหยูน่ากลัวยิ่งนัก!
แม้จะบอกได้ว่าซือหยูยืมพลังจากสภาพอากาศมาใช้ แต่ใครจะยืนยันได้ว่าซือหยูมิได้มีพลังอื่นซ่อนเร้นเอาไว้อีก?
เมื่อคิดถึงถ้อยคำหยาบคายที่เขาพูดใส่ซือหยู...ถึงขั้นประกาศว่าจะต่อให้ซือหยูสามกระบวนท่า...ชางเฟยหยุนละอายใจยิ่งนัก!
ชางเฟยหยุนปิดหน้าและลงไปจากลานประลองด้วยความอับอาย
เหล่าศิษย์สวรรค์ต่างภูมิใจเป็นที่สุด!
ไม่ว่าจะแกร่งเพียงใด หากอยู่ต่อหน้าซือหยู...มันก็ทำไม่ได้แม้แต่ละปล่อยพลัง!
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ--
ศิษย์สวรรค์ทั้งห้ามองไปทางซือหยู
ชางเฟยหยุนชนะหลินคุนในทันที แต่ซือหยูก็บดขยี้ชางเฟยหยุนได้เพียงดีชนีเดียว
ซือหยูจึงมาแทนที่หลิวคุนได้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง เขากลายเป็นศิษย์สวรรค์ลำดับห้า! หากใครที่ต้องการติดตามราชันย์ศักดิ์สิทธิ์...ก็ต้องก้าวข้ามซือหยูไปเสียก่อน!
แต่ติดอยู่สิ่งเดียว...เมื่อได้เห็นพลังของซือหยูด้วยตัวเอง...แม้แต่ศิษย์สวรรค์ทั้งห้าก็มิกล้าพอจะประลองกับซือหยู
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ท้ายสุดพวกเขาก็ล้มเลิกความตั้งใจ
สำหรับหลิวคุน พวกเขาอาจจะกล้าท้าประลองด้วย แต่ซือหยูนั่นเป็นดั่งนภาอันสูงส่ง...ลึกลับและน่ากลัว
หลายคนต่างถอนหายใจ ซือหยูที่เคยมีพลังระดับห้าขั้นกลาง...เขาได้กลายเป็นศิษย์สวรรค์ที่แกร่งที่สุดห้าลำดับแรกจริงๆ!
“ราชันย์...ตามสัญญา หากข้าได้เป็นศิษย์สวรรค์ ท่านจะถอนพลังศักดิ์สิทธิ์คืนจากร่างจิงหยู”
ซือหยูหันไปหาราชันย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมั่นคง
นั่นคือสัญญาที่ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ให้ไว้กับซือหยู
ในหนึ่งเดือน หากซือหยูมิได้เป็นศิษย์สวรรค์ เซี่ยจิงหยูจะต้องตายเพื่อเป็นคำเตือนแก่ผู้อื่น
แต่คาดไม่ถึงที่ราชันย์ตอบกลับอย่างเย็นชา
“ไม่”
คนรอบข้างต่างเงียบกริบ
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์...ถอนคำพูด!
ทุกคนสับสนว่าเหตุใดราชันย์ศักดิ์สิทธิ์จึงอยากจะสังหารเซี่ยจิงหยูขนาดนี้!
พลังงานศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในร่างเซี่ยจิงหยูเป็นเวลาหนึ่งเดือน...และมันกำลังจะระเบิดออกมา!
ซือหยูตัวแข็งทื่อ
“ราชันย์...เจ้าอยากจะให้ข้าโจมตีเจ้างั้นรึ?”
ใบหน้าเหน็ดเหนื่อยของราชันย์สุขุมตามเคยและก้าวมาข้างหน้า เขามองไปยังท้องนภาที่เต็มไปด้วยหิมะ
“ศิษย์สวรรค์ทั้งห้าให้ติดตามข้า วิหารนี้...ล่มสลายแล้ว”
เขาไม่สนใจคำถามของซือหยูเลย
และตอนนั้น ร่างของเซี่ยจิงหยูเริ่มสั่น มันแสดงท่าทางว่าเริ่มจะระเบิดอย่างรุนแรง
อ๊า--
เซี่ยจิงหยูอ้าปากและร่างอันบอบบางของนางก็สั่นสะเทือนพร้อมกับใบหน้าที่บ่งบอกความเจ็บปวดแสนสาหัส
ฟึ่บ--
ซือหยูบินไปทางลานประลอง เขากอดเซี่ยจิงหยูไว้ในอ้อมแขนและมองราชันย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเย็นชา
“ราชันย์..เจ้านี่มัน..”
“ไม่ใช่นะ!”
เซี่ยจิงหยูยื่นมืออันงดงามราวหยกของนางปิดปากซือหยู
“เจ้าเข้าใจราชันย์ผิดไปแล้ว”
เซี่ยจิงหยูมองไปยังราชันย์และพูดด้วยความสง่างาม
“พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นแท้จริงแล้วช่วยในการบ่มเพาะพลัง ราชันย์นั้นให้ของขวัญแก่เจ้า”
ทุกคนตกตะลึงกับคำที่ทะลุผ่านหู!
ที่ซือหยูพูดว่า ‘มีคนกำลังรอข้าอยู่’ ในครั้งนั้นทำให้ราชันย์คล้อยตาม
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์แสร้งโกรธในตอนที่ใส่พลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวเซี่ยจิงหยู แท้จริงแล้วก็เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ซือหยูตั้งใจฝึกอย่างหนักในเดือนสุดท้ายของวิหาร
นั่นคือรางวัลแก่ซือหยูผู้กล้ายืนหยัดต่อหน้าเขา พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมิได้มีไว้เพื่อระเบิดกายของเซี่ยจิงหยูตั้งแต่แรก ตอนมาที่มันอยู่ในร่างเซี่ยจิงหยูก็เพื่อช่วยในการระเบิดพลังบ่มเพาะอย่างมหาศาล!
ความหวังดีของราชันย์ส่งไปถึงจิตใจของทุกคน
ซือหยูประสายมือคำนับด้วยความรู้สึกผิด
“ขอบคุณท่านราชันย์...ที่มอบพรแก่ข้า”
ราชันย์ที่เดินอยู่ข้างหน้าพูดอย่างเย็นชา
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว!”
หลังจากที่สำเร็จพลังเซี่ยจิงหยูก็หยุดนิ่ง ซือหยูย่อตัวลงและพูดกับนางอย่างอ่อนโยน
“ข้าจะแบกเจ้าเอง”
เซี่ยจิงหยูหน้าแดงอย่างเขินอาย นางขบริมฝีปากอย่างแผ่วเบา นางรู้สึกกังวลกับเหล่าสายตาที่จับจ้อง
แต่อย่างไร หลังจากที่นางได้ผ่านความโศกเศร้าเมื่อสูญเสียซือหยูและได้เขาคืนมาอีกครั้ง หัวใจของนางก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกภายในมากขึ้น นางมิอาจปฏิเสธซือหยูที่ได้กลายเป็นคนที่มิอาจมีใครมาทดแทนได้ในดวงใจ
เซี่ยจิงหยูที่หน้าแดงปีนขึ้นหลังซือหยูและวางศีรษะลงบนไหล่ของเขาและหลับตาด้วยความเขินอาย...นางไม่อยากจะสบตาใครในตอนนี้เลย
เทียบกับซือหยูแล้ว จิตใจของเขากระจ่างชัด เซี่ยจิงหยูคือผู้มีพระคุณ ดังนั้นเขาจึงมิได้คิดมิดีมิงามกับนาง
ราชันย์ขมวดคิ้ว
“ข้าจะพาศิษย์สวรรค์ห้าคนไปด้วยเท่านั้น เซี่ยจิงหยูมิได้ไปด้วย”
เซี่ยจิงหยูนิ่งงันก่อนจะกระซิบอย่างแผ่วเบา
“พี่หยู ปล่อยข้าลงเถอะ”
หลังการจากลาครั้งนี้ พวกเขาจะห่างกันคนละโลก...นางอาจจะได้เจอซือหยูครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างมิอาจทนได้
“นางจะต้องไปด้วย”
ซือหยูหยิบสร้อยหยกที่รูปทรงวิหคเพลิง นั่นคือของที่ผู้อาวุโสฉินให้เขาก่อนที่จะจากกัน หากมีสร้อยหยกนี้ในมือ...ก็จะเข้าสู่หุบเขาเฟิงหวงได้
ราชันย์ตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็ยอมรับ
“ตกลง...นางจะได้ไปด้วย”
เซี่ยจิงหยูยินดีมาก นางกอดคอซือหยูและกระซิบอย่างแผ่วเบา
“ขอบคุณนะ...พี่หยู”
ซือหยูที่ได้กลิ่นหอมหวานบริเวณแก้ม...ยิ้ม
หลงเสี่ยวยี่มองเซี่ยจิงหยูจากไกลๆ
“จิงหยู ข้าอวยพรให้เจ้าพบกับความสุข”
ก่อนพวกเขาจะเดินทาง ราชันย์เข้าไปยังป่าอสูร ครึ่งวันผ่านมาก็มีโอสถวิญญาณระดับสวรรค์กว่าร้อยขวดในมือเขา
“ฉิวชางเจี้ยน...เอาไปแจกจ่ายซะ ทุกคนจะได้หนึ่งขวด และจากนี้เป็นต้นไป...วิหารจักต้องล่มสลาย”
ราชันย์เตรียมการครั้งสุดท้าย
เพชรฆาตทุกคนที่เร้นกายอยู่ในป่าอสูรถูกสังหารโดยราชันย์ศักดิ์สิทธิ์โดยใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น หากราชันย์ศักดิ์สิทธิ์มิได้จัดการเรื่องนี้ก็อาจจะมีปัญหาในอนาคตได้
ซือหยูตกใจกับพลังของราชันย์ ป่าอสูรนั้นกว้างใหญ่และมีเพชรฆาตที่หลักแหลมมากมายที่ปรับตัวและหลบซ่อนอยู่ข้างใน แต่เพียงแค่ครี่งวันทั้งหมดก็ถูกกำจัด พลังของเขาไปถึงระดับคล้ายเทพแล้ว...หากดูจากคำอธิบายในบันทึกโบราณ
“หากพวกเจ้าอยากจะอยู่ในวิหารเพื่อฝึกฝน ข้าก็มิได้ห้าม...แต่พวกเจ้าจะต้องไม่กล่าวถึงนามข้าอีก”
ราชันย์ประกาศอย่างเย็นชา
“ท่านอาจารย์!”
ศิษย์สวรรค์ทั้งห้าโค้งคำนับพร้อมกันทั้งน้ำตา
วิหารล่มสลายลง...เช่นนี้
ก่อนที่จะเดินทางออกจากวิหาร ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองวิหารจากระยะไกล เขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ดวงตาเขาแฝงความไม่เต็มใจ
ไม่นานความไม่เต็มใจนั้นก็แทนที่ด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ท่านราชันย์ ทำไมเราต้องไปหุบเขาเฟิงหวงด้วยล่ะ?”
ซือหยูถามด้วยความสับสน
จ้าวกวงปราดตามองซือหยูอย่างเย็นชา
“ศิษย์น้องซือ! เจ้ากล้าสงสัยในตัวราชันย์ได้ยังไงกัน?”
ในฐานะของศิษย์สวรรค์ เหตุใดจะต้องตั้งคำถามกับราชันย์ศักดิ์สิทธิ์
“พวกเจ้าทุกคนต้องรู้อยู่แล้ว”
ราชันย์ยื่นมือและพูดอย่างเย็นชา
“เหตุที่ข้าก่อตั้งวิหารมาร้อยปีก็เพิ่มรวบรวมเหล่าอัจฉริยะ...เช่นเดียวกับหุบเขาเฟิงหวง”
ราชันย์บอกความลับกับทุกคน
“พวกเราสองคนที่เป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างข้อตกลงกับว่าเราจะบ่มเพาะเหล่าอัจฉริยะขึ้นมาหนึ่งกลุ่ม หลังจากร้อยปี เราจะพบกันอีกครั้งและต่อสู้กัน”
ราชันย์พูดต่อ
“หลังจากร้อยปี มีกลุ่มอัจฉริยะนับไม่ถ้วนที่เข้ามาและะออกไป...ข้าต้องฟูมฟักผู้ที่แกร่งที่สุดที่มี...ซึ่งก็คือพวกเจ้า”
“เช่นเดียวกับหุบเขาเฟิงหวง เขาใช้เวลาหลายปีพยายามฟูมฟักเหล่าอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด”
ซือหยูตกใจ หุบเขาเฟิงหวงกับวิหารตั้งข้อตกลงว่าจะต้องต่อสู้กันหลังจากร้อยปีงั้นรึ?
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวิหารจึงต้องสร้างสำนักและจัดงานประชุมศักดิ์สิทธิ์จากทั้งเก้าแคว้น นั่นก็เพื่อกรองและคัดเลือกอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดเพื่อเตรียมการต่อสู้แห่งศตวรรษ!
แต่ยังมีข้อสงสัยอีกข้อ...นั่นคือเหตุใดที่ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์กับเซียนหุบเขาเฟิงหวงจะต้องต่อสู้กันในครั้งนี้?
ราชันย์มิได้กล่าวถึงในข้อนี้...และซือหยูก็มิกล้าจะถามต่อ
“การต่อสู้นี้พวกเจ้าจะต้องอยู่ในอันดับสูงสุด นี่เป็นโอกาสเดียวในชีวิตพวกเจ้าที่จะได้เป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์!”
อะไรกัน? ทุกคนตกตะลึง!
โอกาสเดียวในการได้เป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ?
ทั้งทวีปเฉินยี่แห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าโลกสิบเท่า ทุกศตวรรษที่ผ่านมา ทั้งทวีปยังมิได้เห็นการกำเนิดขึ้นของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์คนที่สาม การสร้างราชันย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นจะต้องยากลำบากไม่ผิดแน่
“ทรัพยากรในทวีปเฉินยี่นั้นมีจำกัด มิอาจสร้างราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ การต่อสู้แห่งศตวรรษนี้จะตัดสินชะตาของพวกเจ้านับจากนี้”
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ
“จะใช่ชีวิตเยี่ยงมนุษย์และถูกปฏิบัติเฉกเช่นมดปลวก...หรือเป็นมัจฉาที่กระโจนข้ามประตูมังกร...เพื่อเข้าไปยังโลกใบใหม่ที่พวกเจ้าไม่รู้จัก ทั้งหมดจะถูกตัดสินในการต่อสู้แห่งศตวรรษ!”