DND.88 - ปราบทวิกระบวนท่า
ฟึ่บ--
ร่างนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขามีอายุประมาณยี่สิบปี ใบหน้าหล่อเหลามาพร้อมกับร่างกายอันสง่างาม เขามีพลังระดับเก้าขั้นกลางเช่นกัน...นั่นทำให้ทุกคนเป็นกังวล
เขาบินมายังลานประลองอย่างสง่างามและมองไปยังราชันย์ศักดิ์สิทธิ์จากระยะไกล เขาประสานมือด้วยความนับถือ
“ชางเฟยหยุนจากหุบเขาเฟิงหวง ข้ามาเพื่อพบราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ ใต้บัญชาแห่งเซียนหุบเขา”
ราชันย์ยังคงสงบนิ่ง
“มีสิ่งใด...จงพูดออกมา”
มิได้อ่อนน้อมหรือหยาบคาย ชางเฟยหยุนตอบอย่างใจเย็น
“ในนามแห่งเซียนหุบเขา นางชี้แนะให้ท่านเคลื่อนไหวเร็วขึ้น นางจะไม่รอหากท่านชักช้า”
ข้อความอะไรกัน!
มันหยาบคายกับราชันย์ศักดิ์สิทธิ์นัก! เซียนหุบเขาเฟิงหวงหยาบเกินไปแล้ว!
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์มองชางเฟยหยุน
“กลับไปบอกนางว่าข้าจะไม่พลาดการต่อสู้แห่งศตวรรษ!”
“เช่นนั้น! ข้าจะบอกนาง”
ชางเฟยหยุนพูดอย่างนับถือและค่อยหันหลังเตรียมตัวจะจากไป
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”
หลิวคุนมองอย่างเย็นชา
ชางเฟยหยุนหันฝีเท้ากลับมา
“เจ้ามีเรื่องอะไรกับข้างั้นรึ?”
เขาวางท่าถาม
ใบหน้าหลิวคุนเย็นชา
“เจ้าคิดว่าจะเข้าๆออกๆวิหารได้ตามใจงั้นรึ? เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นหุบเขาของเจ้ารึไง?”
“แล้วเจ้าจะทำอะไรล่ะ?”
ชางเฟยหยุนถาม เขาดูเบื่อหน่ายและเอามือไพล่หลัง
หลิวคุนระเบิดโทสะ
“ข้าอยากจะรู้นักว่าวิชาของคนในเฟิงหวงมันเหมาะสมกับความหยาบคายนั้นหรือไม่!”
ศิษย์สวรรค์ทั้งสิบสังเกตอย่างเงียบเชียบ
หุบเขาเฟิงหวงทำเกินไป!
พวกเขาเดินทางมาไกลเพียงเพื่อบอกราชันย์ศักดิ์สิทธิ์พวกเขาจะไม่รีรอหากเขาช้า นั่นนับว่าเป็นการลบหลู่ต่อราชันย์ศักดิ์สิทธิ์!
ชางเฟยหยุนและความหยาบคายของเขาจะต้องถูกขัดเกลา!
“ด้วยพลังของเจ้าน่ะรึ? เจ้ามิใช่คู่แข่งของข้าหรอก”
ชางเฟยหยุนส่ายหัวเบาๆและตอบอย่างดูถูก
“ข้าจะสู้กับเจ้าได้หรือไม่ มันตัดสินกันหลังจากที่สู้กันแล้วต่างหาก!”
หลิวคุนตะโกน
“ฟ้าดินวินาศ!”
หลิวคุนตะโกนและตัวของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยฎีกาสวรรค์
ทุกคนได้ยินเสียงคลื่นสมุทรพิโรธ มันแรงพอที่จะพัดพาภูเขา พลังโจมตีนั้นกว้างใหญ่และดูดทุกคนไปยังใจกลาง
พลั่ก--
ว่าที่ศิษย์สวรรค์ที่อยู่ใกล้ลานประลองต่างปลิวไปข้างหลังและกระอักเลือด
หลิวชิงหวาดกลัว เขาหน้าซีด
ฎีกาสวรรค์ของหลิวคุนแกร่งมาก เขาเป็นศิษย์สวรรค์ที่ไร้เทียมทาน
มีเพียงสามลำดับแรกของศิษย์สวรรค์เท่านั้นที่ต้านพลังฎีกาสวรรค์ของหลิวคุนได้
ตู้ม--
พลังที่เพียงพอจะทลายฟ้าดินพุ่งตรงไปยังชางเฟยหยุน
แต่แม้จะต้องเจอกับพลังอันน่ากลัว...ชางเฟยหยุนก็ยังคงใจเย็นเช่นทุกที
“ได้แค่นี้เองรึ”
เขายั่วยุ
“หลิวผกากระจ่าง!”
ฟึ่บ--
ร่างชางเฟยหยุนหายไปกับเงา...รวดเร็วยากจะมองตามทัน
พลังอันเข้มข้นกดดันพื้นที่รอบๆ แต่มิได้ถึงตัวชางเฟยหยุนแม้แต่น้อย!
ผู้คนตกตะลึง
“นั่นมัน...ฎีกาสวรรค์ระดับสวรรค์งั้นรึ?”
“ไม่ใช่แล้ว นั่นมันแกร่งกว่าระดับสวรรค์!”
“มีแค่ฎีกาสวรรค์ระดับนั้นแล้วยังกล้าสามหาวเช่นนั้นอีกรึ? เจ้ามันก็แค่พวกโง่เขลา!”
ชางเฟยหยุนตะโกนอย่างมืดทน
หลิวคุนตกใจ ฎีกาสวรรค์ของศัตรูนั้นมันคือประเภทใดกัน? ราวกับว่าเขากระหน่ำโจมตีเงา!
ชางเฟยหยุนมิรีรอ เขาพุ่งออกไปตามปกติราวกับว่าเดินเล่นอยู่ในสวน แต่ความเร็วของเขานั้นเร็วมาก! ในพริบตาก็เข้าถึงตัวหลิวคุน
“หมัดฝังเขาวารี!”
ชางเฟยหยุนปล่อยหมัดออกไป
หมัดของเขาแข็งแกร่งและราวกับว่ามันจะพลิกคลื่นวารีพิโรธ ราวกับว่าทั้งสิงขรและวารียาวนับพันลี้จะหลอมรวมกันเพราะหมัดเดียวนี้
“ฝ่ามือขจัดธรณี!”
หลิวคุนกัดฟันและโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
เขายื่นฝ่ามือออกไปและทำให้พื้นสั่น ราวกับว่ามันจะลบล้างสวรรค์และผืนแผ่นดิน มันทำให้พื้นดินแตกไปทุกทิศทาง
หมัดและฝ่ามือปะทะกัน!
ตู้ม--
พุ่บ--
พลั่วะ! พลั่วะ!
หลิวคุนถอยหลังไปหลายก้าวและกระอักเลือดออกมา เขาตกตะลึง! เขาพ่ายแพ้ในสองกระบวนท่า!
ทั้งสองคนมีพลังระดับเก้าขั้นกลาง แต่ความต่างของพลังนั้นช่างน่าตื่นตะลึง!
เหล่าคนที่พบเห็นอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง!
แววตาราชันย์ศักดิ์สิทธิ์จริงจัง
ชางเฟยหยุนที่ชนะในสองกระบวนท่าหัวเราะเยาะ
“บอบบางนัก”
หลิวคุนหน้าแดงด้วยความโกรธ เขาตะโกนแม้จะมีโลหิตในปาก
“เจ้ากบในกะลา หยาบช้านัก! วิหารข้าก็มีระดับเก้าขั้นกลางที่ชนะข้าด้วยสองกระบวนท่ามิต่างกัน นางคือลำดับสาม ศิษย์พี่หวางจิง พวกหุบเขาเฟิงหวงเช่นเจ้ามิกลัวจะเป็นเรื่องขบขันของพวกเรางั้นรึ?”
ดูเหมือนพลังของชางเฟยหยุนจะอยู่ในระดับสูงของหุบเขาเฟิงหวง ความหยาบคายของเขานั้นทำให้ยากที่ใครจะบอกได้ว่าเขาเป็นคนดี
แต่คาดไม่ถึงที่ชางเฟยหยุนหัวเราะเยาะออกมา
“เอ๋? กบในกะลางั้นรึ? เจ้ารู้ลำดับของข้าในหุบเขาเฟิงหวงหรือไม่?”
หลิวคุนตัวแข็งทื่อ เขามองหน้าชางเฟยหยุนที่ยิ้มเยาะ หลิวคุนเริ่มจริงจัง บางทีอำนาจของหุบเขาเฟิงหวงอาจจะไม่ได้มากไปกว่าวิหาร อย่างไรทั้งสองฝั่งก็มีราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ ความต่างอาจจะมีบ้าง แต่มิน่าจะมากเกินไป
“หึหึ...หากเจ้าไม่คิดจะบอกข้าก็เดาว่าเจ้าอยู่ในลำดับห้านั่นแหละ!”
หลิวคุนหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ชางเฟยหยุนนั้นแข็งแกร่ง ดูเหมือนเขาจะอยู่ในลำดับสี่หรือห้า หากเขาอยู่ในวิหารนี้ก็อาจจะอยู่ในลำดับสาม!
ชางเฟยหยุนขำ
“ลำดับห้างั้นรึ? ศิษย์วิหารนี่ช่างเป็นกบในกะลาเสียจริง! ข้าเป็นได้แค่ลำดับสิบในเฟิงหวงเท่านั้น!”
อะไรกัน? ลำดับสิบงั้นรึ?์
ทุกคนตกตะลึง
พลังเทียบเท่าลำดับสามในวิหารคือลำดับสิบในเฟิงหวงงั้นรึ? หากชางเฟยหยุนมิได้โกหก...พลังของเฟิงหวงจะน่ากลัวเท่าใดกัน?
เหล่าศิษย์วิหารตัวสั่น หากแข็งแกร่งขนาดนั้นแล้วอยู่ในลำดับสิบ...ผู้มีพรสวรรค์เช่นใดกันถึงจะได้เป็นลำดับหนึ่ง?
แววตาราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ยังคงเยือกเย็น
นิ่งเงียบอยู่ไม่นาน ราชันย์ก็ประกาศอย่างแผ่วเบา
“ข้าจะพาศิษย์สวรรค์ไปกับข้าที่หุบเขาเฟิงหวงแค่ห้าคนเท่านั้น ทุกคนไม่มีเหตุผลจะต้องไป”
สิบศิษย์สวรรค์ตกใจ!
ตัวตนของชางเฟยหยุนได้ทำให้ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เปลี่่ยนใจ!
เหล่าศิษย์สวรรค์สั่นคลอนอย่างมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ลำดับที่หกถึงสิบ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที หากพวกเขามิได้ติดตามราชันย์ไป...พวกเขาจะต้องถูกทิ้งเช่นเดียวกับเหล่าว่าที่ศิษย์สวรรค์!
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ--
ในเสี้ยววินาที ศิษย์สวรรค์ทั้งห้าก็มองไปทางหลิวคุนที่อยู่ลำดับห้า!
ตามกฎการประลองของศิษย์สวรรค์แล้ว ศิษย์สวรรค์จะเลื่อนระดับได้ถ้าหากประลองชนะคนลำดับที่สูงกว่า พวกเขาเห็นโอกาสเดียวในการติดตามราชันย์ศักดิ์สิทธิ์และไม่เกรงกลัวที่จะท้าประลองกับลำดับห้า
“ศิษย์พี่หลิว ข้าขอท้าประลอง!”
เหล่าศิษย์สวรรค์ที่มิกล้าประลองกับหลิวคุนในอดีตต่างอยากจะประลองกับเขา
ราชันย์แอบยอมรับการประลองของพวกเขา
แต่...เสียงอันเย็นชาก็ดังมาจากลานประลอง
“ศิษย์พี่...เจ้าลืมไปแล้วรึว่าข้ายังอยู่บนลานประลอง?”
ศิษย์สวรรค์ทั้งห้าคนจึงได้รู้ว่าการประลองของหลิวคุนและซือหยูยังมิได้เริ่มขึ้น
หลังจากที่ถูกชางเฟยหยุนแทรกกลางคัน ตามธรรมเนียมแล้ว...เป็นสิทธิ์ของซือหยูที่จะได้ประลองก่อน
หลิวคุนเช็ดคราบเลือดที่ริมฝีปากและกลับขึ้นลานประลองอีกครั้ง
“ซือหยู! เห็นการต่อสู้ของข้าแล้ว เจ้าก็ยังกล้าจะประลองกับข้า ช่างน่าประทับใจ”
แม้เขาจะแท้ แต่ก็ไม่มีใครตั้งคำถามต่อพลังของหลิวคุน
ซือหยูหลับตาพริ่ม
“ศิษย์พี่หลิว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คนที่ข้าจะประลองมิใช่เจ้า...แต่เป็นบุรุษผู้นั้น”
ซือหยูยืนมือไพล่หลังและมองไปทาง...ชางเฟยหยุน!
อะไรกัน? เป้าหมายของซือหยูคือชางเฟยหยุน!
เขาแกร่งพอที่จะอยู่ในลำดับสองหรือสามในวิหาร
ชางเฟยหยุนมองซือหยูด้วยแววตาเย็นชาและฝืนยิ้ม
“หืม? เจ้าคือคู่หมั้นของเซี่ยนเอ๋อ..ซือหยูงั้นรึ?”
ตลอดทาง เขาได้รวบรวมข้อมูลและรับรู้อย่างง่ายดายว่าซือหยูที่มีชื่อเสียงนั้นเข้าสู่วิหาร ชางเฟยหยุนมิกล้าจะสังหารซือหยูอย่างเปิดเผยเพราะเขาเป็นศิษย์วิหาร เรื่องนี้จะต้องให้เซียนหุบเขาจัดการ
เมื่อได้ยินชื่อเซี่ยนเอ๋อ ซือหยูก็ตัวสั่น
อย่างที่คิด...เซี่ยนเอ๋ออยู่ในหุบเขาเฟิงหวงจริงๆ นางจะเป็นยังไงบ้างนะ? พวกเขาดูแลนางได้ดีไหม...หรือนางจะถูกรังแก?
ในใจซือหยูเต็มไปด้วยร่างกายเล็กน่ารักของเซี่ยนเอ๋อ
เขาปรารถนาจะไปหุบเขาเฟิงหวงทันทีเพื่อพบเซี่ยนเอ๋อ
“เจ้าอยากจะรู้กับข้ารึ?”
ซือหยูรู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์จากชางเฟยหยุน
ชางเฟยหยุนยิ้มเยาะ
“คนตาบอดเช่นเจ้าไม่มีสิทธิ์จะเป็นคู่ของเซี่ยนเอ๋อ!”
ฟึ่บ--
ชางเฟยหยุนก้าวไปข้างหน้า
“เพื่อแสดงความนับถือต่อเซี่ยนเอ๋อ ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวนท่าดีไหม? เห็นรึยังว่าข้ากับเซี่ยนเอ๋อใกล้ชิดกันไม่เหมือนผู้ใด”
ถ้อยคำของเขาแฝงความดูถูก เป็นการบ่งบอกว่าซือหยูต้องการเซี่ยนเอ๋อให้ปกป้องเขา
“หาจำเป็นไม่ เจ้าใช้พลังเต็มที่ซะ ขณะที่เจ้ายังมีโอกาส”
ซือหยูพูดอย่างสุขุม เงียบสงบราวสายธารเหมันต์
ประโยคนั้นของซือหยูทำให้ทุกคนนิ่งด้วยความตะลึง!
ซือหยูบอกว่าชางเฟยหยุนไม่มีโอกาสจะได้ขยับตัวด้วยซ้ำ! แม้ดวงตาของราชันย์ก็สั่นคลอน
หลงเสี่่ยวยี่เดาว่าซือหยูคิดจะใช้กับดักและชิงไหวชิงพริบกับศัตรู นางเห็นวิธีสังหารราชันย์เพชรฆาตของซือหยู หลงเสี่่ยวยี่มิได้ดูถูกในพลังและความคิดของซือหยูเลย
ชางเฟยหยุนตกใจ เขาไม่คิดว่าซือหยูจะกล้าพูดเช่นนี้
ชางเฟยหยุนรู้สึกตัวอีกครั้งและส่ายหัว
“ทีแรกข้าคิดว่าคู่หมั้นของเซี่ยนเอ๋อ แม้จะเป็นคนธรรมดา แต่ก็มีความสามารถ”
“แต่ไม่คิดเลยว่านอกสายตาเจ้าจะมืดบอดแล้ว จิตใจของเจ้าก็มืดบอดเช่นกัน น่าเวทนานักที่กล้าพูดถ้อยคำโง่เขลานั่นออกมา!”
ชางเฟยหยุนส่ายหัวอย่างเย็นชา
“ข้ารู้สึกว่าเจ้ามิคู่ควรแทนเซี่ยนเอ๋อเสียจริง...ที่ต้องมาหมั้นกับคนโง่เขลาเช่นเจ้า! หากนางติดตามเจ้าต่อไป...นางจะต้องทุกข์ทรมานเป็นแน่!”
ซือหยูยังคงใจเย็นมิได้โศกเศร้าหรือโกรธแค้น เขาส่ายหัวเบาๆ
“ข้าให้โอกาสเจ้าโจมตีแล้ว...เจ้ายังเสียเวลามาพล่ามไร้สาระอีก คนในหุบเขาเฟิงหวงมันน่าขยะแขยงเช่นนี้ทุกคนรึไงกกัน?”
คำพูดของชางเฟยหยุนถูกทำให้เป็นอากาศธาตุ...และไม่สนใจโดยซือหยู
ชางเฟยหยุนบัลดาลโทสะ
“ฮื่ม! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! ในนามแห่งหุบเขาเฟิงหวง ข้าจะสั่งสอนคนโง่เขลาเช่นเจ้าซะ!”
ฟึ่บ--
ชางเฟยหยุนจู่โจมซือหยูทันที
ซือหยูมิได้ขยับตัวแม้แต่น้อย
“เจ้าใช้โอกาสที่ข้าให้หมดเสียแล้ว ต่อหน้าข้า...เจ้าไม่มีสิทธิ์ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ”
เขาพูดอย่างบางเบา...ไม่ใส่ใจ
ซือหยูเริ่มขยับตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าสู่ลานประลอง!
เขาเพียงแค่ยกนิ้ว...ชี้ไปยังชางเฟยหยุน