The Dark King – Chapter 8 กำแพงยักษ์แห่งซิลเวีย [อ่านฟรี]
คนที่อยู่ใกล้ๆโต๊ะนั้นไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด ร่างเงาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นที่มาส่งข้อความนี้ทุบไปที่หน้าอกของเขา จากนั้นเขาก็หายไปในทันทีเหลือไว้เพียงจดหมายสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ
สายตาของชายรูปร่างกำยำที่อยู่ใกล้ๆโต๊ะหันมองไปที่กระดาษสีขาวตรงหน้า คิ้วที่เฉียบคมราวกับมีดยกขึ้นเล็กน้อย เขาเปิดตาขึ้นพร้อมกับอ่านสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ค่าของอะไรบางอย่างที่ได้เขียนเอาไว้ที่มุมกระดาษ
เขาจ้องมองมันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมและเปิดประตูออกไป
ในห้องโถงนั้นพ่อบ้านวัยกลางคนมองไปที่เจ้านายของเขาด้วยความประหลาดใจ “นายท่าน มันดึกมากแล้วท่านจะไปไหนกัน?
“อ่า..” ร่างที่กำยำกล่าวขึ้น “ไปเตรียมรถม้า”
…
…
“เมื่อ 300 ปีก่อนมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ บรรพบุรุษของพวกเราต้องต่อสู้กับพวกมันอย่างหนักหนาและรอดชีวิตมาได้ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา และสร้างกำแพงยักษ์แห่งซิลเวียเพื่อแยกความหายนะเอาไว้นอกกำแพงยักษ์นี้ กำแพงยักษ์แห่งนี้ไม่อาจถูกทำลายโดยพวกสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายเหล่านั้นได้ เธอรู้หรือไม่?” ชายชราหนวดสีขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
แม้ว่าเขาจะมีหนวดเคราสีขาวแต่ความจริงแล้วเขายังมีอายุเพียง 60 ต้นๆเท่านั้น แต่ในที่แห่งนี้ก็ถือว่ามีอายุยืนยาวแล้ว
ฟู่เทียนตั้งใจฟัง ตอนนี้ผ่านวันลงทะเบียนเรียนมาแล้ว 3 วัน นี่เป็นการเข้าชั้นเรียนวันแรกของเขาอย่างเป็นทางการ ชายชราผู้นี้ไม่ได้มาเพื่ออธิบายความรู้เรื่องกฎหมาย แต่แค่มาแนะนำสั้นๆในเรื่องที่ควรรู้ ดูเหมือนว่าจุดมุ่งหมายในการพูดของเขานั้นคือการรวบรวมหัวใจของพวกเด็กๆเอาไว้ในความเชื่อเดียวกัน เรื่องราวของกำแพงยักษ์แห่งซิลเวียนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เด็กๆทุกคน พวกเขาต่างเคยฟังพ่อแม่ของตนเองพูดถึงเรื่องนี้กันทั้งนั้น มีเพียงเด็กกำพร้าเท่านั้นที่ไม่ทราบถึงเรื่องราวของเมืองซิลเวียแห่งนี้
เด็กคนอื่นๆเมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกเบื่อ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นผู้อาวุโสที่มีหนวดเคราขาวเช่นนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกเกรงกลัวและซ่อนท่าทีที่ไม่สุภาพของตนเองเอาไว้
ฟู่เทียนนั้นตั้งใจฟังเรื่องเล่าของชายชราผู้นี้ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่เขาต้องการมากที่สุดในขณะนี้ เมื่อเห็นว่าชายชราไม่ได้อธิบายในข้อมูลที่ลึกกว่านี้เขาจึงยกมือและถามออกไปว่า “อาจารย์ครับ คุณบอกว่ามันเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติหรอครับ?”
ชายชราที่มีหนวดเคราขาวและเด็กคนอื่นๆต่างรู้สึกประหลาดใจในตอนนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าฟู่เทียนจะกล้าหาญแบบนี้ กล้าที่จะเริ่มถามคำถามและยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องที่รู้จักกันดี จริงๆแล้วบางคนก็รู้สึกงงและไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องตั้งคำถามเช่นนี้ออกมา
ชายชราเห็นสีหน้าที่จริงจังและคาดหวังของฟู่เทียน เขาไม่อาจทนต่อความกระตือรือร้นของเด็กคนนี้ได้ แต่ก็มีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขา “พ่อแม่ของเขาไม่ได้บอกเขาเรื่องนี้หรอ?”
“เกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติมากมาย ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม แผ่นดินไหว และอื่นๆ” เขาอธิบายด้วยรอยยิ้ม
ฟู่เทียนยังไม่ยอมแพ้และถามต่อไปว่า “แค่นี้หรอครับ?”
ชายชราเงียบอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็กล่าวออกมาต่อ “ภัยพิบัติครั้งนั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง พ่อแม่ของเธอไม่เคยเล่าให้ฟังหรอ? การระเบิดของภูเขาไฟเพียงอย่างเดียวก็ได้ฆ่าคนนับไปไม่ถ้วน เมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้าเพราะภูเขาไฟระเบิดครั้งนั้น”
ฟู่เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้ว่าหัวใจของเขาจะหม่นหมองก็ตาม เพราะเขารู้ว่าภัยพิบัติครั้งนั้นเกิดขึ้นมากว่า 300 ปีมาแล้ว มันย่อมไม่ใช่แค่ภัยพิบัติตามธรรมชาติ แม้ว่าชายชราผู้นี้จะกล่าวว่าภัยพิบัติต่างๆได้เกิดขึ้นแต่ทั้งหมดนั้นเกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ เห็นได้ชัดว่าเด็กเหล่านี้ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของภัยพิบัติและมีคนพยายามปกปิดข้อมูลสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
บางทีผู้ที่ปกปิดข้อมูลสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอาจจะเป็นผู้ที่ได้ปกครองโลกใบนี้หลังจากที่พระพิบัติครั้งนั้นได้เกิดขึ้นก็เป็นได้
“อาจารย์ครับ แม่ของผมบอกว่าหลังกำแพงยักษ์นั่นอันตรายอย่างยิ่งหากพวกเราออกไปพวกเราก็จะต้องตาย มันเป็นเรื่องจริงหรอครับ?” เด็กน้อยคนหนึ่งเมื่อเห็นว่าฟู่เทียนเนื่องจากคำถามออกไป ทำให้เขารวบรวมความกล้ามากขึ้นและยกมือขึ้นถาม
ชายชรามองไปยังเด็กคนนี้แหละกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ใช่แล้ว ภายนอกกำแพงยักษ์นั่นมีทั้งปีศาจร้ายและโรคระบาด เมื่อออกไปแล้วย่อมไม่มีใครสามารถกลับมาได้”
“ต้องขอบคุณกำแพงยักษ์ที่ทำให้พวกเราสามารถมานั่งเรียนได้อย่างสบายที่นี่ มีข้าวมีผักปลาให้กิน พวกเราควรศึกษาและเคารพกำแพงยักษ์นั่น!”
“ผู้ศึกษาการปกครอง” นั้นหมายถึงผู้ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย เหมือนกับฟู่เทียนและเด็กๆเหล่านี้ที่เริ่มศึกษาทางด้านกฎหมาย พวกเขานั้นเป็นผู้ที่ศึกษาทางด้านระเบียบวินัย หากจบการศึกษาหรือการฝึกงานไปได้พวกเขาก็จะสามารถเป็นนักบวชหรือผู้ปกครองได้ นี่เป็นตำแหน่งที่สูงศักดิ์อย่างยิ่ง เหมือนตำแหน่งขุนนาง ไม่เพียงแต่สามารถเข้าสู่ด้านที่อยู่อาศัยและด้านการค้าได้อย่างอิสระ แต่ยังสามารถเข้าสู่พื้นที่หลังกำแพงได้เช่นกัน!
“ปีศาจร้ายและโรคระบาด … …” เด็กทุกคนต่างหวาดกลัวจนหน้าซีด แม้ว่าพวกเขาจะยังเล็กแต่ก็รู้ถึงความน่ากลัวของสองสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี
หัวใจของฟู่เทียนนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้ในเรื่องต่างๆ เขาย่อมไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า “ปีศาจ”
การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ได้ ‘กวาดล้าง’ โลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติบางส่วนได้สูญหายไปหรือวิวัฒนาการขึ้น คำอธิบายพวกนั้นมีไว้แค่ขู่พวกเด็กๆเท่านั้น แน่นอนว่าเป้าหมายของการข่มขู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่พวกเด็กๆยังรวมไปถึงผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน
นี่ทำให้เขารู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น โลกภายนอกกำแพงยักษ์นั้นเป็นอย่างไรกัน? เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่ระเบิดนิวเคลียร์ได้ระเบิดขึ้น? มันกลายเป็นเพียงแค่ผืนป่าเพราะไม่มีใครทำอะไรเลย?
“หมดเวลาเรียนแล้ว” ชายชรามองไปที่นาฬิกาทรายและกล่าวขึ้น
เด็กคนอื่นๆต่างมีเสียงที่ยินดี
ในตอนนี้ประตูห้องเปิดขึ้นทันทีมีชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดเกราะหนังสีดำเดินเข้ามาภายในห้อง ชายชราที่มีหนวดสีขาวกำลังจะถามพวกเขา แต่ทันทีที่เขาสังเกตเห็นเหรียญตราสีดำบนไหล่ของทั้งสองคนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มขึ้นทันที “พวกคุณมารับเด็กๆไปงั้นหรอ?”
ฟู่เทียนรู้สึกงงเมื่อเขาได้ยินชายชราที่มีหนวดสีขาวนี้กล่าวขึ้น เขารู้สึกตื่นตัวและสงสัยท่าทีของชาย 2 คนนี้
หนึ่งในนั้นเป็นชายร่างผอมเขาพยักหน้า ดูไม่ได้สนใจอะไรและกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันจะเรียกชื่อ ใครที่มีชื่อตามนี้โปรดยืนขึ้น เข้าใจหรือไม่?” สายตาของเขากวาดตามองทุกๆคน
เด็กๆทุกๆคนต่างตื่นตัวขึ้นทันที ชายชราที่มีหนวดสีขาวนี้กล่าวขึ้นเพื่อให้เด็กๆรู้สึกสบายใจ “อย่ากังวลไปเลย ทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่ของเมืองนี้ ใครก็ตามที่พวกเขาได้เรียกชื่อนั้นจะมีหวังที่จะได้เข้าร่วมกับสำนักงานราชการ นี่ถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่”
สำนักงานราชการ? ฟู่เทียนเคยได้ยินจูร่าพูดถึงเรื่องนี้ สรุปสั้นๆคือมันเทียบได้กับเหล่าข้าราชการของยุคเก่า จะได้มีชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของตัวเอง ในโลกใบนี้อาชีพนี้ถือเป็นความฝันของผู้คนมากมาย
แต่ฟู่เทียนสังเกตเห็นเหรียญตราบนบ่าของชายทั้งสองคน ในตอนที่เขายังอยู่ในชุมชนแออัดนั้นเขาเคยพบกับเจ้าหน้าที่ที่มีเหรียญตราเช่นนี้มาแล้ว เบาะหนังมาตรฐานนั้นยังมีระดับแตกต่างกันไป เมื่อเขาเห็นอาจารย์ที่สอนยังต้องหวาดกลัวเจ้าหน้าที่เหล่านี้ข้อสงสัยมากมายก็เกิดขึ้นในใจของเขา
“ล็อค!” เจ้าหน้าที่หนุ่มกล่าวออกมาเสียงดัง
เด็กที่ดูอ่อนแอที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าของฟู่เทียนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า “อยู่นี่ครับ … …”
“ยืนขึ้น!” เจ้าหน้าที่ตะโกนออกมาเสียงดัง
เด็กที่ดูอ่อนแอนั้นก็กระโดดขึ้นทันที
“มาร์ต้า!”
“ค่ะ!” เด็กหญิงอีกคนรีบยืนขึ้น
“ลาเมอร์!”
“คาร์ลี!”
คาร์ลีที่ถูกเรียกชื่อก็ยืนขึ้น เจ้าหน้าที่ตะโกนออกมาอีกครั้ง “ฟู่เทียน!”
ฟู่เทียนจ้องมองออกไปและยืนขึ้นอย่างช้าๆ
มาถึงตอนนี้มีเด็กที่พวกเขาได้เรียกชื่อรวมทั้งหมด 8 คน