บทที่ 9 จักรพรรดิอัสนีซังมู่และสมบัติ
เซี่ยวอวี่หลันรู้สึกว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเซี่ยวเฉินก็จะตามนางไปอยู่ดี นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเซี่ยวเฉินไม่เห็นจะเหมือนกับที่นางได้ยินมาจากข่าวลือ
หลังจากผ่านประตูหินเข้าไปเป็นอุโมงค์ทอดยาวและตลอดอุโมงค์ ทุกๆเมตรจะเจอไข่มุกราตรีฝังเรียงไปตามแนวกำแพง แสงสว่างจากไข่มุกราตรีทำให้ภายในอุโมงค์ไม่ถึงกับมืดสนิท
ทั้งสองเดินไปต่อ กำลังเดินไปอย่างสงบนิ่งในอุโมงค์เงียบๆ บรรยากาศในถ้ำค่อนข้างน่าขนลุก เซี่ยวเฉินอยากจะหาเรื่องพูดคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศแต่ก็ไม่อาจริเริ่มการสนทนาเมื่อเขาเห็นความเฉยเมยเย็นชาเป็นใบหน้าของเซี่ยวอวี่หลัน
ขณะที่เซี่ยวเฉินทนต่อไม่ไหวและอยากจะพูดอะไร ทางข้างหน้าพวกเขาก็สิ้นสุดลง มีกำแพงหินหนาทึบมาขวางทางพวกเขา อย่างไรก็ตามในอุโมงค์นั้นมีทางแยกแบ่งออกเป็นสองทาง
เซี่ยวเฉินมองดูทางแยกทั้งสองด้าน สังเกตุเห็นว่าต่อไปนี้มันไม่มีไข่มุกราตรีค่อยส่องแสงสว่างแล้ว เขาไม่สามารถมองเห็นทางไปต่อได้ชัดเจน เซี่ยวเฉินถามความเห็น “พี่อวี่หลัน พวกเราควรไปทางไหน?”
เซี่ยวอวี่หลันมองดูทั้งซ้ายขวาและพูดขึ้น “มีรอยเท้าไปทางซ้าย นั้นคงเป็นทางที่ชายชุดน้ำเงินไป พวกเราจะไปทางขวา”
เซี่ยวอวี่หลันหยิบตะเกียงออกมาและเดินนำหน้าไป “ที่นี้อาจจะเป็นถ้ำแห่งบรรพบุรุษ พยายามอย่าเดินไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า มักมีกับดักอยู่ในที่แบบนี้”
ถ้ำแห่งบรรพบุรุษ เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที คาดแล้วว่าชายชุดน้ำเงินนั้นต้องไม่ได้มาที่ภูเขาชีเจี่ยวโดยไม่มีเหตผล เขาตามมาถูกที่ ที่นี้คือถ้ำแห่งบรรพบุรุษ ดังนั้นต้องมีสมบัติเป็นแน่
เซี่ยวอวี่หลันเห็นการแสดงออกของเซี่ยวเฉินก็รู้ว่าที่พูดไปนั้นไม่ได้เข้าหูเขาเลยหรืออาจจะเข้าแล้วก็ทะลุผ่านไป นางหัวเราะอย่างเฉยเมย “อย่าทำตัวเป็นเด็กน้อย ถ้าคนระดับขอบเขตนักบุญถูกดึงดูดมาที่ถ้ำแห่งนี้ได้ บรรพบุรุษผู้นั้นอย่างต่ำน่าจะอยู่ระดับขอบเขตกษัตร์ย์ กับดักที่นี้อาจสังหารเจ้าได้ง่ายดาย”
เซี่ยวเฉินยิ้ม “ข้ายังมีท่านพี่อยู่ตรงนี้ ตราบใดที่เดินตามเจ้าไปข้าก็ไม่เป็นไร”
เซี่ยวอวี่หลันทำท่าทางเย็นชาใส่แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ หลังจากพวกเขาเดินต่อมาได้ระยะหนึ่งมันก็สว่างขึ้น ปรากฎเป็นห้องหินต่อหน้าพวกเขา
เซี่ยวอวี่หลันยกตะเกียงขึ้นพร้อมกับค่อยๆเร่งไฟขึ้น ขนาดของห้องหินแห่งนี้ไม่กว้างมาก ตรงกลางห้องมีโต๊ะและม้านั่งหินอยู่ ล้อมรอบด้วยกำแพงหินเรียบๆ ข้างบนห้องมีไข่มุกราตรีมากมายประดับเรียงเป็นรูปวิหคแปลกประหลาด
เซี่ยวอวี่หลันมุ่งความสนใจไปที่โต๊ะหิน มีกล่องที่มีลวดลายสีแดงวางอยู่ รูปวิหคแปลกๆนั้นสะท้อนลงมาบนกล่องอย่างพอดิบพอดี เซี่ยวอวี่หลันพบว่ารูปภาพนี้มันดูคุ้นเคยมาก แต่นางจำไม่ได้ว่ามันคืออะไร
วิหคอัสนี!
หลังจากคิดอยู่นาน เซี่ยวอวี่หลันในที่สุดก็จำชื่อของนกตัวนี้ได้วิหคอัสนี
นี้เป็นจิตวิญญาณยุทธของจักรพรรดิซ่างมู่ที่รู็จักกันในนามจักรรดิอัสนีเมื่อ 1000 ปีก่อน ตำนานกล่าวไว้ว่า ซ่างมู่เกิดในครอบครัวสามัญ หมายความว่าพ่อแม่ของเขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะพลัง แต่เขาเกิดมาพร้อมกับ วิหคอัสนีจิตวิญญาณยุทธของเขาแต่กำเนิด และเขาไต่ขึ้นมาถึงระดับขอบเขตนักบุญขั้นสูงก่อนที่อายุจะย่างเข้า 20 ปี
การประลองที่ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาคือการประลงผนึกพระเจ้าที่จัดขึ้นโดยสิบพันธมิตรแห่งทวีปเที่ยนหวู่ เมื่ออายุเพียง 20 ปี โดยไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลหรือนิกายใด เขาล้มอัจฉริยะจากตระกูลต่างๆนับไม่ถ้วนด้วยมือของเขา นี้คือตอนที่ชื่อจักรพรรดิอัสนีเริ่มแพร่กระจาย
ไม่กี่ปีจากนั้น เขาเปล่งประกายราวกับดาวหาง เขาต่อสู้กับระดับขอบเขตกษัตริย์ ทำลายระดับขอบเขต ขอบเขตยอดกษัตริย์ ฆ่าระดับขอบเขตจักรพรรดิยุทธ ชื่อของเขาเลื่องลือไปทั่วทวีป ผู้คนยกย่องว่าเขาจะเป็นระดับขอบเขตพระเจ้าที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ทวีปเทียนหวู่ ชื่อของเขาเลื่องลือไปทั่วทวีปอันยิ่งใหญ่นี้ แต่หลังจากนั้นชื่อของเขาก็เริ่มห่างหายไป
ได้ฟังเซี่ยวอวี่หลันเล่าถึงเรื่องราวของเจ้าของถ้ำนี้ เซี่ยวเฉินเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา “ไม่มีใครรู้ว่าในที่สุดเขาจะขึ้นไปถึงระดับขอบเขตพระเจ้าหรือไม่ คำตอบอาจจะอยู่ในกล่องใบนี้”
เซี่ยวอวี่หลันเห็นท่าทีของเซี่ยวเฉินเหมือนจะไปเปิดกล่อง รีบพูดขึ้น “อย่าทำอะไรโง่ๆ กล่องนั้นมันดูแปลกประ...”
……
ภายในห้องหิน
ชายชุดน้ำเงินเห็นกล่องลวดลายวางอยู่บนโต๊ะและรูปภาพบนเพดาน ก็คาดเดาเอกลักษณ์ประจำตัวของเจา้ของถ้ำ ยิ้มเขากล่าวว่า“นี้ก็คือถ้ำของจักรพรรดิอัสนีซ่างมู่ ก่อนที่ซ่างมู่จะหายตัวไปเขาก็อยู่ในระดับขอบเขตจักรพรรดิ มาที่นี่ไม่เสียเวลาเปล่า”
ผู้เฒ่าจางหัวเราะ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ด้วยความเคารพหวังว่าเมื่อถึงเวลาท่านผู้อาวุโสจะรักษาสัญญา”
ตอนนี้ชายชุดน้ำเงินกำลังอารมณ์ดีอย่างมาก เขาหัวเราะอย่างเหี้ยมหาญพร้อมกับให้คำมั่น “แค่ตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองม่อเหอ ตระกูลเหลิงของข้าไม่เก็บไปคิดมาก ถ้าข้าบรรลุทักษะระดับปฐพีหรือได้รับอาวุธวิญญาณมา ข้าจะทำให้เจ้าตะลึง”
ผู้เฒ่าจางหัวเราะ “ตระกูลเซี่ยวย่อมไม่ใช่คู่มือของตระกูลเหลิง ว่าแต่ว่าท่านผู้อาวุโส พวกเราจะเปิดเจ้ากล่องนี้ได้เช่นไร”
ชายชุดน้ำเงินพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เป็นถึงจักรพรรดิซ่างมู่ เขาต้องวางเขตแดนบางอย่างไว้บนกล่องเป็นแน่ ถึงจะเป็นระดับขอบเขตนักบุญอย่างเขาผลีผลามไปเปิดมัน เขาคงถูกเขตแดนผลักกระเด็นออกมา หันไปมองทางคนของตระกูลจางชายชุดน้ำเงินน้ำเงินก็หัวเราะอย่างมีเลสนัย
“ผู้เฒ่าจางให้คนของท่านไปเปิดกล่อง มีข้าอยู่ข้างหลังรับรองว่าพวกเขาไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ผู้เฒ่าจางหน้าเปลี่ยนสี เขารีบกลับมาเป็นปกติ “ถ้าผู้อาวุโสขอแบบนั้น ก็ไม่มีปัญหา เจ้า! ไปเปิดกล่องเร็ว”
คนของตระกูลจางที่ถูกชี้แสดงความกลัวออกมาอย่างรวดเร็ว พูดตะกุกตะกัก “่ท่านผู้เฒ่า ช้า….ข้า า”
ผู้เฒ่าจางสีหน้าเปลี่ยน มีความโกรธในน้ำเสียง “เจ้าจะขัดคำสั่งของข้า? หรือเจ้าจะลืมกฎของตระกูล”
เมื่อผู้บ่มเพาะพลังตระกูลจางได้ยินคำว่า ‘กฎของตระกูล’ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เขาเดินขึ้นหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ค่อยๆหลับตาพร้อมยืนมือไปแตะกล่อง
“Chi!”
เมื่อคนของจางแตะโดนกล่องวิหคอัสนีบนกล่องดูเหมือนกำลังมีชีวิตขึ้นมาพร้อมกับกระพือปีก ยิงสายฟ้าออกมาจากกล่อง ก่อนที่ผู้บ่มเพาะพลังตระกูลจางจะเรียกพลังปราณมาปกป้องตัวเอง เขาโดนช็อตจนไหม้
ชายชุดน้ำเงินเมินเฉยแบบไม่ใยดีศิษย์ตระกูลจางและมือขวาพุ่งไปเพื่อคว้ากล่อง สายศิลาหินค่อยๆแผ่ออกมาจากไหล่ไปที่ฝ่ามือของเขา คลุมทั่วทั้งแขนของเขาอย่างรวดเร็ว
เขาค่อยๆเปิดกล่องออกมาโดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ สำรวจภายในกล่องพบหนังสือสีดำ ต้องเป็นตำราวิชายุทธ
ชายชุดน้ำเงินรีบคว้ามันออกมาและพลิกสำรวจไปมาได้ประเดียวก็หมดความสนใจ นั้นเป็นแค่ตำราวิชายุทธขั้นสูงระดับสีเหลืองเท่านั้น มันไม่ค่อยมีค่ามากแม้แต่ในอาณาจักรต้าฉิน มันไม่ค่อยมีประโยชน์กับเขาเท่าไหร เขาจึงโยนส่งๆ ไปให้ผู้เฒ่าจางพร้อมกล่าว “ผู้เฒ่าจาง นี้เป็นตำราวิชายุทธขั้นสูงระดับสีเหลือง ข้าไม่ต้องการ ท่านรับไว้เถอะ”