GE42 ปีศาจทมิฬหนิงคือผู้ใด
หนิงฝานที่เหยียบย่างรุ้งหิมะ สังหารซิงเฉินและช่วงชิงกระเป๋าของมัน จากนั้นจึงกวาดสายตามายังผู้เชี่ยวชาญอีก 3 คนที่เหลือ
หนานหยางสื่อ หลู่หนานสื่อ และชู่ซิงสั่นสะท้านกับการเผชิญกับแววตาของหนิงฝาน พวกมันหวาดกลัวจนตัวสั่น
คนผู้นี้สามารถสังหารซิงเฉินได้ภายในกระบี่เดียว หากคนผู้นี้ต้องการ พวกมันย่อมถูกสังหารอย่างง่ายดาย!
“ข้าแซ่หนิง...ปีศาจทมิฬหนิง พวกเจ้าสามคนจะเป็นทาสของข้าด้วยการ ‘ประทับตราวิญญาณ’ หรือจะเลือกความตาย!”
หนิงฝานกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดดุดัน ยิ่งรวมกับจิตสังหารระดับจักรพรรดิสวรรค์ สีหน้าของหนานหยางสื่อและคนอื่นๆยิ่งแปรเปลี่ยนอัปลักษณ์
ที่แท้นายน้อยผู้นี้กลับเป็นปีศาจทมิฬผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างเมืองเป็นของตน และสร้างขุมกำลังเป็นของตน
เดิมทีหนิงฝานสร้างเมืองหนิงเพื่อเป็นแหล่งพักพิงของสามกองทัพเทพ ไม่ได้ต้องการทำให้ตนเองมีเสียงโด่งดัง และไม่ได้ต้องการข่มขู่ผู้คน
แต่การที่หนิงฝานเอ่ยปากรับผู้เชี่ยวชาญทั้งสามเป็นทาส ออกจะดูรุนแรงเกินไป
หนานหยางสื่อ หลู่หนานสื่อ และชู่ซิง นับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงของแคว้นเยว่ ยิ่งใหญ่และมีอายุยืนยาวมากกว่า 100 ปี เหตุใดพวกมันจะยอมเป็นทาสของผู้อื่น?
เมื่อได้ยินหนิงฝานกล่าวว่า ‘ประทับตราวิญญาณ’ หนานหยางสื่อ หวู่หนานสื่อ และชู่ซิงพลันเสียวสันหลังวาบ
ประทับตราวิญญาณคืออะไร? มันคือหนึ่งใน ‘อาคมต้องห้ามแห่งสัมผัสเทพ’ มันคือการประทับตราแห่งความเป็นและความตายลงไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขัดขืนคำสั่ง หากอีกฝ่ายคิดขัดขืนต่อต้าน มันผู้นั้นจะตายในทันที
การประทับตราวิญญาณมีเพียงนิกายโบราณเท่านั้นที่ทำได้ นิกายโบราณมักจะใช้วิธีเพื่อให้ผู้อื่นยอมทำตามคำสั่ง
หนานหยางสื่อคาดเดาว่าปีศาจทมิฬหนิงผู้นี้ ต้องมีที่มาไม่ธรรมดา การที่สามารถประทับตราวิญญาณได้นั้น ย่อมหมายความว่าเขาเป็นคนของขุมกำลังโบราณ
แม้ปีศาจทมิฬหนิงจะเป็นคนของขุมกำลังโบราณ แต่การรับผู้เชี่ยวชาญทั้งสามเป็นทาสไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
นั่นเพราะหนานหยางสื่อคือผู้อาวุโสของนิกายไท่ชูไพ่ที่เป็นนิกายฝ่ายธรรมะ นิกายไท่ชูไพ่ถือเป็นขุมกำลังโบราณ หนานหยางสื่อจึงเชื่อว่าหนิงฝานจะไม่กล้าสังหารมัน และไม่กล้ารับมันเป็นทาส
ผิดกับหลู่หนานสื่อ ยามนี้สีหน้าของมันไม่สู้ดีนัก มันไม่ได้มีที่มาที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับหนานหยางสื่อ อย่างมากมันก็เป็นแค่ผู้นำตระกูลหลู่ แม้ตระกูลหลู่จะถือว่าเป็นขุมกำลังค่อนข้างใหญ่ในแคว้นเยว่ แต่หากเทียบเคียงก็โลกพิรุณทั้งใบ พวกมันก็เป็นได้เพียงมดตัวหนึ่ง
แต่ผู้ที่น่าขมขื่นมากที่สุดคือชู่ซิง พวกมันเป็นเพียงผู้ฝึกตนสามัญ ไร้ที่มาที่ยิ่งใหญ่ แม้พวกมันจะถูกสังหารก็ไม่มีผู้ใดแก้แค้นให้
ดังนั้น สิ่งที่พวกมันทั้งสามคนทำได้ คือการยอมเป็นทาสของหนิงฝานอย่างนั้นหรือ?
“ไร้สาระ! ข้าจะไม่ยอมก้มหัวเป็นทาส... ปีศาจทมิฬหนิง! เจ้าชักจะเหิมเกริมมากเกินไป! ที่ผ่านมาข้าเป็นผู้ฝึกตนที่ภาคภูมิ ท่องเที่ยวอย่างอิสระ หากให้ข้ายอมเป็นทาส...สู้ข้าตายเสียยังดีกว่า!”
แววตาของชู่ซิงเผยถึงความเกลียดชังที่รุนแรง มันยอมทำลายเส้นชีพจร 12 เส้นเพื่อให้ตนเองได้พลังที่ยิ่งใหญ่มา
แม้ใบหน้าของมันจะซีดขาวด้วยความเจ็บปวด แต่พลังที่ปะทุกลับทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของขอบเขตประสานวิญญาณ กระทั่งบรรลุถึงขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น เทียบเคียงได้กับหลู่หนานสื่อ
ชู่ซิงใช้วิชาลับเพื่อต่อสู้เป็นตาย!
ในเมื่อมันไม่อาจหนีได้ ทางเดียวคือเสี่ยงสู้เป็นตาย ดีกว่ายอมให้อีกฝ่ายคร่ากุม! แม้ปีศาจทมิฬหนิงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นกลางแต่กลับทรงพลัง แต่หากมันใช้วิชาลับและจู่โจมในฉับพลัน บางทีอาจจับตัวหนิงฝานได้
หากมันจับตัวหนิงฝานที่เป็นต้นตอของเรื่องได้ ต่อให้เมืองหนิงมีผู้เชี่ยวชาญมากมายขนาดไหนก็ไม่อาจหยุดยั้งการหลบหนีของมันได้
และแล้ว เงาร่างของชู่ซิงก็แปรเปลี่ยนลำแสงพุ่งเข้าใส่หนิงฝาน มันสัมผัสกระเป๋าที่เอวเพื่ออัญเชิญกระบี่บินทั้ง 108 เล่มจู่โจมเข้าใส่หนิงฝานราวกับห่าพิรุณ
การจู่โจมอย่างฉับพลันของชู่ซิงอยู่เหนือการคาดหมายของหนานหยางสื่อ หลู่หนานสื่อ หนานกง รวมถึงคนอื่นๆ... เมื่อเห็นหนิงฝานมีอันตราย ซื่อหวูเสียขมวดคิ้ว แต่เมื่อนางกำลังจะเข้าไปช่วย นางกลับต้องรั้งฝีเท้า!
แม้หนิงฝานจะเผชิญหน้ากับจู่โจมอย่างฉับพลันของชู่ซิงด้วยกระบี่บิน 108 เล่ม แต่หนิงฝานยังสงบ แม้ดูผิวเผินอาจน่าหวาดกลัว แต่สำหรับหนิงฝานไม่นับเป็นอันใด
‘วิชาลับทะลายทำนบ’ คือการทำลายเส้นชีพจร 12 เส้นเพื่อให้ได้พลังในขอบเขตแก่นทองคำในช่วงเวลาสั้นๆ
หนิงฝานไม่หลบกระบี่บินที่เป็นสมบัติวิญญาณขั้นสูงระดับต่ำ เขาปล่อยให้กระบี่ทั้งหมดจู่โจมใส่ร่างที่เปล่งแสงสีเงินของเขา
เมื่อเห็นหนิงฝานสามารถป้องกันการจู่โจมของชู่ซิงได้ หนานหยางสื่อและหลู่หนานสื่อต่างตกตะลึง พวกมันคาดไม่ถึงว่าช่วงเวลาวิกฤตนั้น ชู่ซิงจะยอมทำลายการฝึกฝนของตนเพื่อลอบจู่โจมหนิงฝาน แต่ที่น่าตกตะลึงคือพวกมันคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะแข็งแกร่งขนาดที่ต้านรับการจู่โจมของชู่ซิงได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้! แผนการจับตัวหนิงฝานเพื่อเป็นตัวประกันหลบหนีของชู่ซิงก็สลายไป!
แต่เมื่อหนานหยางสื่อและหลู่หนานสื่อสังเกตเห็นแสงสีเงินที่เปล่งออกมาจากร่างของหนิงฝาน พวกมันต่างแข็งค้างจนทำอะไรไม่ถูก
“นั่น...ขอบเขตกระดูกเงิน!”
ขอบเขตกระดูกเงิน...ขอบเขตขั้นสูงของการขัดเกลาร่างกาย ที่อาจต้านทานได้แม้เป็นการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม แม้จะเคยได้ยิน แต่หนานหยางสื่อและหลู่หนานสื่อกลับไม่เคยเห็นด้วยตาของตนมาก่อน ดังนั้นพวกมันจึงไม่ทราบว่าร่างกายของหนิงฝานยังห่างไกลจากขอบเขตกระดูกเงินอีกมากนัก
ชู่ซิงที่เห็นแสงสีเงินเปล่งออกมาจากร่างของหนิงฝาน ทำให้หัวใจมันหล่นวูบ มันรู้ว่ามันไม่อาจรอดพ้นจากความตาย
“คาดไม่ถึงว่ามันจะขัดเกลาร่างกายจนถึงขอบเขตกระดูกเงิน! กระบี่บินทั้ง 108 เล่มของข้าล้วนเป็นสมบัติวิญญาณขั้นสูงระดับต่ำ แต่นั่นกลับไม่อาจทำให้มันบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย!”
ชู่ซิงเริ่มเสียใจ เหตุใดมันไม่คิดให้รอบคอบกว่านี้ หากมันยอมเป็นทาสให้กับหนิงฝานด้วยการประทับตราวิญญาณ แม้มันจะต้องสูญอิสระ แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีชีวิต
ช่างเสียใจยิ่งนัก! โอกาสแห่งชีวิตได้หลุดลอยไป
แววตาของหนิงฝานเย็นชา เขาชกหมัดที่เปล่งแสงสีเงินเข้าใส่กระบี่บินที่เคลื่อนเข้าหาราวกับห่าพิรุณ จนทำให้พวกมันถูกป่นเป็นผง
จากนั้น หนิงฝานใช้กำลังกาย 3 ใน 10 ส่วน ชกใส่ชู่ซิง
อานุภาพหมัดของหนิงฝานสามารถบดขยี้สมบัติวิญญาณขั้นสูงระดับต่ำได้ เมื่อหมัดปะทะเข้ากับเกราะคุ้มกายของชู่ซิง ที่เป็นสมบัติวิญญาณขั้นสูงระดับต่ำ มันจึงแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อไร้ซึ่งเกราะคุ้มกาย หนิงฝานระดมห่าหมัดอีกนับร้อยเข้าใส่หน้าอกของชู่ซิง อานุภาพของหมัดกระจายไปทั่วร่างกระทั่งทำให้มันสิ้นใจ... เส้นชีพจรภายในร่างของมันทั้งหมดถูกทำลาย อานุภาพของหมัดที่สั่งสมภายในร่างปะทุ จนทำให้ร่างของมันระเบิด โลหิตสาดกระจาย เสียงระเบิดดังกึกก้องนภา
ช่างน่าตกตะลึง! ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นกลางกลับสังหารผู้มีพลังระดับแก่นทองคำขั้นต้นได้ด้วยมือเปล่า!
หนานหยางสื่อเสียวซ่านไปทั่วแผ่นอก มันยกเลิกแผนลอบจู่โจมหนิงฝาน มิเช่นนั้นสภาพของมันคงน่าอนาถกว่าชู่ซิง
หลู่หนานสื่อตกตะลึงกระทั่งลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า มันเป็นหนึ่งในผู้ที่ขัดเกลาร่างกายอยู่เป็นนิจ ทั้งยังมีวิชาป้องกันที่ทรงพลัง มันจึงไม่เคยคิดว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญคนใดสังหารอีกฝ่ายกระทั่งกลายเป็นเศษเนื้อเช่นนี้ได้!
การต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญไม่ได้กำหนดว่าให้ต่อสู้ด้วยวิชาหรือสมบัติวิญญาณเท่านั้น เพราะหากเทียบกับคนทั่วไปแล้ว อาวุธติดตัวที่ดีคือมือและเท้า
หลู่หนานสื่อไม่ทราบว่าเมื่อครั้งโบราณ วิชาการต่อสู้นั้นสำคัญเป็นอย่างมาก ในยุคของทวยเทพ...คนเหล่านั้นจะขัดเกลาร่างกายกระทั่งบรรลุถึงจุดที่สมบัติวิญญาณไม่อาจทำอันตรายได้ วิธีการต่อสู้ของคนเหล่านั้นส่วนใหญ่จึงเป็นการต่อสู้ด้วยร่างกาย หากผ่านไปหลายร้อยรอบยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ ทั้งสองฝ่ายจึงจะใช้อาวุธเทพโบราณของตนเพื่อประลองตัดสิน
แต่ด้วยเพราะคนรุ่นหลังไม่ให้ความสำคัญกับการขัดเกลาร่างกายมากพอ วิชาการขัดเกลาร่างกายของเทพและปีศาจจึงสูญหาย ต่อให้หลงเหลือก็ไม่มากนัก
ในความคิดของหนานกง หานหยวนจี๋ที่เสียพลังไปทั้งหมดสิ้นนั้น ไร้ซึ่งกำลังใจจะปกครองเมืองฉีเหม่ย แต่หนานกงคาดไม่ถึงว่าพรสวรรค์ของหนิงฝานไม่ได้ด้อยไปกว่าหานหยวนจี๋แม้แต่น้อย เพียงครึ่งปี หนิงฝานยกระดับกระทั่งสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ และผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำได้!
บางที หนิงฝานอาจเป็นผู้ฝึกตน 1 ในล้านที่มีพรสวรรค์ ดังนั้น หนิงฝานจึงถือว่าติดอันดับ 1 ใน 100 ของผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังในแคว้นเยว่
หลังจากหนิงฝานสังหารชู่ซิง เขาก็ชิงกระเป๋าของมัน ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังหนานหยางสื่อและหลู่นานสื่อ
เดิมทีแผนของหนิงฝานคือสังหาร 2 และเก็บไว้ใช้งานอีก 2... ซิงเฉินและชู่ซิงอ่อนด้อยเกินไป พวกมันไม่คู่ควร แต่หลู่หนานสื่อและหยางหนานสื่อดูไม่ธรรมดา พวกมันทั้งสองสมควรมีที่มาที่ไม่ธรรมดา
สำหรับคนเช่นพวกมัน ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้นพวกมันถึงจะยอมรับ... เดิมทีเมืองหนิงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของสามกองทัพเทพปีศาจทมิฬ หนานหยางสื่อและหลู่หนานสื่อนับว่าโชคร้ายที่มายั่วยุ กระทั่งมีชะตากรรมต้องตกเป็นทาสของหนิงฝาน
“ประทับตราวิญญาณ... ผันแปรเป็นทาส... คงอยู่นิรันดร์...” หนิงฝานแสดงสีหน้าจริงจัง หนานหยางสื่อและหลู่หนานสื่อไม่กล้าเมินเฉยต่อคำกล่าวของหนิงฝาน
พวกมันหันมองหน้ากัน พวกมันรู้สึกรันทดอย่างที่สุด แต่พวกมันย่อมไม่มีทางเลือก!
“พวกข้าทั้งสอง...หวังได้เป็นทาสของท่าน...”
...
2 วันหลังจากเมืองหนิงก่อตั้งแล้วเสร็จ ข่าวที่น่าประหลาดใจก็แพร่กระจายไปทั่ว นั่นเพราะตระกูลหลู่แห่งแคว้นเยว่ตะวันตก ได้ขึ้นตรงกับเมืองหนิง
ข่าวเช่นนี้ไม่ต่างไปจากอัสนีฟาดฟ้ายามกลางวันแสกๆ นิกายไท่ชูไพ่และนิกายอันดับต้นๆของแคว้นเยว่เคยเสนอให้ตระกูลหลู่ขึ้นตรงเป็นสาขาของตน แต่สุดท้ายตระกูลหลู่ก็ปฏิเสธ
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า เจ้าเมืองหนิง หรือ ‘ปีศาจทมิฬหนิง’ ได้ใช้พลังของตนสังหารชู่ซิงและซิงเฉินที่เป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นสุดท้าย กระทั่งแม้ชู่ซิงที่ใช้วิชาลับทะลายทำนบ ยกระดับพลังของตนขึ้นเป็นแก่นทองคำขั้นแรก ยังถูกสังหารอย่างน่าอนาถ
ด้วยความสำเร็จเช่นนี้ นาม ‘ปีศาจทมิฬหนิง’ จึงได้ถูกสลักไว้ใน ‘รายชื่อปีศาจสวรรค์แห่งแคว้นเยว่’
ปีศาจทมิฬหนิง ไม่ทรายอายุ ไม่ทราบที่มา แต่ข่าวลือกล่าวว่า เขามีกองทัพสามกอง มีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสุดท้ายเป็นทาส ที่สำคัญ ตนเองยังเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4
ข่าวที่ปีศาจทมิฬหนิงครอบครองสามกองทัพ หนึ่งผู้รับใช้แก่นทองคำขั้นสุดท้าย ทำให้นิกายฝ่ายธรรมะมากมายต้องขมวดคิ้ว เมืองหนิงจัดว่าเป็นขุมกำลังฝ่ายอธรรม หากเมืองหนิงยิ่งใหญ่ขึ้น สัดส่วนของนิกายฝ่ายธรรมะและนิกายฝ่ายอธรรมจะไม่สมดุล
เดิมทีนิกายฝ่ายอธรรมเองก็คิดว่าเมืองหนิงไม่อาจเติบใหญ่ทรงพลัง และจะถูกทำลาย
แต่จากข่าวลือที่ปรากฏ เจ้าเมืองหนิงผู้เป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นปฏิปักษ์จำนวนมาก แปรเปลี่ยนเป็นมิตรได้ในทันที
ทำให้เมืองหนิงในยามนี้ไร้ซึ่งศัตรู...
นิกายฝ่ายธรรมะ และนิกายฝ่ายอธรรมล้วนออกคำสั่ง ห้ามผู้ใดก็ตามลงมือกับเมืองหนิงโดยเด็ดขาด
เพราะนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ในแคว้นเยว่นั้นหาได้ยากมาก เท่าที่ทราบอาจมีเพียงไม่กี่คน
ไม่ว่าฝ่ายอธรรมหรือธรรมะ ทั้งหมดล้วนต้องการโอสถเพื่อยกระดับพลัง มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่ไม่อาจทะลวงแก่นทองคำขั้นสุดท้ายไปดวงจิตแรกเริ่มได้เพราะยังขาดโอสถผันแปรที่ 4
มีเพียงโอสถผันแปรที่ 4 เท่านั้นที่จะช่วยพวกผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นทะลวงขอบเขต หากเมืองหนิงถูกทำลาย ผู้ใดจะเป็นผู้ปรุงโอสถให้พวกมัน
“ผู้อาวุโสเทียนหมิง ท่านจงนำคนไปยังเมืองหนิงเพื่อเจรจาต่อรองเจ้าเมือง ให้มันปรุง ‘โอสถก่อดวงจิต’ ให้” นิกายไท่ชูไพ่ก่อตั้งมา 1000 ปี เมื่อได้ทราบข่าวนักปรุงยาโอสถผันแปรที่ 4 ปรากฏ พวกมันจึงตื่นเต้น
“ข้าต้องการโอสถก่อดวงจิต! เร่งส่งคนไปยังเมืองหนิง!” ชายชราเนื้อตัวมอมแมม ราวกับผุดขึ้นมาจากหลุมศพกล่าว
นิกายจี๋หลิน นิกายไร้จำกัด และนิกายกุ่ยเชว่ นิกายเหล่านี้มีชายชราผู้มีอายุยืนยาวกว่า 1000 ปีอาศัยอยู่ เดิมทีชายชราเหล่านี้เป็นคนธรรมดาสามัญ แต่ด้วยการฝึกฝนจึงทำให้ตนเองก้าวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ยามนี้พวกมันล้วนบรรลุแก่นทองคำขั้นสูงสุด เพียงแต่นั้นคือจุดตีบตันที่ทำให้ไม่อาจทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มได้ พวกมันจึงได้ส่งศิษย์ของตนมุ่งหน้าไปยังเมืองหนิง
การก่อดวงจิตแรกเริ่มนั้นทำได้ยากยิ่ง ในบรรดาผู้ฝึกตน 1000 คน มี 100 คนที่บรรลุประสานวิญญาณได้ แต่หากมีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ 100 คน กลับไม่มีผู้ใดบรรลุดวงจิตแรกเริ่มได้สักราย
แม้ในแคว้นเยว่จะมีผู้ฝึกตนนับล้าน แต่กลับไม่มีผู้ใดบรรลุถึงดวงจิตแรกเริ่ม หากนับผู้ที่ใกล้เคียงที่สุด ย่อมเป็นผู้นำนิกายเทียนหลีโม่ เพียงแต่มันถูกจับตัวไป ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ผู้ใดสามารถบรรลุดวงจิตแรกเริ่มได้ก่อน ผู้นั้นก็ได้ครองแคว้นเยว่ ผู้ใดกล้าทำลายเมืองหนิง...ทำลายความหวังของผู้เชี่ยวชาญแก่นทองจำนวนมาก มันผู้นั้นเท่ากับรนหาที่ตาย! ผู้ฝึกตนทั้งหมดในแคว้นจะกลายเป็นศัตรูกับมัน!
ผู้เชี่ยวชาญได้ให้รางวัลสำหรับผู้ที่สามารถสืบหาที่มาของปีศาจทมิฬหนิง หากที่มาของมันไม่ยิ่งใหญ่นัก เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจะไปชิงตัวเพื่อนำมาเป็นนักปรุงโอสถส่วนตน
“ปีศาจทมิฬหนิง...แท้จริงแล้วเป็นผู้ใด?”
ผู้คนมากมายล้วนสงสัยใคร่รู้
...
ภายในเมืองหนิง... หนิงฝานนั่งเก้าอี้ที่หรูหรางดงามพลางอ่านข่าวสารที่ยุ่ยฉีส่งให้
“ดูเหมือนการปรากฏตัวของโอสถผันแปรที่ 4 จะนำพาซึ่งปัญหาไม่น้อย... ข้าต้องไม่เปิดเผยตัวตน หากผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นรู้ว่าข้าเป็นเพียงผู้เยาว์ในขอบเขตประสานวิญญาณขั้นกลาง พวกมันอาจไม่ร้องขอให้ข้าปรุงโอสถ แต่คงเลือกที่จะชิงตัวข้าแทน... อาจารย์ข้าเคยกล่าวไว้ ว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากที่สุดคือสิ่งที่พวกมันไม่รู้ ดังนั้นพวกมันจะไม่กล้าคิดแผนชั่ว และขอให้ข้าปรุงยาโอสถให้อย่างเปิดเผย... มันจะช่วยให้ข้าได้สมุนไพรมากมาย เพราะข้าเองก็ต้องการโอสถเพื่อทะลวงระดับอย่างรวดเร็วเช่นกัน... หากข้าซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของปีศาจทมิฬหนิง... ปีศาจทมิฬหนิงจะกลายเป็นปริศนาไปตลอดกาล”
‘นับจากนี้ไป ข้าจะสวมบทบาทเป็นปีศาจทมิฬ’
หนิงฝานชำเลืองมองยุ่ยฉี
“ยุ่ยฉี...กระจายคำสั่งไปยังสามกองทัพเทพปีศาจทมิฬ... ให้พวกมันปฏิญาณว่าจะไม่เปิดตัวตนที่แท้จริงของข้า... ผู้ใดขัดขืน สังหารให้หมด!”
“นับจากพรุ่งนี้ไป ข้าต้องเดินทางไปยังนิกายกุ่ยเชว่สักระยะ ข้าจะจัดเตรียมตารางการฝึกฝนให้สามกองทัพเทพเรา... จริงสิ! ให้หลู่หนานสื่อ หยางหนานสื่อ และกองทัพปราการใต้ของพวกมันเข้าร่วมฝึกฝนด้วย แบบนั้นข้าจะมีกองทัพถึงสี่กอง...”