GE41 สังหารศัตรู
ในที่สุดหนิงฝานก็ดูดซับโอสถจักรพรรดิหยกสำเร็จ เขาผ่อนลมหายใจยาวแล้วหันมองสตรีผู้งดงามทั้งสองที่อยู่บนเตียง
จื่อเฮ่อไม่เป็นปัญหา แต่กับศพนางสวรรค์...หนิงฝานดูราวกับจะเข้าใจบางสิ่งที่ทำให้เขาสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขายังไม่อาจเลี่ยงที่จะกังวลต่อมันได้
จื่อเฮ่อเหน็ดเหนื่อยจนหลับไป ศพนางสวรรค์กลับมาเย็นและแข็งเกรงเช่นเดิม สภาพของนางดูราวกับกำลังหลับไหล
หนิงฝานสัมผัสได้ถึงปราณที่ชั่วร้ายและรุนแรงภายในศพนางสวรรค์ ทำให้เขากังวลว่าหากนางตื่นขึ้นได้ เขาจะรับมือนางเช่นไร?
แม้การร่วมรักกับศพนางสวรรค์จะช่วยให้หนิงฝานสะกดความเจ็บปวดได้ดี แต่กลับไม่สามารถดูดกลืนพลังจากนางมาได้ นั่นอาจเป็นเพราะนางตายไปแล้ว
หากจะกล่าวแล้ว หนิงฝานไม่ได้อะไรจากการร่วมรักกับศพนางสวรรค์มากนัก หากจะได้ก็ได้เพียงบางสิ่งจากร่างกายของนาง
หนิงฝานห่มผ้าให้จื่อเฮ่อ เปลี่ยนอาภรณ์ของตน จากนั้นสะบัดมือจนเกิดเป็นแสงสีเขียวที่งดงาม
แสงอันงดงามที่ปรากฏ มองเห็นได้ด้วยตา แต่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยมือ เพราะแสงสีเขียวนั้นคือพิษที่มาจากศพนางสวรรค์
ด้วยพิษจากศพระดับนี้ หากเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณทั่วไปอาจต้องพิษจนตายไปแล้ว แต่ด้วยร่างกายที่ทรงพลังของหนิงฝาน ต่อเป็นพิษที่รุนแรงกว่านี้ก็ไม่อาจทำอันตรายได้
โอสถจักรพรรดิหยกเม็ดที่สองทำให้ร่างกายของหนิงฝานแข็งแกร่งไปอีกระดับ เมื่อลองใช้กระบี่ในระดับที่สูงขึ้นฟาดฟันตนเอง เขากลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
ขอบเขตกระดูกเงินช่างลึกล้ำ หากหนิงฝานขัดเกลาให้กระดูกของตนกลายเป็นสีเงินบริสุทธิ์ได้ เขาก็จะบรรลุขอบเขตกระดูกเงินที่ผู้เชี่ยวชาญมากมายใฝ่ฝัน
มีคำกล่าวว่า ร่างกายที่ทรงพลังของขอบเขตกระดูกเงิน สามารถต้านทานการจู่โจมเต็มกำลังของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้
จากการร่วมรักเมื่อครู่ นอกจากร่างกายของหนิงฝานจะยกระดับ ลวดลายโลหิตบนสร้อยหยินหยางยังได้เพิ่มขึ้นเป็น 99 เส้น นั่นหมายความว่าหนิงฝานบรรลุระดับที่ 1 ของการแปลงหยินหยางอย่างสมบูรณ์
การยกระดับนี้ทำให้หนิงฝานควบคุมสร้อยหยินหยางได้
หากสร้อยหยินหยางเปล่งแสงสีแดงแต่ไม่ปรากฏลวดลายของการขัดเกลาประสาน หนิงฝานสามารถใช้สร้อยหยินหยางเพื่อเพิ่มพูนพลังยามร่วมรักกับจื่อเฮ่อได้
แต่หากกระตุ้นความสามารถของสร้อยหยินหยางเพื่อช่วงชิงพลัง หนิงฝานจะสามารถช่วงชิงพลังของกระถางขัดเกลาได้
กระถางขัดเกลา... กระถางขัดเกลา... ถึงเวลาที่ต้องหลอมสร้างแหวนกระถางแล้ว เพราะยามนี้ หนิงฝานยังไม่มีที่เก็บศพนางสวรรค์
หนิงฝานทำความสะอาดร่างกายของศพนางสวรรค์ เปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นนำนางใส่คืนลงไปในโลงศพโบราณ แม้หนิงฝานไม่รู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำโลงศพอยู่ระดับใด แต่จากมุมมองของเขาแล้ว มันคือวัตถุดิบที่ไม่ธรรมดา
โลงศพโบราณสามารถยับยั้งผลของการแปลงศพได้ เมื่อหนิงฝานนำศพนางสวรรค์ใส่กลับลงไปในโลง ปราณชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากร่างของนางก็ถูกสะกด
หนิงฝานปิดฝาโลงและจ้องมองมันด้วยแววตาซับซ้อน
เขาตั้งปณิธานในใจว่า สตรีนางใดที่รักตน...ตนจะไม่ปล่อยให้นางหลุดมือ แต่หากสตรีนางใดที่เกลียดตน...ตนจะเปลี่ยนให้นางกลายเป็นกระถางขัดเกลา และตน...จะไม่ตกหลุมรักกระถางขัดเกลาเหล่านั้น
ส่วนสตรีที่ไม่ได้รักและไม่ได้เกลียดตน หนิงฝานจะไม่ข้องแวะ
แล้วศพนางสวรรค์? นางเป็นสตรีประเภทใด? นางจะรัก? หรือเกลียด? แม้นางจะตายมานาน แต่หนิงฝานก็เป็นผู้ทำลายศักดิ์ศรีของนาง
หนิงฝานเริ่มขบคิด เขาจะจัดการกับศพนางสวรรค์อย่างไร? อย่างน้อยก็นำนางมาไว้ข้างกายเหมือนซื่อหวูเสียไม่ได้ หากนางฟื้นคืนชีพอีกครั้ง นางอาจกลายเป็นปีศาจร้ายกระหายโลหิต และเมื่อนั้น ผู้ที่ตายอาจเป็นหนิงฝานเอง
หรือจะผนึกนางไว้ในโลงศพ? แต่นางก็มีสัมพันธ์สวาทกับเขาแล้ว...
หรือจะหาวิธีคืนชีพให้นาง...ก่อนที่ร่างของนางจะกลายเป็นศพปีศาจอย่างสมบูรณ์...
‘ช่างเถอะ... ไว้หลอมสร้างแหวนกระถางเสร็จ เมื่อนั้นค่อยว่ากันอีกมี’ หนิงฝานเก็บโลงศพเข้าไปในกระเป๋าเก็บของ จูบลงที่หน้าผากของจื่อเฮ่อ จากนั้นออกจากห้องไปด้วยแววตาที่เย็นชา
ยามนี้เขาต้องสะสางปัญหากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้ง 4 ก่อน แม้เมืองหนิงจะเป็นเพียงเมืองเล็กๆ แต่เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญถึง 4 คนมารุกราน หนิงฝานจะไม่ปล่อยพวกมันไปง่ายๆเด็ดขาด
พิษของศพ... ปราณกระบี่... ร่างกระดูกเงิน... ด้วยทั้งหมดนี้หนิงฝานเอาชัยผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นสุดท้ายได้ และหากลอบจู่โจม ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นแรกคงไม่อาจหลีกพ้นการบาดเจ็บ
“สังหารสองคนเพื่อกู้ศักดิ์ศรี... จับตัวอีก 2 คนไว้เพื่อใช้ประโยชน์!”
แล้วหนิงฝานก็ตัดสินถึงวิธีจัดการกับผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 คน!
ผมดับขลับพลิ้วไหวไปตามสายลม ทั่วร่างของหนิงฝานเปล่งแสงสีครามที่เกิดจากทักษะอำพราง เหยียบย่างรุ้งหิมะไปบนนภาก่อนที่เงาร่างจะหายไปอย่างสมบูรณ์
...
บนท้องนภาเหนือเมืองหนิง หลู่หนานสื่อและสหายของมันต่อสู้กับหนานกง ยุ่ยฉี และ ซื่อถูอย่างดุเดือด ทั้งยังเผาผลาญพลังเป็นจำนวนมาก
หลู่หนานสื่อและสหายของพวกมันเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นสุดท้าย พวกมันนับเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆของแคว้นเยว่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหนานกง ยุ่ยฉี และซื่อถู พวกมันกลับไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายของหนานกงและคนอื่นๆมีมากมาย ทำให้ตนได้เปรียบอีกฝ่ายเล็กน้อย แม้ไม่อาจเอาชัยได้ แต่ยังสามารถพัวพันป้องกันไม่ให้พวกมันหลบหนี
ยามนี้หนานหยางไม่อาจสงบใจได้อีก
หนิงฝานได้สั่งซื่อหวูเสียไว้ว่าห้ามปล่อยให้ผู้ใดหลบหนี นางเองก็ทำตามคำสั่งเป็นอย่างดี โดยปิดช่องทางหนีของหนานหยางสื่อไว้ทั้งหมด
เดิมทีนางสามารถสังหารหนานหยางสื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่หนิงฝานไม่ได้สั่งให้ทำเช่นนั้น
แค่จึงเพียงป้องกันให้อีกฝ่ายหลบหนี
แม้นานหยางสื่อนำสมบัติวิญญาณออกมา นางก็ทำลายทิ้ง นำเมฆเซียนออกมา นางก็ทำลายทิ้ง เมื่อไร้ซึ่งหนทาง หนานหยางสื่อก็เลิกดิ้นรน นางเองก็หยุดจู่โจมและเฝ้ารอ
ใบหน้าของหนางหยางสื่อบิดกระตุก มันไม่รู้ว่าสตรีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนางตั้งใจจะทำสิ่งใด?
มันไม่กล้ายั่วยุซื่อหวูเสีย มันรู้ดีว่านางสามาราถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย
“หากข้าไม่หนี นางจะไม่สังหารข้า...ช่างเถอะ ยังไงก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว เมืองหนิงมีทั้งนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 มีทั้งผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสุดท้าย... นายน้อยหนิงผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก”
“จะว่าไป... เหตุใดนายน้อยหนิงถึงไม่กล้าสังหารข้า? หรือเพราะข้าเป็นผู้อาวุโสของนิกายไท่ชูไพ่... หรือว่านายน้อยหนิงไม่อยากยั่วยุนิกายไท่ชูไพ่...”
หนานยางสื่อขบคิด แต่ในขณะนั้น ปราณกระบี่แห่งดวงดาวได้ปรากฏอย่างไร้ที่มา มุ่งไปยังสหายของหลู่หนางสื่อ พร้อมกันนั้น ที่ด้านหลังของมันปรากฏผู้เยาว์ในชุดคลุมขนสัตว์สีดำ
ใบหน้าของผู้เยาว์ถูกคนนั้นบดบังด้วยผ้าคลุม แม้จะใช้สัมผัสเทพ แต่หนานหยางสื่อไม่อาจมองเห็นได้ชัด ระดับพลังของผู้เยาว์อยู่ในขอบเขตประสานวิญญาณขั้นกลาง แต่กลับทำให้มันสัมผัสได้ถึงอันตราย
ผู้เยาว์ใช้ทักษะอำพรางเคลื่อนเข้าด้านหลังของสหายหวู่หนานสื่อ จากนั้นฟาดฟันกระบี่ด้วยปราณกระบี่ประสานวิญญาณ สอดประสานกับการจู่โจมของยุ่ยฉีจนทำให้สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง ทั้งตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ
“ผู้ใดกล้าลอบจู่โจมข้า!”
สหายของหวู่หนานสื่อนามว่า ‘ซิงเฉิน’ มันเร่งนำ ‘ตราประทับทองคำ’ ของมันวางทาบลงที่หน้าก่อนปรากฏแสงสีทองคุ้มกายเพื่อป้องกันการลอบจู่โจมของผู้เยาว์ พร้อมกันนั้น มันนำเมฆเซียนออกมาและล่าถอยอย่างรวดเร็ว
แต่ผู้เยาว์ยังคงเหยียบย่างรุ้งหิมะพร้อมกับกระบี่ในมือไล่ล่ามันไปอย่างรวดเร็ว แม้ซิงเฉินจะหลบหนีได้อย่างรวดเร็วเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นแรก แต่ผู้เยาว์ที่ไล่ตามกลับรวดเร็วกว่า
กระบี่ผันแปรเป็นเพลิง ฟาดฟันเข้าปะทะกับตราประทับทองคำคุ้มกายจนขาดสะบั้น แต่นั่นกลับไม่ทำให้กระบี่ลดทอนอำนาจ ซิงเฉินเผยสีหน้าหวาดกลัวก่อนจะถูกกระบี่ผ่าร่างเป็นสองซีกและตกตายอย่างน่าอนาถ!
ผู้เยาว์ผู้นี้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นกลาง แต่ปราณกระบี่กลับทรงอานุภาพเกินหยั่งถึง
ยิ่งกล่าวถึงทักษะอำพราง ผู้เยาว์ทำได้อย่างแนบเนียนจนยากจะจับสัมผัสป้องกัน... ผู้เยาว์ใช้ทักษะอำพรางอันใดกัน? มิใช่... แม้ทักษะอำพรางจะทรงอานุภาพเท่าใด แต่หากผู้ใช้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นกลาง ซิงเฉินย่อมใช้สัมผัสเทพตรวจพบและป้องกันได้ทัน
เมื่อปราณกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ปรากฏเหนือเมืองหนิง หนานกง ยุ่ยฉี และซื่อถูต่างถอนมือ ทั้งหมดเฝ้าชมด้วยแววตาที่เคารพ
‘นายน้อยช่างทรงพลังถึงขนาดที่ใช้ปราณกระบี่ประสานวิญญาณขั้นสูงสุดได้ แม้นายน้อยจะลอบจู่โจม แต่อานุภาพที่สำแดงยังน่าชื่นชม’
หลู่หนานสื่อ ‘ชู่ซิง’ สหายของมัน รวมถึงหนานหยางสื่อสีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง
ผู้เยาว์คนนี้สมควรเป็นนายน้อยหนิง! แม้จะยังเยาว์แต่กลับบรรลุขอบเขตประสานวิญญาณขั้นกลาง สามารถใช้ปราณกระบี่ประสานวิญญาณขั้นสูงสุด มีสามผู้นำทัพข้างกาย เป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ทั้งยังมีสตรีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสุดท้ายในโอวาท
ในแคว้นเยว่ บุคคลผู้นี้ย่อมมีชื่อเสียง แต่เหตุใดพวกมันไม่รู้จัก! ผู้เยาว์ผู้นี้อยู่เมืองใดมาก่อน?
ยิ่งด้วยหนานหยางสื่อที่มีสายตาที่เฉียบคมกว่าคนอื่นๆ มันจึงรู้ว่าผู้เยาว์คนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด
กระบี่แห่งดวงดาวที่ผู้เยาว์ใช้ก็ไม่ธรรมดา มันคือกระบี่อะไร?
สัมผัสเทพที่ปกคลุมและผ้าที่สวมปิดบังใบหน้าของผู้เยาว์ผู้นี้ เป็นสมบัติวิญญาณระดับสูงที่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำใช้
ไหนจะมีทักษะที่เหยียบย่างรุ้งหิมะที่รวดเร็วเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ มีปราณกระบี่ที่รุนแรงเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นสุดท้าย... เมื่อครู่ที่ผู้เยาว์ใช้ทักษะอำพราง บางทีผู้เยาว์อาจใช้ด้วยสมบัติวิญญาณทองคำ!
สมบัติวิญญาณทองคำ... มีเพียงผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำเท่านั้นที่ใช้ได้!
หนานหยางสื่ออุทานด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อมันสบตากับหนิงฝาน มันกลับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารระดับจักรพรรดิสวรรค์ ทำให้มันรู้สึกราวกับร่วงหล่นลงสู่หลุมน้ำแข็งที่เย็นเฉียบ
“คนผู้นี้...สังหารผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน!”...