บทที่ 8 ถ้ำบรรพบุรุษ
“น้องเซี่ยวเฉินอย่าขยับนี่ข้าเอง” เซี่ยวอวี่หลันนางยืนอยู่ข้างเซี่ยวเฉินพร้อมกับพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
หลังจากรู้ว่าคือใคร เซี่ยวเฉินถอนหายใจพร้อมกับดับเปลวเพลิงบนนิ้ว “พี่อวี่หลันก็เห็นคนพวกนั้นด้วยใช่หรือไม่?” เขาถามพร้อมกับพิงตัวลงบนต้นไม้
นางพยักหน้าพร้อมกับมองไปที่คนกลุ่มนั้น “น้องเฉินรู้จักคนพวกนั้น?”
“ข้าไม่แน่ใจเช่นกัน แต่รู้ว่าพวกชุดน้ำตาลนั้นมาจากตระกูลจาง”
เซี่ยวอวี่หลันหันกลับมามองที่เซี่ยวเฉิน นางสังเกตุถึงความผิดปกติ จึงตัดสินใจถามออกไป “น้องเฉิน ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เจ้าเป็นเช่นไร?”
ร่างของเซี่ยวเฉินในตอนนี้ดูผอมแห้ง แลดูอ่อนแรงอย่างชัดเจน ถึงเช่นนั้นก็ไม่ได้มีบาดแผลปรากฎให้เห็นเลยซึ่งแปลกมาก
เซี่ยวเฉินยิ้มฝืดๆ “เรื่องมันยาวน่ะ”
ในป่าข้างหน้าที่ชายชุดน้ำเงินยืนอยู่
“ผู้เฒ่าจาง ถ้ำแห่งบรรพบุรุษที่ท่านกล่าวถึงมันอยู่ตรงไหน พวกเรากำลังจะเดินไปที่ใด ข้าเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว” ชายชุดน้ำมันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้เฒ่าจาง อายุประมาณ 50 ปี ระดับพลังขึ้นสูงสุดของขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ
ไปเรียบร้อยแล้ว เขาผู้นั้นคือผู้นำของตระกูลจาง
ในขณะนี้ เขามองไปที่ใบหน้าของชายชุดน้ำเงินไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปอย่างสุภาพ “ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นกังวล ถ้ำนี้ถูกพบโดยบังเอิญโดยคนของข้าเอง เราน่าจะไปถึงในอีก 15 นาที”
ชายชุดน้ำเงินถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “นำทางไป!”
ถ้ำแห่งบรรพบุรุษ นั้นมันเหมือนที่เก็บตำราวิชายุทธที่แข็งแกร่งและตำราบ่มเพาะพลัง มีบางตำนานเล่าถึงการบังเอิญพบเจอถ้ำแห่งบรรพบุรุษนั้นจะนำพาการบ่มเพาะพลังมหาศาลมาให้ผู้ที่พบเจอ ภูเขาชีเจี่ยวก็มีหนึ่งในถ้ำเหล่านี้ด้วย
……..
“น้องเฉิน หลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้แล้ว ยินดีด้วย”
เซี่ยวเฉินยังเก็บเรื่องจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าไว้ เล่าแต่เรื่องที่เขาสามารถหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้แล้วเท่านั้น ดูเหมือนเซี่ยวอวี่หลันก็เคยได้ยินเรื่องชื่อเสียงขยะของเขาเช่นกัน นางจึงไม่ถามไถ่ไปมากกว่านี้
“เราควรตามไป?” หลังจากคนกลุ่มนั้นเริ่มออกห่างไปไกล เซี่ยวเฉินถามความเห็นของเซี่ยวอวี่หลัน
“ตามสิ!”
เซี่ยวอวี่หลันกระโดดลงจากต้นแล้วยืนบนสองเท้าอย่างนุ่มนวล พร้อมออกตัวเหินไปราวกับนางฟ้าเพียงอึดใจเดียวนางก็ไปไกลกว่าร้อยเมตรแล้ว
ช่างรวดเร็ว เซี่ยวเฉินบ่นอุบอิบ พร้อมโดดลงจากต้นไม้ ชัดเจนว่าเซี่ยวอวี่หลันไม่ได้สนใจจะร่วมมือกับเขา พุ่งไปเต็มฝีเท้าทิ้งเขาไว้ข้างหลัง
อย่างไรก็ตามเซี่ยวอวี่หลันเกรงว่าชายในชุดน้ำเงินจะสังเกตุเห็นดังนั้นจึงไม่ได้ใช้พลังปราณ แม้ว่านางจะเคลื่อนที่ได้รวดเร็วแต่ก็เป็นกำลังจากร่างกายอย่างเพียงเดียว ยากที่จะสลัดเซี่ยวเฉินหลุด
10 นาทีต่อมา
เซี่ยวอวี่หลันต้องตะลึงที่เห็นเซี่ยวเฉินแซงขึ้นหน้าไป ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ใช้พลังปราณ แต่ระดับพลังของนางอยู่ในขอบเขตขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธแล้ว
พลังกายของนางควรจะมากกว่าเจ้าคนที่เพิ่งหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้ การทิ้งเซี่ยวเฉินไว้ข้างหลังจนไม่เห็นฝุ่นควรจะเป็นเรื่องง่ายๆ
เซี่ยวเฉินเห็นสายตาที่นางมองมา จึงพูดติดขำขัน “พี่อวี่หลันรวดเร็วเหลือเกิน ข้าตามเกือบไม่ทัน”
เซี่ยวอวี่หลันฟังจากน้ำเสียงก็เข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร พร้อมตอบกลับไปอย่างเคร่งขรึม “ชายชุดน้ำเงินผู้นั้นอยู่ระดับขอบเขตนักบุญแล้ว จะเป็นการดีกว่านะถ้าน้องเฉินไม่เข้าไปวุ่นวายด้วย”
“อยู่ต่อหน้าระดับขอบเขตนักบุญ จะขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธหรือขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดก็โดนเป่ากระเด็นทีเดียวตกตายเหมือนกันเช่นกัน” เซี่ยวเฉินกล่าวโดยไม่หันหลังกลับมา
เซี่ยวอวี่หลันเริ่มมีน้ำโหน้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นโกรธเล็กน้อย “ข้ามาฝึกฝนที่ภูเขาชีเจี่ยวเป็นประจำ หญ้าทุกต้นใบไม้ทุกใบข้าคุ้นเคยกับมันหมด ถึงแม้ข้าอาจจะสู้ไม่ได้แค่หนีไปไม่ใช่เรื่องยาก แต่น้องเฉินเจ้านะ…..”
“เงียบก่อน! พวกนั้นกำลังเข้าไปข้างใน ดูสิ” เซี่ยวเฉินขัดจังหวะเซี่ยวอวี่หลันพร้อมกับชี้ทาง
เซี่ยวอวี่หลันหันหน้าไปดู ตรงนั้นมันเป็นเพียงหน้าผา ชายชุดน้ำเงินหัวเราะอย่างเย็นชาพร้อมปล่อยหมัดใส่กำแพงหิน มีรอยร้าวแยกออกจากจุดที่หมัดกดลงไป ค่อยๆขยายๆออกเรื่อยพร้อมกับหินที่ร่วงลงมาจากหน้าผา
หลังจากที่หินหินร่วงลงมา มันปรากฎให้เห็นประตูหินที่ซ่อนอยู่พร้อมกับเสียงดังกึงก้อง ประตูก็ค่อยๆเปิดออก ผู้เฒ่าจางประจบประแจชายชุดน้ำเงินพร้อมทั้งสั่งให้คนเฝ้าหน้าทางเข้าไว้หลังจากเดินเข้าไปพร้อมกับชายชุดน้ำเงิน
“ไปเถอะ!” หลังจากพูดจบเซี่ยวเฉินก็ไม่ได้สนใจเซี่ยวอวี่หลันแล้วเดินนำไป
ศิษย์ของตระกูลจางที่เฝ้าอยู่ข้างนอกอยู่เพียงแค่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดชั้นกลางเท่านั้น เซี่ยวเฉินซ่อนตัวห่างจากประตูหินประมาณ 100 เมตร ดูให้แน่ใจว่าชายชุดน้ำเงินนั้นเข้าไปไกลแล้ว
เซี่ยวเฉินใช้จิตสำนึกควบคุมพลังปราณไหลไปที่เส้นลมปราณตรงขา ซึ่งมังกรฟ้าภายในร่างของเขาได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ดวงตาของมันไม่ได้ใสบริสุทธุิ์เหมือนก่อนหน้านี้แต่ถูกเติมเต็มไปด้วยความชั่วร้ายราวกับรู้สึกถึงเจตนาของเซี่ยวเฉิน เมฆสีขาวทั้งสามล่องลอยรอบๆอย่างนิ่มนวลพลังปราณบริสุทธิุ์สองสายไหลออกมาจากปากของมัน มุ่งหน้าไปยังเส้นลมปราที่ขาของเซี่ยวเฉิน
หลังจากพลังปราณทั้งสองสายไหลลงสู่ขาของเซี่ยวเฉิน เขารู้สึกได้ถึงพลังที่ล้นออกมาราวกับจะเหยียบเขาชีเจี่ยวจนแบนราบได้ในเท้าเดียว
ฆ่า!
เขาตะโกนขึ้นเสียงดังพร้อมกับกระทืบเท้าขวากระโจนออกไปทิ้งไว้เพียงรอยเท้าที่จมลึกลงไปในดิน เขาย่นระยะจาก 100 เมตรได้เพียงเสี้ยววินาทีพร้อมกับเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงบนฝ่ามือ
ลูกศิษย์ตระกูลจางที่เฝ้าทางเข้าอยู่นั้นได้ยินเพียงเสียงตะโกนก่อนที่เปลวไฟจะปะทะเข้ากับหน้าอกของเขา ไฟจากหน้าอกค่อยๆท่วมร่างของเขาก่อนที่จะได้ส่งเสียงร้องเสียอีก เพียงครู่เดียวร่างของศิษย์คนนั้นก็เหลือเพียงกองขี้เถ้า
เปลวไฟนั้นมันอะไรกัน ดูคนของตระกูลจางนั้น เซี่ยวอวี่หลันถอนหายใจ “นี้คือจิตวิญญาณยุทธของเจ้า?”
เซี่ยวเฉินไม่ปฏิเสธพร้อมกับยิ้มขึ้น “ตอนนี้เจ้าเชื่อหรือยังว่าข้าแข็งแกร่งพอที่จะดูแลตัวเองได้”
เซี่ยวอวี่หลันก้มลงและจิ้มนิ้วลงไปในกองขี้เถ้า หลังจากพิจารณาก็พยักหน้า “เปลวไฟนี้มันมีพลังทำลายสูงอย่างแท้จริง แต่มันไม่ได้ทรงพลังอย่างที่เจ้าคิด ถ้าเจ้าจอมยุทธฝึกหัดผู้นั้นไม่ถูกซุ่มโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วปลดปล่อยพลังปราณออกมา เขาคงป้องกันเจ้าไฟนี้ได้”
เซี่ยวเฉินได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มแหยๆและก็เปลี่ยนเรื่อง “พวกนั้นน่าจะไปไกลแล้ว ดูจากขนาดถ้ำนี้ถ้าเราตามไปห่างๆ น่าจะหลีกเลี่ยงการปะทะได้”