ตอนที่ 122 แสงแห่งพระเจ้า
ในหมู่ลูกศิษย์ของเขา เจียงเย่เฟิงเป็นคนที่มีพรสวรรค์ต่ำที่สุด ในเมื่อมันสามารถทะลวงผ่านรักดับสวรรค์ได้ ลูกศิษย์อีกสามคนของเขาก็ต้องทะลวงผ่านได้เช่นกัน! ถ้าทั้งสี่คนร่วมมือกัน หลิงฮันคิดไม่ออกเลยว่าใครจะมาจัดการทั้งสี่คนได้
แต่จากที่ดูแล้ว อาวุธของเจียงเย่เฟิงจะต้องได้รับความเสียหายมาจากสงครามครั้งใหญ่แน่นอน อาวุธของมันถึงได้ลอยออกมาจากลำธารใต้พิภพเหมือนกับอาวุธวิญญาณชิ้นอื่นๆ
หรือว่าจะมีสงครามระหว่างจอมยุทธระดับสวรรค์?
หลิงฮันเคาะไปที่กระบี่เบาๆ เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะต้องไปตรวจสอบที่แหล่งต้นตอของลำธารใต้พิภพให้ได้
อย่างไรก็ตาม การที่เขาสามารถใช้งานอาวุธวิญญาณ แถมยังโค่นจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุกลุ่มใหญ่ได้อีก เหตุการณ์นี้ทำให้เขาได้รับความสนใจจากตัวตนระดับสูง ในคืนนั้นเขาจึงได้รับการเชิญชวนเพื่อไปค้นคว้าความลับที่อยู่เบื้องหลังอาวุธวิญญาณเหล่านี้ด้วยกัน
หลิงฮันไม่ได้ปฏิเสธ เขาเองก็อยากจะตรวจสอบอาวุธวิญญาณชิ้นอื่นๆเช่นกัน
ในคืนนั้น อาวุธวิญญาณทั้งหมดสิบเอ็ดชิ้นถูกวางเอาไว้บนตะข้างหน้าเขา อาวุธทุกชิ้นล้วนแต่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถ้าไม่มีคนบอก ใครจะไปเชื่อว่าอาวุธที่วางอยู่บนโต๊ะคือสมบัติอันล้ำค่า
“สหายน้อยหลิง เจ้าสามารถฟื้นคืนอาวุธวิญญาณได้อย่างไร?” จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณจากตระกูลจ้าวถามขึ้นมา ในสมัยมันยังเป็นรุ่นเยาว์ มันได้มีฉายาว่าสุภาพบุรุษหวูเซว่ ครั้งหนึ่งชื่อเสียงในด้านการหลงใหลในความรักของมันได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองจักพรรดิ แต่โชคร้ายที่ตอนนี้มันเป็นเพียงชายชราที่ไม่มีความเป็นหนุ่มเหลืออีกต่อไป
ชายชราคนนี้อยู่ในระดับห้วงจิตวิญญาณขั้นเก้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ต่อให้มันสามารถทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณไปได้ มันก็คงเหลือเวลาที่จะเสพสุขในพลังนั้นได้เพียงไม่กี่ปี เพราะคนที่ไม่อาจทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้ ยังไงก็เป็นได้เพียงมนุษย์ เพียงแค่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเท่านั้น
หลิงฮันยิ้มและพูด “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเพียงแค่จับไปที่อาวุธวิญญาณ จู่ๆข้าก็ได้รับการยอมรับจากมัน”
ชายชราเจ็ดคนที่นั่งอยู่แสดงสีน่าไม่เชื่อออกมา อย่างไรก็ตาม หลิงฮันเป็นตัวแทนของหวู่ซงหลิน ไม่ว่าพวกมันจะไม่พอใจขนาดไหน พวกมันก็ไม่สามารถแสดงออกมาอย่างเปิดเผยได้
จ้าวหวูเซว่ยิ้มและพูด “ถ้าเช่นนั้น บางทีสหายน้อยหลิงคงบังเอิญทำเช่นนั้นได้”
“ใช่แล้ว ข้าไม่เคยคิดว่าเรื่องบังเอิญเช่นนั้นจะเกิดขึ้นเช่นกัน” หลิงฮันหัวเราะและหยิบอาวุธวิญญาณหนึ่งชิ้นจากบนโต๊ะขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
ชายชราทั้งเจ็ดไม่ได้ห้ามเขา พวกมันล้วนแต่สังเกตทุกการกระทำของหลิงฮัน บางทีกุญแจที่ใช้กระตุ้นอาวุธวิญญาณเหล่านี้อาจจะเป็นการขยับตัวในรูปแบบพิเศษบางอย่าง ดังนั้นพวกมันจึงไม่พลาดที่จะมองทุกการเคลื่อนไหวของหลิงฮัน
แต่พวกมันก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะว่าครั้งนี้หลิงฮันเพียงแค่ทำการตรวจสอบอาวุธวิญญาณเหล่านี้เท่านั้น
อาวุธวิญญาณทุกชิ้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก และบางชิ้นได้สูญเสียจิตวิญญาณไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ยิ่งกว่านั้น เจตจำนงที่สลักเอาไว้ในอาวุธวิญญาณเหล่านี้เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากของหลิงฮัน เพราะงั้นสำหรับเขาแล้ว อาวุธวิญญาณทั้งหมดนี้จึงไม่ต่างอะไรกับขยะ
แต่แน่นอนว่าเจตจำนงที่สลักเอาไว้ในอาวุธวิญญาณเหล่านี้ยังคงมีค่ามากพอที่จะให้ศึกษาค้นคว้า เพราะหลิงฮันสามารถยืนยันได้ว่าพวกมันทั้งหมดเป็นอาวุธวิญญาณระดับเก้าที่สร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับสวรรค์!
เขาใช้มือลูบคางและครุ่นคิดอยู่ในใจ
ในยุคสมัยของเขามีจอมยุทธระดับสวรรค์เพียงเจ็ดคน ถึงแม้เหล่าลูกศิษย์ของเขาจะบรรลุระดับสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้วก็ควรจะมีจอมยุทธระดับสวรรค์แค่สิบคน
แต่ที่นี่กลับมีอาวุธวิญญาณระดับเก้าทั้งหมดสิบเอ็ดชิ้น
หลิงฮันตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าเจตจำนงที่สลักอยู่ภายในอาวุธวิญญาณเหล่านนี้นั้นแตกต่างกัน หรือก็คือ พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากจอมยุทธระดับสวรรค์ทั้งหมดสิบเอ็ดคน
ยิ่งกว่านั้น อาวุธวิญญาณเหล่านี้เป็นเพียงอาวุธที่ถูกตกขึ้นมาได้สำเร็จ ยังมีอาวุธวิญญาณอีกมากมายที่ยังไม่สูญเสียจิตวิญญาณไป และหลบหนีไปบนฟ้าแล้ว
หากวิเคราะห์จากสิ่งเหล่านี้ หลังจากที่เขาต่ยไปแล้ว มีจอมยุทธระดับสวรรค์โผล่ขึ้นมาอีกกี่คนกันแน่?
หนึ่งร้อย? หนึ่งพัน?
จะไปมีเยอะขนาดไหนได้อย่างไร!
หลิงฮันไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หรือว่าหลังจากการตายของเขา ศาสตร์แห่งวรยุทธได้ก้าวเข้าสู่ยุคทองแห่งความรุ่งโรจน์ ทำให้มีจอมยุทธระดับสวรรค์เกิดขึ้นมากมาย? ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น จะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร?
เขาตรวจสอบอาวุธวิญญาณทอีกสิบชิ้นอย่างละเอียด เจตจำนงที่สลักเอาไว้ในแต่ละอันล้วนแต่เป็นเจตจำนงที่เขาไม่คุ้นเคย พวกมันต้องไม่ใช่เจตจำนงของราชันอีกหกคนที่มีระดับเทียบเท่าเขาแน่นอน
ดูเหมือนว่าถ้าเขาไม่มุ่งหน้าไปยังแหล่งต้นตอของลำธารใต้พิภพ เขาคงจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
หลิงฮันส่ายหัวและวางอาวุธวิญญาณกลับไปที่โต๊ะ “พวกเจ้าทุกคนมีใครคิดวิธีผ่านกำแพงล่องหนที่ปิดกั้นไม่ให้มุ่งหน้าไปยังแหล่งต้นตอของลำธารใต้พิภพได้รึยัง?”
เมื่อได้ยินหลิงฮันเรียกพวกมันว่า‘พวกเจ้าทุกคน’ จ้าวหวูเซว่และคนอื่นๆได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ลำดับชั้นของวิถียุทธเป็นเรื่องที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก แต่จอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับรวมธาตุกลับกล้าทำตัวไม่แยแสต่อหน้าพวกมัน? แต่อีกฝ่ายเป็นถึงตัวแทนของหวู่ซงหลิน และหวู่ซงหลินเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าพวกมันหลายเท่า ดังนั้นตัวแทนของหวู่ซงหลินจึงมีสิทธิที่จะทำตัวทัดเทียมกับพวกมัน
พวกมันทุกคนรู้สึกโศกเศร้าและเริ่มคร่ำครวญต่อหวู่ซงหลิน ทำไมเขาถึงได้ส่งตัวแทนแบบนี้มา? ไม่ใช่ว่านี่เป็นการจงใจดูหมิ่นพวกมันรึไง?
“ไม่มีทางที่จะก้าวผ่านกำแพงล่องหนไปได้ เป็นไปได้ว่าแม้แต่จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณก็ยังต้องหมดหนทาง นอกเสียจาก... นอกเสียจากคนคนนั้นจะยอมมาที่นี่!” จ้าวหวูเซว่ส่ายหัว และเมื่อมันพูดจบ มันได้มองไปยังชายชราคนหนึ่ง
ชายชราคนนั้นคือคนจากตระกูลจักรพรรดิฉี ฉีจิ่วฉาน
จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณอีกห้าคนเองก็พยักหน้า “คนคนนั้น”ที่ว่าหมายถึงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน ผู้ลึกลับของตระกูลฉี ในสายตาของพวกมัน จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและสามารถทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
แต่หลิงฮันไม่เห็นด้วยกับทางเลือกนี้ จริงอยู่ที่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานได้ละทิ้งขอบเขตของมนุษย์ไปแล้ว รวมทั้งยังครอบครองพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัว อย่างเช่นการมีอายุขัยเพิ่มขึ้นสามร้อยปี หรือการที่สามารถล่องลอยไปบนท้องฟ้าได้!
อย่างไรก็ตาม อาวุธวิญญาณที่ค้นพบที่นี่ล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณระดับเก้า จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจะสามารถทำอะไรกับอาวุธวิญญาณระดับเก้าได้? ในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าแม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ยังต้องเสียชีวิตลงในการต่อสู้ และอาวุธวิญญาณของพวกมันคงได้รับความเสียหายจากการต่อสู้นั่น เพราะงั้นกำแพงล่องหนที่ว่าจะสามารถถูกทำลายโดยจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานได้อย่างไร?
เขาไม่คิดจะพูดความคิดนี้ออกไป เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าจะกล่าวออกไปได้ คงจะดีเสียกว่าหากเขาทำตัวไม่เป็นที่สังเกตต่อไป
“วันพรุ่งนี้ข้าอยากจะไปดูกำแพงที่ว่า” หลิงฮันพูด
แทนที่พวกมันจะคัดค้าน แต่กลับพยักหน้าตกลงในทันที
“เชิญสหายน้อยทำตามตามสบาย เจ้าเป็นตัวแทนของปรมาจารย์หวู่ ดังนั้นเจ้าจึงมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น!” ฉีจิ่วฉานพูดด้วยรอยยิ้ม
‘บัดซบ ช่างเป็นรอยยิ้มที่ปลอมอะไรขนาดนั้น!’ หลิงฮันคิดในใจ เขารู้ว่าชายชราทั้งเจ็ดคนยังสงสัยในตัวเขาและอยากจะเห็นว่าเขามีวิธีการพิเศษในการทำลายกำแพงล่องหนหรือไม่ หลิงฮันไม่ได้เปิดเผยสิ่งที่คิดออกไป เขาพยักหน้าพร้อมกับหยิบกระบี่วิเศษและเดินออกไป
ในวันถัดมา หลิงฮัน หลิวอู๋ตงและหลีซื่อฉางได้เดินทวนกระแสน้ำขึ้นไป
ในตอนแรกเขาคิดจะมุ่งหน้าไปคนเดียว แต่เขาไม่สามารถต่อต้านการอ้อนวอนของหญิงสาวทั้งสองได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพาพวกนางมาด้วย ข้างหลังของพวกเขามีจ้าวหวูเซว่และคนอื่นๆเดินตามมา รวมๆกันแล้วพวกมันมีจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณอยู่ด้วยกันถึงสิบสี่คน โดยมีบางคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการพูดคุยในคืนก่อน แต่วันนี้พวกมันมาด้วยกันหมดทุกคน
แหล่งต้นตอของลำธารใต้พิภพแห่งนี้อยู่ในส่วนตีนเขา และไม่มีทางที่จะเดินไปต่อได้ พวกเขาจึงมีทางเดียวคือดำน้ำลงไปเพื่อเดินหน้าต่อ
ไม่มีจอมยุทธคนใดที่ไม่รู้จักวิธีดำน้ำ ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงดำลงไปใต้น้ำ พวกเขายังดำไปได้ไม่ไกลนักก็พบว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นความมืดมิด ถ้าพวกเขาดำน้ำไปข้างหน้าอีกแม้แต่นิดเดียว พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นได้แม้แต่นิ้วมือของตนเอง พวกเขารู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่เสียดแทงเข้าไปจนถึงกระดูก
โชคดีที่ลำธารใต้น้ำมีอากาศไหลเวียน ไม่เช่นนั้นไม่ว่าพวกเขาจะสามารถกลั้นหายใจได้นานกว่าคนธรรมดาขนาดไหน พวกเขาก็ไม่สามารถดำลงไปได้ไกลอยู่ดี
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ข้างหน้าพวกเขาได้ปรากฏประกายแสงวูบวาบขึ้นมา
ในตอนแรก หลิงฮันคิดว่าในที่สุดพวกเขาก็ออกจากภูเขาได้ และทางออกก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว แต่เขาก็รู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ที่จริงตรงหน้าของพวกเขาคือผนึกที่กำลังส่องแสงสว่าง ราวกับว่าตรงหน้าพวกเขามีตะข่ายกั้นเอาไว้อยู่ทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
“หืม นี่มัน... แสงแห่งพระเจ้า!”
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*