บทที่ 7 การค้นพบโดยบังเอิญ
เซี่ยวเฉินควบคุมสติมุ่งเข้าไปหาเจ้ามังกรฟ้าในหัวของเขา จนเกือบจะเข้าไปติดกับมังกรฟ้า แล้วจู่ๆ มังกรตัวนั้นก็ลืมตาขึ้นทำให้เซี่ยวเฉินชะงักไป แต่ดูเหมือนเจ้ามังกรจะไม่ได้สังเกตุเห็นเซี่ยวเฉินจึงค่อยๆหลับตาลง
เซี่ยวเฉินรีบเรียกคืนสติ ดวงตาของเจ้ามังกรฟ้าใสบริสุทธิ์ราวกับหยาดน้ำ เพียงแค่จ้องมองก็เหมือนจะสามารถควบคุมจิตใจคนได้
อย่างไรก็ตามเจ้ามังกรนี้มันคืออะไร เซี่ยวเฉินจำไม่ได้เลยว่ามันเข้ามาในร่างกายของเขาได้ยังไง หรือมันคือจิตวิญญาณยุทธ? หรือว่าเขาประสบความสำเร็จในการหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธ
แล้ว
มังกรฟ้า, จิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้า ทันใดนั้นเซี่ยวเฉินก็นึกย้อนถึงความทรงจำของร่างนี้
เมื่อนานมาแล้วมี 4 นิกายใหญ่ที่ทวีปเทียนหวู่แห่งนี้ ผู้ปกครองของแต่ละนิกายได้ครอบครองสายเลือดอสูรวิญญาณศักสิทธิ์เอาไว้ ลูกหลานของตระกูลพวกเขาจึงเกิดมาพร้อมกับอสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดทำให้เรียนรู้ทักษะได้รวดเร็วกว่าปกติ ยิ่งกว่านั้นอสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มีจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ ซึ่งเหนือชั้นกว่าจิตวิญญาณยุทธทั่วไปมาก
มังกรฟ้าตะวันออก พยัคฆ์ขาวตะวันตก หงส์แดงใต้ เต่าทมิฬเหนือ ตระกูลใหญ่เหล่านี้เปรียบเสมือนตัวแทนของทิศทั้ง 4 ซึ่งตรกูลเซี่ยวเคยเป็นตัวแทนมังกรฟ้าแห่งทิศตะวันออก ถึงกระนั้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมอสูรวิญญาณศักดิ์สิทธุิ์มังกรฟ้าไม่เคยปรากฎให้เห็นในตระกูลเซี่ยวอีกเลย หลังจากนั้นทั้งอำนาจและชื่อเสียงของตระกูลก็ค่อยๆลดหายกลายเป็นเพียงตระกูลสามัญในเมืองเล็กๆ
เซี่ยวเฉินส่ายหัวไปมา เขาไม่ควรเอาเวลาไปคิดเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เขาหลอมรวมจิตวิญญาณยุทธได้แล้วควรเอาเวลาไปทุ่มกับการฝึกฝน 7 วันหลังจากนี้เขาจะแพ้เซี่ยวเจี้ยนไม่ได้
เซี่ยวเฉินนั่งลงมุ่งจิตเข้าไปภายในร่างอีกครั้ง ตรวจสอบทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้หมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่อยากเข้าไปเจอสถานการณ์ที่เหมือนร่างของเขาพร้อมจะระเบิดอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดและปลาบปลื้มใจคือทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิุ ที่ตอนนี้ไหลเวียนอย่างเสถียรมั่นคง ทำให้ขอบเขตการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นอีกก้าวใหญ่ๆ เซี่ยวเฉินได้แข็งแกร่งขึ้นมาอีก 1 ขั้นแล้ว
ตอนนี้เซี่ยวเฉินเลิกสนใจเจ้ามังกรฟ้าตัวนี้ไปก่อนชั่วคราว และทุ่มเทความสนใจไปที่ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ หลังจากฝึกฝนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ทั้งคืน มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นแบบทวีคูณ มีประกายไฟลอยออกมาตอนที่เขาปล่อยหมัดออกไป สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงใด
เซี่ยวเฉินจำได้ว่าในตำราบ่มเพาะพลังเขียนเอาไว้ว่าหลังจากฝึกฝนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จแล้วสามารถใช้เปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงได้ ตั้งแต่ขอบเขตทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นมา 1 ชั้น เซี่ยวเฉินตัดสินใจจะลองดู
เซี่ยวเฉินลุกขึ้นและเริ่มหมุนเวียนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เขาทำเช่นนั้น ดวงตาของมังกรฟ้าที่จุด ดันเที่ยนได้เปิดออกและมีเมฆขาว 3 ก้อนค่อยๆลอยออกมาแล้วจางหายไป
พลังปราณบริสุทธิ์ ไหลออกจากเจ้ามังกรมายังเส้นลมปราณของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินนิ่งอึ้งไป เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเข้ามาของแก่นแท้ที่บริสุทธุิ์และอบอุ่น เขาค่อยๆนำพาลมปราณ ไหลเวียนไปภายในร่าง
ตามขั้นตอนในตำราบ่มเพาะพลังแก่นแท้นี้ไหลไปรวมกันที่มือขวาของเซี่ยวเฉิน จากนั้นก็มีพลังไหลออกมาจาก 4 จุดหลัก เทียนเฉฺวียน จุดจฺวี้กู่ จุดชฺวีเจ๋อ และ จุดเน่ยกฺวาน มารวมกันที่นิ้วกลางของเซี่ยวเฉิน
ทันใดนั้นก็มีประกายแสงปรากฎ และค่อยๆรวมตัวกลายเป็นเปลวไฟสีม่วงขนาดเท่าเม็ดถั่วบนนิ้วของเซี่ยวเฉิน
เซี่ยวเฉินมองไปที่เปลวไฟที่สว่างวูบไหวเหมือนจะดับได้ตลอดเวลา เซี่ยวเฉินยิ้มฝืดๆ ไม่ต้องพูดถึงเอาไปใช้สังหารคน แม้แต่ในโลกเดิมของเขาคงเอาไปใช้ได้เพียงแค่จุดบุหรี่
เซี่ยวเฉินสะบัดมือเพื่อดับไฟลง เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้ ตามจริงแล้วเขาสามารถสร้างไฟออกมาสำเร็จได้ตั้งแต่ครั้งแรกก็ถือเป็นคำปลอบใจที่ดี
แต่เซี่ยวเฉินไม่ทันสังเกตุว่าตอนที่เขาดับไฟนั้น มีสะเก็ดไฟที่ไม่ดับสนิทร่วงลงพื้นไป ในขณะที่สะเก็ดไฟนั้นสัมผัสพื้นมันเผากองกิ่งไม้บนพื้นหายไปเป็นเมตร ถ้ามันไม่เหลือขี้เถ้าไว้เซี่ยวเฉินอาจจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย
เซี่ยวเฉินยืนอึ้งแน่นิ่งอยู่เป็นพักใหญ่ๆ หลังจากตั้งสติได้เซี่ยวเฉินหัวเราะลั่นออกมาอย่างปลื้มปิติ เจ้าไฟนี้มันจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้วเพียงแค่สะเก็ดไฟเล็กน้อยก็มีอนุภาพขนาดนี้แล้วถ้าฝึกต่อไปอีกสักระยะเวลาหนึ่งมันจะต้องแข็งแกร่งอย่างมาก
เซี่ยวเฉินไม่รีรอที่จะฝึกฝนทักษะเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงต่อ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเซี่ยวเฉินสามารถเรียกใช้ทักษะเพลิงม่วงแห่งความเที่ยงได้ในทันทีโดยไม่ต้องรวบรวมพลัง
“พุ่บ!”
มีเงาจากต้นไม้ใหญ่วูบผ่านหัวของเซี่ยวเฉินไป เซี่ยวเฉินเงยหัวขึ้นไปมอง เห็นชายคนนึงในชุดสีน้ำเงินเหินข้ามไประหว่างต้นไม้เพียงพริบตาเดียวก็หายไปจากสายตาของเซี่ยวเฉิน
จริงๆแล้วนั้นไม่ใช่การเหาะเหิน ชายคนนั้นมีเทคนิคยอดเยี่ยมเลยทำให้ดูเหมือนราวกับกำลังบินอยู่ทั้งที่เพียงแค่กระโดดไปมาระหว่างต้นไม้เท่านั้น คนๆนั้นอย่างต่ำคงอยู่ระดับขอบเขตนักบุญ
เมืองม่อเหอมีคนในชุดคลุมน้ำเงินระดับขอบเขตนักบุญตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายคนนั้นมาทำอะไรที่ภูเขาชีเจี่ยวของตระกูลเซี่ยว เซี่ยวเฉินรู้สึกไม่ชอบมาพากล
หลังจากดูทิศทางที่ผู้นั้นมุ่งหน้าไป เซี่ยวเฉินลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจไล่ตามไปดู ผู้เชี่ยวชาญระดับขอบเขตนักบุญคงไม่ได้มาเดินเล่นที่ภูเขาชีเจี่ยวเฉยๆหรอก
เซี่ยวเฉินเรียกลมปราณออกมาเพื่อเพิ่มพละกำลังแล้วออกวิ่งไปตามทิศทางที่ชายชุดน้ำเงินคนนั้นมุ่งไป เซี่ยวเฉินพุ่งไปอย่างรวดเร็วทั้งที่ยังไม่ได้ใช้พลังปราณเสียด้วยซ้ำ รวดเร็วจนไม่อาตเชื่อ
ชายชุดน้ำเงินคนนั้นรวดเร็วมาก หายไปอย่างรวดเร็วไม่เห็นฝุ่น เซี่ยวเฉินจึงทำได้เพียงคาดเดาเส้นทางที่เขามุ่งไป ถ้าโชคไม่เข้าข้างก็อาจจะหาไม่พบ
หลังจากวิ่งมาเกือบชั่วโมง เซี่ยวเฉินได้ยินเสียงคนกำลังคุยกระซิบกระซาบ เซี่ยวเฉินจึงหยุดฝีเท้าทันทีแล้วตั้งใจฟัง หลังจากตั้งใจฟังดีๆเซี่ยวเฉินก็ขยับไปตามทิศทางที่มาของเสียง
เสียงยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยวเฉินกระโดดขึ้นไปแอบบนต้นไม้จึงเห็นคนที่คุยกันห่างออกไปจากเขาประมาณ 300 เมตร ชายชุดน้ำมันก่อนหน้านี้กำลังคุยกับคนกลุ่มหนึ่งด้วยเสียงเบา
น่าแปลก ทำไมคนของตระกูลจาง ถึงมาอยู่ที่นี้กำลังพูดคุยกับชายชุดน้ำเงิน ตระกูลจางเป็นตระกูลที่มีอำนาจเป็นรองเพียงตระกูลเซี่ยว พวกนั้นสวมชุดถักลวดลายบางๆ มี 3 เมฆขาวบนหน้าอกบนเสื้อคลุมสีน้ำตาล นั้นคือสัญลักษณ์ของตระกูลจาง
“ฟู่”
ทันใดนั้นมีเสียงหอบดังมาจากข้างหลังเขา เซี่ยวเฉินสะดุ้งพร้อมกับเรียกเพลิงม่วงแห่งความเที่ยงขึ้นมาบนมือขวาพร้อมตอบโต้ทันที