DND.67 - หาเทียบเคียงสุนัข
ไม่กี่วันหลังซือหยูจากไป แม่ชีอันงดงามราวกับเทพธิดาจิ้งจอกกวาดใบไม้อยู่ในลานวัดเมืองฉิงซาน บ้านเกิดของซือหยูและเจียงซื่อฉิง
นางมองทุ่งหญ้าอันคุ้นเคยอย่างสงบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“พี่ซือหยู...ขอเดินทางปลอดภัยนะ”
นางกวาดลานวัดต่อไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลายวันผ่านพ้นไปตามปกติ มีสตรีมากหน้าหลายตาเข้ามายังที่พักของแม่ชี สตรีเหล่านั้นคือคนที่องค์ชายสามส่งมาปกป้องเจียงซื่อฉิงจากผู้ที่หลงกับความงดงามของนาง
ความงดงามเปรียบดั่งคำสาป...แม้ในที่ของแม่ชี
ในวังหลวง องค์ชายสามกำลังจัดแจงเรื่องบัลลังก์ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเบาใจ เขาถอนหายใจยาว
“ซือหยู...ความโชคดีที่สุดในชีวิตข้าคือการได้พบเจ้า เจ้าให้แคว้นนี้แก่ข้า”
“โปรดเดินทางปลอดภัย...สหายหนึ่งเดียวแห่งข้า”
องค์ชายสามหัวเราะ แม้จะมีแคว้นทั้งแคว้นในมือแต่กลับรู้สึกเดียวดายอย่างยากจะเอ่ย
...
ห่างไกลจากแคว้นเฟิงหลิน
ฟึ่บ--
ฉิวชางเจี้ยนชี้ไปยังกลางอากาศ เกิดระลอกพลังงานตรงพื้นที่รกร้างข้างหน้า หลุมทมิฬจากกลางอากาศปรากฏขึ้นเป็นรูปของประตู
“เข้ามา”
ฉิวชางเจี้ยนเดินเข้าไป
ซือหยูและเซี่ยจิงหยูเดินผ่านประตู ตาพวกเขาเป็นประกาย
เขาเจอกับภาพหมู่มวลปักษาขับร้องบทเพลงและทุ่งบุพผาล้อมรอบ
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหลงใหลในสวนของตน พวกเขาต่างเป็นชาวสวนอ่อนเยาว์
เพียงแต่ว่าแต่ละคนมีพลังระดับหกขึ้นไป!
พลังเช่นนี้ในโลกมนุษย์นับว่าเป็นอสูร
แต่ที่นี่พวกเขาเป็นเพียงชาวไร่!
ที่ขอบฟ้าห่างไกลมีเกาะอันโอ่อ่าลอยอยู่กลางอากาศ
พื้นที่ราบหลายชั้นบนเกาะอำนวยความสะดวกแก่การเดินทาง
เกาะลอยแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยหมอก งดงามเกินกว่าจะเทียบกับขอบเขตของโลกมนุษย์
นั่นคือวิหารสวรรค์อย่างมิต้องสงสัย...และที่ที่พวกเขาอยู่แห่งนี้จะต้องเป็นวิหารมนุษย์
“โอ้...ศิษย์น้องฉิวพาศิษย์สวรรค์กลับมาสองคนงั้นรึ? ไม่เลว...รีบกลับไปรวมตัวกับศิษย์สวรรค์คนอื่นกันเถอะ”
ฟึ่บ--
เขาคือคนคุ้มกันที่อยู่รอบๆ
พลังของเขาน่ากลัวมาก...เขามิได้อ่อนแอกว่าศิษย์อสูรฉิวแน่นอน
ระดับเก้าอีกคนงั้นรึ? สมกับเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์!
พลังระดับเก้าในโลกมนุษย์นับว่าไร้เทียมทาน...แต่ในวิหารพวกเขาเป็นเพียงผู้คุ้มกันลับ!
“เอ๋อ...ถึงวันยืนยามแล้วเหรอ ศิษย์พี่ชาง”
ฉิวชางเจี้ยนมีสัมพันธ์อันดีกับศิษย์พี่ชาง เขาหัวเราะอย่างอบอุ่นก่อนจะจริงจัง
“ศิษย์พี่ชาง นำทางพวกเขาไปโถงศิษย์สวรรค์ ข้าจะไปรายงานท่านอาจารย์...สถาการณ์เร่งด่วนนัก”
ศิษย์พี่ชางพยักหน้าและไม่ถามอะไรต่อ เขาเรียกอีกคนมายืนยามแทนและพาซือหยูกับเซี่ยจิงหยูไปยังวิหารสวรรค์
“ศิษย์พี่ชาง หน้าที่พาคนเข้าสู่วิหารมิใช่หน้าที่หลักของศิษย์พี่ฉิวหรอกหรือ?”
ซือหยูสับสน ดูเหมือนฉิวชางเจี้ยนจะมีภารกิจอื่นต้องทำและกังวลที่จะรายงานกับอาจารย์
ศิษย์พี่ชางเป็นคนสบายๆ ดูจากรอยยิ้มของเขา
“ใช่ เขามีภารกิจในเมืองหลวง พาพวกเจ้ากลับมาระหว่างทางด้วยนับเป็นของแถม”
ระหว่างทางงั้นรึ? ซือหยูและเซี่ยจิงหยูมองหน้ากัน หากฉิวชางเจี้ยนมิได้มายังเมืองหลวง ซือหยูคงต้องพบจุดจบอันน่าเศร้า
ฉิวชางเจี้ยนสีหน้าหม่นหมองเป็นกังวล ซือหยูมิอาจจินตนาการได้ว่าเรื่องที่เกินมันฉุกเฉินเพียงใด ผู้มีพลังระดับเก้าจึงกังวลเช่นนี้...แต่เขาก็ไม่กล้าถาม
ไม่นานพวกเขาก็ถึงโถงศิษย์สวรรค์
มีคนหนุ่มสามคนในโถงอันว่างเปล่า
เซี่ยจิงหยูหยุดนิ้งไปชั่วครู่
“ศิษย์พี่ชาง คนพวกนี้เหมือนกับเราที่เป็นศิษย์สวรรค์คนใหม่ใช่หรือไม่? ทำไมข้าไม่พบพวกเขาในงานประชุมศักดิ์สิทธิ์?”
ศิษย์พี่ชางกระพริบตา
“ศิษย์น้องฉิวมิได้บอกเจ้ารึ?์ งานประชุมศักดิ์สิทธิ์จัดขึ้นพันธมิตรเก้าแคว้น”
พันธมิตรเก้าแคว้น? ทั้งซือหยูและเซี่ยจิงหยูตัวแข็งทื่อ พวกเขาแทบจะจำไม่ได้ว่าแคว้นเฟิงหลินเป็นพันธมิตรกับแคว้นทั้งแปดโดยรอบ
เซี่ยจิงหยูรู้ดีกว่าซือหยูที่มิใช่คนจากโลกนี้ เขาเข้าใจหลังจากที่เซี่ยจิงหยูอธิบายเพิ่มเติม
พันธิมิตรเก้าแคว้นนั้นต่อสู้กับแคว้นเฟิงหวง ในทางอำนาจ...แคว้นเฟิงหวงนั้นมีพื้นที่มากกว่าพันธิมิตรเก้าแคว้นรวมกันเสียอีก!
ดังนั้นพันธิมิตรเก้าแคว้นจึงเกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านแคว้นเฟิงหวงอันยิ่งใหญ่
ซือหยูใจสั่นเมื่อจินตนาการถึงโลกที่มีสิบแคว้นนี้
พื้นที่ของแคว้นเฟิงหลินเทียบเท่าแผ่นดินจีนในอดีต หากเก้าแคว้นรวมกันมันจะไม่เท่าจีนแผ่นดินใหญ่รึ?
และถ้าเพิ่มเฟิงหวงเข้าไป เฟิงหวงที่ใหญ่กว่าเก้าแคว้นรวมกัน….
ทวีปเฉินยี่นี้ใหญ่เท่าใดกัน?
ดยุคเซี่ยนหยูเคยบอกว่าแคว้นเฟิงหวงถูกปกครองจากหุบเขาเฟิงหวงและตัวตนของหุบเขาเฟิงหวงนับเป็นสิ่งต้องห้าม...เขายังบอกอีกว่าอำนาจของมันมหาศาลนัก
ในตอนนี้...การได้พบเซี่ยนเอ๋ออีกครั้งนั้นยากเกินกว่าที่ซือหยูจะจินตนาการได้!
หลังจากนิ่งงันอยู่นาน ซือหยูก็ฟื้นตัวกลับและฟังคำอธิบายจากศิษย์พี่ชางต่อไป
วิหารจะดำเนินงานประชุมศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละแคว้นพันธิมิตรทั้งเก้าทุกปี
ผู้รับใช้ทั้งเก้าในวิหารนั้นทำหน้าที่ดูแลแต่ละแคว้น เช่นผู้รับใช้เพลิงที่ดูแลงานประชุมศักดิ์สิทธิ์ในแคว้นเฟิงหลิน
วิหารศักดิ์สิทธิ์จะปกป้องพันธิมิตรเก้าแคว้นจากผู้รุกรานแลกกับตัวอัจฉริยะจากทั้งเก้าแคว้น...และนำมาเป็นศิษย์วิหาร
ดังนั้นที่โถงศิษย์สวรรค์แห่งนี้จะมีอัจฉริยะจากแคว้นอื่นที่มีสิทธิ์เข้าสู่วิหารสวรรค์เช่นกัน
นอกจากอัจฉริยะสวรรค์เหล่านี้ ยังมีอีกกลุ่มคนที่สามารถเข้าไปยังวิหารสวรรค์
นั่นคือกลุ่มคนที่อยู่ในวิหารมนุษย์ที่ได้ฎีกาสวรรค์...แต่นับว่าหายาก
ตัวตนของซือหยูและเซี่ยจิงหยูได้เรียกความสนใจกับหลายต่อหลายคน
หรือจะพูดให้ชัดก็คือ...ความงามของเซี่ยจิงหยูได้เรียกร้องความสนใจจากหลายต่อหลายคน
ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตน สตรีนับว่าเป็นส่วนน้อย...สตรีที่งดงามยิ่งหายาก เซี่ยจิงหยูนับว่าเป็นบุพผาแดงท่ามกลางใบไม้เขียว ความงดงามของนางยากผู้ใดเทียบ
สามคนที่อยู่ในโถง หนึ่งคนเย็นชา อีกคนเชื่องช้าเฉยเมย และอีกคนกำลังก้าวเข้ามา
เขาเป็นหนุ่มรูปงานอายุ 16 ปี เขาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มและประสานมือให้ซือหยูและเซี่ยจิงหยู
“ข้าเฟิงห่าวจากแคว้นหลูหลี่ อยากจะดูว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดกัน? เราจะต้องอยู่ด้วยอันในอนาคต...ข้าหวังว่าเราจะเกื้อกูลต่อกัน”
เขาจับจ้องไปยังเซี่ยจิงหยูตอนที่พูดว่า ‘เรา’
เซี่ยจิงหยูไม่ตอบ นางถอยหลังครึ่งก้าวและมองซือหยู
“แคว้นเฟิงหลิน ซือหยู นางคือสหายข้า เซี่ยจิงหยู ขอฝากตัวด้วย”
ซือหยูตอบอย่างสุขุม
เฟิงห่าวขมวดคิ้ว สาวน้อยดูเหมือนจะชื่นชมซือหยูไม่น้อย...หรือพวกเขาจะเป็นคู่รัก?
ความงดงามเช่นนี้นับว่าสูญเปล่าหากเทียบกับซือหยู เฟิงห่าวขยะแขยงซือหยูเล็กน้อย
เฟิงห่าวมีพลังระดับหกขั้นสูง ซือหยูมีพลังระดับห้าขั้นสูง ใครก็บอกได้ว่าเฟิงห่าวมีอนาคตอันสดใสยิ่งกว่า
แต่ใจร้อนไปก็ไม่ได้อะไร เฟิงห่าวอดทนรอ หากเวลาผ่านไปเซี่ยจิงหยูจะต้องเห็นความต่างระหว่างเขากับซือหยูแน่นอน
“ถ้ามาครบแล้ว...ตามข้ามา เราจะรับพวกเจ้าเข้าที่พัก”
ชายวัยกลางคนสวมผ้าคลุมดำก้าวมาข้างหน้า เขาสีหน้าเย็นชาเข้มงวด แกร่งยิ่งกว่าฉิวชางเจี้ยนและศิษย์พี่ชาง
ศิษย์พี่ชางมองอย่างนับถือ
“ศิษย์น้องซือ ศิษย์น้องเซี่ย พวกเจ้าจะต้องทำตามศิษย์พี่จ้าว กฎแห่งวิหารสวรรค์นั้นเข้มงวดและห้ามฝ่าฝืน เขาคือผู้ติดตามคนแรกของราชันย์สวรรค์และรับหน้าที่จัดการวิหารสวรรค์ จงจำไว้ว่าห้ามโต้แย้งเขา”
เขาเตือนอย่างอ่อนโยน
ซือหยูและเซี่ยจิงหยูมองอย่างนับถือ ผู้ติดตามคนแรกของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์! พลังของเขาช่างยากเกินประมาณ
ทุกคนตามศิษย์พี่จ้าวออกจากโถงศิษย์สวรรค์ไปยังส่วนที่พัก มีทั้งหมดสี่ห้องและมีลานฝึกของตัวเอง มีพืชหายากหลายชนิดที่มีพลังวิญญาณเข้มข้น เป็นการดีอย่างยิ่งที่จะบ่มเพาะพลัง
“นี่คือที่พักของพวกเจ้าทั้งห้า เรามีเพียงสี่ห้อง คนที่เกินหนึ่งคนจะต้องแบ่งห้องร่วมกับหนึ่งคน...แล้วแต่พวกเจ้าจะตัดสินใจ”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ--
ซือหยู เฟิงห่าว และคนอื่นรวดเร็วและยึดห้องของตัวเอง
เซี่ยจิงหยูเขินอายมิกล้าแข่งขันชิงห้อง นางจึงเป็นคนที่เหลือ
เฟิงห่าวยิ้ม
“แม่นางเซี่ย หากไม่ถือ เราแบ่งห้องร่วมกันได้ ในห้องมีสองส่วน พอสำหรับเราทั้งคู่”
เซี่ยจิงหยูเลิกคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความขยะแขยง นางจะแบ่งห้องร่วมกับบุรุษแปลกหน้าได้อย่างไร?
“จิงหยู เจ้าอยากได้ฝั่งซ้ายหรือขวา?”
ซือหยูตรวจสอบห้องของตน เขายืนถามความเห็นนางที่ประตู
เซี่ยจิงหยูยิ้มออกและรีบเข้าห้องซือหยู นางบินราวกับผีเสื้อ
“ข้าขอฝั่งขวา”
นางมิลังเลที่จะอยู่ร่วมหอกับซือหยูเพราะซือหยูทำให้นางรู้สึกสงบใจอยู่เสมอ นางมิได้กังวลว่าซือหยูจะคิดร้ายแม้แต่น้อย
เฟิงห่าวหน้าถอดสี
เซี่ยจิงหยูขยะแขยงเขาแต่กลับยอมรับซือหยูอย่างรวดเร็ว
ความพร้อมยอมรับซือหยูของนางทำให้เฟิงห่าวไม่พอใจ ซือหยูดีกว่าเขาที่ใดกัน? นางมิได้เข้าใจหรือว่าในเส้นทางนี้พลังคือทุกสิ่ง? แม้นางจะเจอซือหยูมาก่อน...นางก็มิควรจะปฏิเสธเฟิงห่าวเช่นนี้
“ดีล่ะ ตอนนี้พวกเราจะไปเอาอาหารและน้ำ มีเวลารับอาหารชัดเจน ใครที่ช้าจะมิได้สิ่งใด”
ศิษย์พี่จ้าวเดินนำอย่างเย็นชา
ไม่นานพวกเขาก็ถึงโถงกว้าง จานอาหารด้านในโถงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แม้ได้กลิ่นก็ดูเหมือนจะเพิ่มพลังของพวกเขาได้
“ทุกจานในวิหารสวรรค์ปรุงจากสมบัติสวรรค์และโลก เป็นผลดีต่อการบ่มเพาะพลัง...หากพวกเจ้ามีโอกาส”
ศิษย์พี่จ้าวเดินจากไป ทิ้งทั้งห้าคนเอาไว้ในโถง
หากมีโอกาสงั้นรึ? ตอนที่กินจะต้องใช้โอกาสอะไรกัน?
ไม่นานเมื่อได้อาหาร ซือหยูก็ตกตะลึง
ซือหยูได้แครอทดอง เซี่ยจิงหยูได้ขนมปังแห้งกรัง และเฟิงห่าวได้เพียงของเหลือ
อาหารนี่แย่กว่าปกติมาก แย่กว่าที่ครอบครัวบนโลกมนุษย์กินกันเสียอีก ราวกับอาหารของขอทาน
ที่ไม่น่าเชื่อกว่านั้นก็คือสุนัขที่นั่งอยู่ตรงประตู จานอาหารของมันมีอาหารที่ทำจากวัตถุดิบชั้นยอด
อาหารของพวกเขานั้นคือสิ่งที่วิหารสวรรค์เจียดมาให้ แต่พวกเขากลับให้อาหารชั้นยอดกับสุนัข...นี่มัน….
เฟิงห่าวไม่พอใจ
“เกินไปแล้ว! เราเป็นผู้ติดตามที่มาใหม่ แต่อาหารพวกเราแย่ยิ่งกว่าสุนัข!”
“เจ้าจะตะโกนเพื่อสิ่งใด? หากเจ้าอยากได้ดีกว่านี้ก็ไปเอามาสิ!”
ศิษย์พี่ที่เดินเคี้ยวขนมเดินผ่านมาพร้อมกับตะโกนใส่อย่างไม่พอใจ
อาหารที่ทำจากสมบัติวัตถุดิบพิเศษนั้นมีจำกัดสิบเอ็ดจานต่อวัน
สิบจานถูกบริการให้กับศิษย์สวรรค์ที่แกร่งที่สุดสิบคน...และอีกจานเป็นของสุนัข
ความหมายแจ่มชัด...หากอยากได้อาหารที่ดี...จงเป็นหนึ่งในสิบ มิเช่นนั้นจะได้กินแย่ยิ่งกว่าสุนัข
ความอัปยศเช่นนี้ใช้ได้ดีในการจูงใจผู้คน
พวกเขา...ผู้ชนะไร้เทียมทานในแคว้น และตอนนี้ยังเป็นคนในวิหารสวรรค์...จะยอมรับการกินอยู่ที่แย่ยิ่งกว่าสุนัขได้อย่างไร?
ในวิหารสวรรค์นี้การสังหารหรือทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บนับว่าต้องห้าม แต่กฎนี้มิได้ครอบคลุมสิ่งที่มิใช่มนุษย์
ชัดเจนแล้วว่า หากอยากจะกินดีกว่าสุนัขก็มีแค่ทางเดียว....คือการใช้หมัดของตัวเอง!
ศิษย์สวรรค์สิบอันดับแรกออกไปทางโถงแทบจะหมดแล้ว เหลือเพียงสองคนที่กำลังหยิบจานของตน อาหารของลำดับที่เก้ามีพลังมากกว่าและดีกว่าลำดับที่สิบ
ซือหยูประมานไว้ว่าถ้าหากที่กินอาหารเหล่านั้นสิบครั้งจะทำให้เขาบรรลุพลังระดับหก!
เหนือจินตนาการกว่าตอนที่อยู่ในแคว้นที่การกินสามารถทำให้เลื่อนระดับพลังได้...มีเพียงวิหารเท่านั้นที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้
เฟิงห่าวแววตาหม่นหมอง เขาก้าวยาวไปข้าวหน้าและยิ้ม
“ศิษย์น้องเซี่ย รอสักครู่ ให้ศิษย์พี่ไปเอาอาหารมาให้เจ้า!”
เซี่ยจิงหยูขมวดคิ้ว นางไม่มีโอกาสจะได้ปฏิเสธด้วยซ้ำก่อนที่เฟิงห่าวจะก้าวออกไป
ศิษย์สวรรค์ลำดับสิบนั้นเป็นสาวน้อยวัยเยาว์ท่าทางสงบเสงี่ยม นางมีพลังระดับหกขั้นกลางเช่นเดียวกับเฟิงห่าว
นางเพิ่งจะกลับจากบ้านเกิดและต้องเฝ้ายามกลางคืนสองวัน
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา