บทที่ 5 ความตื่นตกใจและหญิงสาวลึกลับ
ภูเขาชีเจี่ยว
เซียวเฉินเดินขึ้นไปที่ยอดเขา หลังจากที่ได้ฝึกฝนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบแหลมขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าป่าในภูเขานั้นเต็มไปด้วยพลังปราณแห่งสวรรค์และโลก และตอนนี้ เขาก็กำลังมองหาพื้นที่ที่มีพลังปราณหนาแน่นที่สุดบริเวณเทือกเขาโดยรอบ
แม้ว่าเขาจะหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณต่อสู้ไม่สำเร็จ แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ในตำราบ่มเพาะพลัง นอกจากทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ซึ่งเป็นรากฐานในการบ่มเพาะพลัง มันยังมีวิธีการปรุงเม็ดยาอยู่ด้วย
ด้วยประสบการณ์ของเขาในตอนนี้มันยังอีกห่างไกลนักกว่าจะปรุงเม็ดยาได้ แต่เขาพบว่าสมุนไพรในโลกนี้เหมือนกับที่บันทึกไว้ในตำราบ่มเพาะพลัง ตราบใดที่เขาฝึกฝนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ไปนานๆและสามารถสร้างเปลวเพลิงได้ เขาก็จะสามารถกลั่นเม็ดยาได้ ด้วยความช่วยเหลือจากเม็ดยา มันอาจทำให้เขามีความหวังอยู่บ้างที่จะหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณต่อสู้
ทันใดนั้นด้วยการรับรู้ของเซียวเฉิน เขาได้สังเกตเห็นพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตรที่อยู่ด้านหน้าเขา ดูเหมือนว่าที่ตรงนั้นจะมีพลังปราณหนาแน่นอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นและจ้องมองมันอย่างละเอียด พืชพันธ์ุบริเวณนั้นทั้งเขียวชอุ่มและแข็งแรงและมีต้นไม้หนาแน่นกว่าบริเวณอื่นเซียวเฉินจึงยิ้มออกมา ในที่สุดเขาก็เจอสถานที่ที่มีพลังปราณหนาแน่น เขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ตรงนั้นทันที
เมื่อเซียวเฉินอยู่ใกล้สถานที่ที่มีพลังปราณหนาแน่น จู่ๆเซียวเฉินก็หยุดนิ่งอย่างฉับพลัน สถานที่แบบนี้มักจะมีสัตว์อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งดักซุ่มอยู่รอบๆ การรับรู้ของสัตว์อสูรวิญญาณนั้นดีกว่ามนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะไม่รู้สึกถึงสถานที่แห่งนี้
เขาต้องพบมันเป็นคนแรก สัตว์อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดบริเวณนี้มีความแข็งแกร่งเพียงแค่ระดับ 2 เทียบได้กับมนุษย์ที่อยู่จุดสูงสุดขอบเขตจอมยุทธฝึกหัด ด้วยระดับบ่มเพาะพลังของเซียวเฉินในปัจจุบันและทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเขาใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมรอบตัวของเขา เขาก็สามารถหาโอกาสที่จะสังหารพวกมันได้
มีสายลมอันหนาวเย็นพัดผ่านทำให้ใบไม้เต้นอยู่ในอากาศอย่างงดงาม เซียวเฉินใช้จมูกของเขาเพื่อสูดลมหายใจและได้กลิ่นอายของเลือดที่ลอยมากับสายลม ถ้าจมูกของเซียวเฉินไม่ดีพอ เขาอาจไม่ได้กลิ่นของมัน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสัตว์อสูรวิญญาณที่เขากำลังตามหาอยู่ได้ถูกสังหารโดยใครบางคนไปแล้ว? เซียวเฉินคิดอย่างรอบคอบด้วยความสงสัยบางอย่าง จากนั้นเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอีกสองสามเก้า จนกระทั่งเห็นร่างของสัตว์อสูรวิญญาณตายอยู่ใต้ต้นไม้
หลังจากที่เซียวเฉินเขยิบเข้ามาดูใกล้ๆ เขารู้สึกตกใจมาก สัตว์อสูรวิญญาณที่ตายแล้วตัวนี้คือจิ้งจอกสองหาง เมื่อมองดูบาดแผลบนร่างกายของมัน เขาสังเกตเห็นเพียงแค่รอยดาบบนคอของมัน นั่นหมายความว่ามันถูกฆ่าเพียงแค่ดาบเดียวโดยฝีมือของใครบางคน
จิ้งจอกสองหางเป็นสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 2 มันมีชื่อเสียงในเรื่องความเร็วไม่มีสัตว์อสูรวิญญาณตัวใดในภูเขาชีเจี่ยวเทียบกับมันได้ในแง่ของความเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นสัตว์อสูรวิญญาณที่ฉลาดหลักแหลมมาก หากมันพบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง มันจะใช้โอกาสแรกเพื่อหลบหนีทันที
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณากับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเห็นได้ชัดว่ามันถูกฆ่าทันทีโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบหนี เมื่อเซียวเฉินคิดเช่นนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกขนลุก
จิ้งจอกสองหางนั้นรวดเร็วมาก เช่นนั้นการโจมตีนั่นมันจะต้องรวดเร็วแค่ไหนกันถึงสังหารมันได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว? คนที่ทำเช่นนั้นได้จะต้องเป็นคนที่อยู่ขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธเป็นอย่างน้อย
ทันใดนั้น เสียงของการเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาได้ดังมาจากด้านหลังเขา และความรู้สึกอัตรายบุกเข้าไปในหัวใจของเขา บัดซบ! เซียวเฉินรีบตอบโต้ เขาโคจรทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างรวดเร็ว และโคจรไปอยู่ที่เท้าของเขาทำให้พลังงานอันร้อนแรงรวมอยู่ที่เท้าของเขา จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า
มือของเขาคว้าจับไปที่กิ่งไม้ที่อยู่สูง 2 เมตร และม้วนตัวกลับไปยืนอยู่บนกิ่งไม้นั่น
จากนั้นเซียวเฉินแตะไปที่แผ่นหลังของตัวเขาและพบรอยบาดแผลจากดาบ บาดแผลมันไม่ลึกมากนัก แต่ก็มีเลือดออกมาค่อนข้างเยอะ หลังจากมองเลือดที่อยู่บนมือของเขา เซียวเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถ้าเมื่อครู่เขาหลบไม่ทัน ดาบนั่นคงจะผ่าเขาออกเป็นสองส่วนแล้ว
เซียวเฉินมองลงไปยังเบื้องล่างเพื่อดูว่าใครเป็นคนโจมตีเขาและพบว่าคนที่โจมตีเขาเป็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่งที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี ใบหน้าของนางดูงดงาม และผิวพรรณของนางดูขาวเนียน นางมีเส้นผมสีดำที่มัดผมหางม้าพาดอยู่บนไหล่ และใบหน้าของนางดูน่ารักราวกับบุปผา
เมื่อรวมกับเสื้อผ้าสีเขียวที่นางกำลังสวมใส่อยู่ทำให้นางดูคล้ายกับเทพธิดา แต่ทว่าดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดวงตาทั้งสองข้างของนางดูหนาวเย็นอย่างไม่น่าเชื่อและภายใต้การจ้องมองของนางแม้แต่อากาศก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็ง
หญิงสาวผู้นี้ถือดาบอยู่ในมือ ซึ่งมันกำลังเปล่งแสงอันหนาวเย็นออกมา ตัวดาบของนางกำลังเปล่งแสงจันทร์อันเลือนลางออกมาเผยให้เห็นว่ามันเป็นอาวุธจิตวิญญาณ
ในทวีปเทียนหวู่นั้นมีธาตุพิเศษอยู่ นั่นคือศิลาแสงจันทร์ เมื่อช่างตีเหล็กสร้างอาวุธ หากพวกเขาผสมผงศิลาแสงจันทร์เข้าไป คุณภาพของอาวุธจะสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นอาวุธจิตวิญญาณ
อาวุธจิตวิญญาณนั้นทรงพลังมาก นอกเหนือจากความจริงที่ว่ามันมีความแหลมคมมากอยู่แล้วนั้น พวกมันสามารถผสานเข้ากับจิตวิญญาณต่อสู้ได้ด้วย ซึ่งจะยกระดับบ่มเพาะพลังของผู้ใช้ไปถึงจุดสูงสุด
หญิงสาวผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก เซียวเฉินตรวจสอบความทรงจำของเขาเป็นเวลานานก่อนที่จะนึกออก เมื่อเห็นหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขากำลังจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาจึงรีบพูดออกไปว่า "พี่เซียวอวี่หลัน ได้โปรดรอก่อน ข้าเซียวเฉิน ท่านลืมข้าไปแล้วหรือ?"
หญิงสาวผู้นี้เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสหนึ่ง อวี่หลัน เมื่อดูจากแผนผังครอบครัวแล้ว นางเป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งมารดาของเขา เซียวเฉินไม่คุ้นเคยกับนางมากนัก ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของเขาเป็นคนที่รักสันโดษมาตั้งแต่เด็ก เขาแทบจะไม่เห็นนางเลยหลังจากที่อายุ 10 ปี และสิ่งที่เขาได้ยินมาทั้งหมดเกี่ยวกับนางคือนางฝึกบ่มเพาะพลังตามลำพังและดูเหมือนจะมีความลึกลับอยู่มาก
เซียวอวี่หลันขมวดคิ้ว ราวกับว่านางกำลังขบคิดอยู่และเก็บดาบของนาง จากนั้นนางเริ่มอ้าปากและพูดด้วยน้ำเสียงเชิงขอโทษว่า "ข้าขอโทษ น้องเซียวเฉิน เจ้ามาทำอะไรที่นี่?"
หลังจากที่เห็นนางเก็บดาบ เซียวเฉินก็ถอนหายใจออกมา เขากระโดดลงจากกิ่งไม้และกล่าวอธิบายว่า "ข้าเห็นว่าพลังปราณในสถานที่แห่งนี้มันหนาแน่นนัก ดังนั้นข้าเลยอยากฝึกบ่มเพาะพลังที่นี่"
"ในอนาคต เมื่อน้องเซียวเฉินเข้ามาในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังปราณแบบนี้อีก เจ้าต้องระมัดระวังให้มากขึ้น สถานที่แบบนี้มักจะมีสัตว์อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งปกป้องมันอยู่..." เซียวอวี่หลันหยุดพูดอย่างฉับพลันราวกับว่านางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และนำขวดหยกออกมาแล้วส่งมันให้กับเซียวเฉิน
"นี่คือยาบรรเทาคุณภาพสูง มันสามารถรักษาแผลจากดาบบนหลังของเจ้าได้ ข้าได้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่มาสองสามวันแล้วและขับไล่สัตว์อสูรวิญญาณออกไปหลายตัวที่ต้องการฉกฉวยพื้นที่แบบนี้ น้องเซียวเฉิน เจ้าสามารถพักผ่อนและอยู่บ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่ได้ ยาบรรเทานี่ถือว่าเป็นค่าชดเชยสำหรับเจ้า เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวลา"
เซียวเฉินรับยาบรรเทาและจ้องมองภาพอันงดงามของเซียวอวี่หลันที่กำลังจากไป นางได้ฆ่าจิ้งจอกสองหางด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว...ด้วยพลังระดับนี้ นั่นหมายความว่านางแข็งแกร่งกว่าเซียวเจี้ยนผู้หยิ่งยโสมาก
แต่แล้วทำไมนางถึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา? เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอยู่ในภูเขาชีเจี่ยวนี่ตลอดเพื่อบ่มเพาะพลังและสังหารสัตว์อสูรวิญญาณทุกตัว?
เซียวเฉินขบคิดอย่างรอบคอบอยู่ชั่วครู่และสรุปได้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้มาก การแสดงออกของเซียวอวี่หลันในตอนที่นางจ้องมองเขามันราวกับว่านางกำลังจ้องมองสัตว์อสูรวิญญาณอยู่ นางไม่มีความรู้สึกอารมณ์ใดๆเลยแม้แต่น้อย ถ้าเขาไม่ได้เรียกชื่อของนางออกมากระทันหัน เขาอาจกลายเป็นซากศพไปแล้ว
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาเพราะเขามีเวลาเหลืออยู่ไม่มากนัก พลังปราณในสถานที่แห่งนี้มีมากมายเหลือล้น ดังนั้นเขาจำเป็นต้องบ่มเพาะพลังก่อนเป็นอันดับแรกแล้วค่อยทำสิ่งอื่น เขาพบต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่โตและกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของมัน หลังจากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิและโคจรทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูดซับพลังปราณที่อยู่รอบๆ