ตอนที่ 108 องค์ชายจักรพรรดิที่สาม
หลิงฮันอุ้มฮูหนิวและเดินออกจากห้องไป โดยมีฉีซางไต๋เดินไปกับพวกเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม ฟูหยวนเชิงนั้นเป็นจอมยุทธในระดับระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ในตอนที่ทั้งสามคนเดินออกประตูไป มันได้สติกลับมาและเดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว “นายน้อยฮัน นายน้อยจะกลับแล้วรึ?”
“อืม หน้าที่ของข้าจบแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องกลับ” หลิงฮันแกว่งขวดในมือที่มีเม็ดยาสองดาราเจ็ดเม็ดอยู่ข้างในด้วยความพึงพอใจ
“ได้โปรดให้ข้าเป็นคนไปส่งนายน้อยเอง!” ฟูหยวนเชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ มันเคารพในทักษะปรุงยาของหลิงฮันจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลิงฮันยิ้มและพยักหน้า ถ้าฟูหยวนเชิงต้องการจะไปส่งเขา ยังไงก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
พวกเขากำลังจะเดินลงบันไดไปชั้นล่าง และเมื่อพวกเขาเดินใกล้ถึงบันได คนรับใช้หนุ่มได้เดินเข้ามาและพูด “ผู้นำตำหนัก องค์ชายสามแสดงความประสงค์อยากจะพบท่าน”
“โอ้?” ใบหน้าของฟูหยวนเชิงไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมาและพูดกลับไป “ข้ากำลังจะลงไปพอดี เจ้ากลับไปทำงานของเจ้าได้แล้ว”
“ขอรับ!” คนรับใช้หนุ่มพยักหน้าอย่างรวดเร็ว มันเพิ่งจะสังเกตเห็นหลิงฮันและฉีซางไต๋ ซึ่งทำให้มันอ้าปากค้างในทันที เพราะว่าพวกเขามีฟูหยวนเชิงเป็นคนเดินนำทางให้ แน่นอนว่ามันจะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก
นี่คือฟูหยวนเชิง หนึ่งในคนที่มีอำนาจและได้รับความเคารพมากที่สุดของแคว้นพิรุณเลยนะ!
ในไม่ช้าทั้งสามคนก็ลงมาถึงชั้นล่าง พวกเขามองเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวกำลังยืนอยู่ที่นั่น ทั้งสองคนยืนตัวตรงมั่นคง แสดงให้เห็นว่ามีความอดทนที่จะรอแค่ไหน
ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาว ที่แล้วมีอายุประมาณยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปี ชายหนุ่มค่อนข้างสูงและกำยำ ดวงตาของมันส่องประกายและแหลมคมราวกับว่ามันสามารถมองลึกเข้าไปยังจิตใจของคนอื่นได้
หญิงสาวมีรูปร่างที่สมส่วนและน่าดึงดูดจนสามารถทำให้ผู้ชายทั่วไปน้ำลายไหลออกจากปากได้ ใบหน้าของนางนั้นงดงาม ผิวของนางเรียบเนียนดั่งหยก และผมของนางเป็นสีแดงเพลิงทำให้นางดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
ชายหนุ่มที่ว่าคือองค์ชายสาม ฉีเฟิงหยุน แต่ผู้หญิงอีกคนล่ะ?
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย เพราะผู้หญิงคนนี้อยู่ในระดับก่อเกิดธาตุ
...ในสถานที่เล็กๆอย่างแคว้นพิรุณ จอมยุทธที่สามารถบรรลุถึงระดับก่อเกิดธาตุก่อนอายุสามสิบเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่น่าตะลึงแล้ว ดังนั้นนางจะต้องถูกจัดอยู่ในกลุ่มเหล่าอัจฉริยะแน่นอน
“ผู้นำตำหนัก!” องค์ชายสามทักทายอย่างสุภาพเมื่อเห็นฟูหยวนเชิง จริงอยู่ที่มันเป็นถึงองค์ชายสาม แต่ถึงแม้มันจะได้สืบทอดบัลลังก์และกลายเป็นจักรพรรดิในสักวัน มันก็ยังต้องปฏิบัติต่อฟูหยวนเชิงด้วยความสุภาพอย่างถึงที่สุดอยู่ดี
“ซางไต๋ขอคารวะองค์ชายจักรพรรดิสาม!” ฉีซางไต๋โค้งเล็กน้อยเพื่อทักทายองค์ชายสาม
“อืม รอสักครู่ ให้ข้าออกไปส่งแขกผู้มีเกียรติคนนี้ก่อน” ฟูหยวนเชิงพูดและพยักหน้าให้กับองค์ชายสาม
แขกผู้มีเกียรติ?
องค์ชายสามมองไปยังหลิงฮันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะว่ามีเพียงสามคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างหลังฟูหยวนเชิง ฉีซางไต๋เป็นคนของราชวงศ์ต้าหยวน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากฟูหยวนเชิง ส่วนฮูหนิวนั้นยังเด็กเกินไป
เด็กหนุ่มคนนี้... คือคนที่ฟูหยวนเชิงเรียกว่าแขกผู้มีเกียรติและต้องออกไปส่งด้วยตัวเองเลยงั้นรึ?
แปลกมาก มันได้รับแจ้งข่าวสารทุกอย่างที่สำคัญของเมืองจักรพรรดิ แต่เป็นไปได้อย่างไรที่ตัวตนเช่นนี้จะปรากฏขึ้นโดยที่มันไม่รู้?
“เชิญผู้นำตำหนักตามสะสวก!” มันรีบพูดออกไป
เมื่อฟูหยวนเชิงพาหลิงฮันออกประตูไป มันได้ชวนให้หลิงฮันมาหามันที่ตำหนักโอสถสวรรค์บ่อยๆก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าตำหนักไปอย่างรวดเร็ว มันดูมีท่าทางร้อนรนอย่างมาก... แน่นอนว่ามันกำลังรีบร้อนเพื่อกลับไปศึกษาผนึกสี่วิถี
หลิงฮันเดินอยู่ด้วยกันกับฉีซางไต๋ ในขณะที่ฮูหนิวโบกมือเล็กๆของนางไปมาด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับพูดไม่หยุดว่า “เนื้อ! เนื้อ! เนื้อ!”
“น้องชายตรงนั้นน่ะ!” องค์ชายสามได้เดินตามพวกเขามา
หลิงฮันหยุดชะงักและมองไปยังองค์ชายสาม “หืม?”
ไม่ใช่ว่าองค์ชายสามมาหาฟูหยวนเชิงหรอกรึ? แล้วทำไมถึงตามพวกเรามาล่ะ? เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะจู่ๆก็มีคนที่แม้แต่ฟูหยวนเชิงยังต้องเคารพปรากฏตัวขึ้นมาที่เมืองจักรพรรดิ ในฐานะที่เป็นองค์ชายสาม มันจึงอยากรู้ว่าตัวตนเช่นนั้นเป็นคนอย่างไร
ต้องเข้าใจก่อนว่าจักรพรรดิพิรุณมีบุตรทั้งหมดสิบเจ็ดคน ในทั้งสิบเจ็ดคนนี้ มีอย่างน้อยห้าคนที่มีคุณสมบัติแย่งชิงบัลลังก์ องค์ชายสามจึงอยากจะเป็นสหายกับคนที่มีความสามารถเพื่อรวบรวมฐานอำนาจเพื่อที่ว่าวันหนึ่งมันจะได้เข้าร่วมแข่งขันแย่งชิงบัลลังก์
“ข้าคือฉีเฟิงหยุน น้องชายจะช่วยบอกชื่อของเจ้ามาได้รึไม่?” องค์ชายสามปฏิบัติต่อหลิงฮันอย่างสุภาพ
หลิงฮันยิ้มจางๆและพูด “ชื่อของข้าคือหลิง.. หลิงฮัน”
“น้องชายหลิง ข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการ ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะพูดคุยกันนานเท่าไหร่ ข้าหวังว่าน้องชายหลิงจะรับของขวัญชิ้นนี้จากข้าเอาไว้ ข้าเชื่อว่าในเมืองจักรพรรดิจะมีผู้คนจำนวนมากที่ยอมไว้หน้าน้องชายเพราะของสิ่งนี้” องค์ชายสามหยิบเหรียญตราสีม่วงออกมามอบให้หลิงฮัน
“ขอบคุณมาก” หลิงฮันไม่ได้แสดงท่าทีถ่อมตัวและรับเหรียญตราจากองค์ชายสามมา
“น้องชายหลิง เมื่อข้าทำธุระเหล่านี้เสร็จแล้ว ข้าจะไปหาน้องชายเพื่อพูดคุยด้วยแน่นอน” องค์ชายสามพูดพร้อมกับประสานมือคารวะไปทางหลิงฮันก่อนที่จะจากไปพร้อมกับสตรีที่งดงามข้างหลัง
หลิงฮันยิ้มในขณะที่มองไปยังเหรียญตราในมือ และเก็บมันใส่กระเป๋าไป
“หลิงฮัน นั่นคือเหรียญตราขององค์ชายสาม จากที่คนอื่นพูดกัน ผู้ที่ครอบครองเหรียญตรานั่นจะสามารถกินดื่มที่ร้านอาหารใดในเมืองจักรพรรดิก็ได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญเดียว เพราะทุกๆอย่างจะถูกจ่ายโดยองค์ชายสาม” ฉีซางไต๋พูดด้วยความอิจฉา
หลิงฮันชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะหัวเราะดังขึ้นมา
ฉีซางไต๋รู้สึกสงสัยจึงได้ถามเขาว่าหัวเราะทำไม
“ข้าคิดว่าองค์ชายสามคนนั้นจะต้องเสียใจที่มอบมันให้ข้าแน่นอน” หลิงฮันพูด
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่ามีจอมตะกละอยู่ที่นี่ไงล่ะ!” หลิงฮันพูดพร้อมกับลูบหัวฮูหนิว
ฉีซางไต๋ยังคงไม่เข้าใจ ฮูหนิวเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ถึงแม้นางจะกินตั้งแต่เช้ายันค่ำ นางจะกินเข้าไปได้สักเท่าไหร่กันเชียว?
“ในโลกนี้มีคนที่ใจกว้างขนาดนี้อยู่จริงๆ!” หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงสงสาร
ทั้งสามคนไปหาอะไรกินที่ร้านอาหาร เมื่อเห็นความตะกละของฮูหนิว ในที่สุดฉีซางไต๋ก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลกับญาติพี่น้องของนางขึ้นมา มีโอกาสสูงมากที่ฉีเฟิงหยุนจะกลายเป็นคนยากจนเพราะจำนวนอาหารที่ฮูหนิวกินเข้าไป
***
ณ สำนักฮูหยาง ห้องของเฟิงหลัว
“บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ!” เว่ยเหอเลอกำลังเดินวนไปมาในห้องราวกับคนบ้า ดวงตาของมันแดงก่ำและมีสีหน้าบูดบึ้ง เดินวนไปสักพักมันก็หยุดและพูดกับเฟิงหลัว “เจ้าเชื่อไหม? เจ้าเชื่อรึเปล่า? อาจารย์ใหญ่หวู่ไล่ข้าออกจากสาขาปรุงยา!”
ปาดของเฟิงหลัวกระตุกสองสามครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เว่ยเหอเลอคร่ำครวญและบ่นเรื่องนี้ให้มันฟัง มันลองนับในใจ... นี่น่าจะเป็นครั้งที่สามสิบเจ็ดหรือสามสิบแปดแล้ว? ก่อนหน้านี้มันได้พูดปลอบเว่ยเหอเลอไปหลายครั้งจนตอนนี้มันไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป
เมื่อเว่ยเหอเลอสูญเสียสถานะและกลายเป็นเพียงนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำ เฟิงหลัวจึงไม่ได้เก็บเรื่องของอีกฝ่ายมาคิดจริงจัง
“เป็นเพราะเจ้านั่น เจ้าบัดซบนั่น!” ดวงตาเว่ยเหอเลอดูราวกลับจะปล่อยไฟออกมาได้
มันเคยเป็นคนที่ถูกสรรเสริญ และยืนอยู่บนจุดที่สว่างไสวโดยการเป็นอัจฉริยะนักปรุงยา แม่แต่คนจากตระกูลราชวงศ์หรือตระกูลชนชั้นสูงก็ยังต้องปฏิบัติกับมันด้วยความเคารพ แต่ตอนนี้ราวกับมันได้ตกจากยอดเขาลงมาสู่ก้นหลุม อนาคตของมันมีแต่ความมืดมนและอ้างว้าง
...คนที่ไล่ออกมาโดยหวู่ซงหลิน นักปรุงยาคนไหนจะกล้ารับมันเป็นศิษย์กัน?
ยิ่งกว่านั้น ทักษะปรุงยาจะพัฒนาได้ก็จำเป็นต้องได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากอาจารย์ ถ้าจะให้พึ่งการเรียนรู้ด้วยตัวเอง มันจะประสบความสำเร็จสักเท่าใดกันเชียว?
นั่นหมายความว่าชีวิตของมันได้จบลงแล้ว
เมื่อเฟิงหลัวเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันช่วยไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นมา “นายน้อยเว่ย ข้ามีแผนการบางอย่างที่จะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเจ้านั่น” มันสูญเสียฟันไปหลายซี่จนทำให้ต้องฝืนพูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่ชัด คนที่ฟังต้องแปลความหมายสิ่งที่มันพูดออกไปอย่างถี่ถ้วนถึงจะเข้าใจได้ว่ามันพยายามจะพูดว่าอะไร
“โอ้ แล้วเจ้ามีแผนการอะไรล่ะ?” เว่ยเหอเลอหันไปมองทันที ตัวมันในตอนนี้ได้สูญเสียทุกอย่างไปแล้ว มันจึงกลายเป็นคนบ้าที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้นหลิงฮัน
“สิ่งนี้ไงล่ะ!” เฟิงหลัวหยิบเหรียญตราสีม่วงออกมา
“มันคืออะไร?” เว่ยเหอเลอถามด้วยความมึนงง
“นี่คือเหรียญขององค์ชายสาม” เฟิงหลัวพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “นี่คือสิ่งที่องค์ชายสามมอบให้กับพี่ชายข้า ลองคิดดูสิ ถ้าข้าบอกว่าข้าทำเหรียญตรานี้หายและเหรียญตรานี้ได้ไปถูกพบอยู่ที่ที่พักของหลิงฮัน ทางสำนักจะจัดการกับมันอย่างไร? และองค์ชายสามจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?”
ดวงตาของเว่ยเหอเลอเป้นประกายขึ้นมา ‘ใส่ร้ายหลิงฮัน!’
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*