ตอนที่แล้วตอนที่ 103 แก่นแท้แห่งดาบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 105 ยอมรับความพ่ายแพ้

ตอนที่ 104 อับอายที่ไม่มีเงิน


ม่อเกาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

 

ในความคิดของมัน ศิษย์ทุกคนที่ถูกผลักไสให้มาเป็นลูกศิษย์ของมันจะต้องเป็นคนที่เข้าสำนักโดยการใช้เส้นสาย ศิษย์คนนั้นจึงไม่มีพรสวรรค์ที่จะก้าวหน้ามากนัก และที่มันบรรยายออกมาเมื่อสักครู่... ไม่ใช่เพราะว่ามันกำลังชี้แนะหลิงฮัน แต่มันแค่อยากจะพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของมันมานานออกไป ใช่แล้ว...มันแค่อยากจะมีใครสักคนมารับฟัง

 

มันพูดออกไปโดยไม่สนใจว่าหลิงฮันจะเข้าใจสิ่งที่มันพูดรึไม่

 

มันไม่เคยนึกเลยว่าหลิงฮันจะเข้าใจสิ่งที่มันพูดออกไปจริงๆ ยิ่งกว่านั้นหลังจาก หลังจากซึมซับความรู้ที่มันบรรยายออกมา หลิงฮันก็สามารถสร้างปราณดาบเล่มใหม่ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

 

ถ้าเป็นเพียงปราณดาบเล่มแรกมันคงยังพอยอมรับได้ แต่ประเด็นก็คือหลิงฮันครอบครองปราณดาบห้าเล่มอยู่ก่อนแล้ว!

 

ปราณดาบห้าเล่มมันหมายความว่าอะไร?

 

ปราณดาบสามเล่มจะถูกเรียกว่าเป็นราชา สำหรับปราณดาบห้าเล่ม... นี่คืออัจฉริยะที่แท้จริง และดูเหมือนว่าเขาจะอยู่เหนือคนรุ่นเดียวกันทุกคนในแคว้นพิรุณอีกด้วย แต่ทำไมอัจฉริยะเช่นนี้ถึงได้ถูกส่งมาให้ตัวมันเป็นคนชี้แนะ?

 

ม่อเกาไม่สามารถเข้าใจได้เลยจริงๆ แต่ความคิดของมันก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มันรู้สึกดีใจมาก เพราะว่าตอนนี้หลิงฮันเป็นศิษย์ของมัน ยิ่งลูกศิษย์ประสบความสำเร็จมากขนาดไหน คนเป็นอาจารย์เช่นมันก็จะภาคภูมิใจมากขนาดนั้น

 

“อาจารย์ มีบางส่วนที่ข้าไม่เข้าใจ” หลิงฮันพูดถามม่อเกาหลังจากที่เก็บดาบกลับเข้าฟัก

 

ถ้าเป็นความเข้าใจในเรื่องวรยุทธ เขามีคุณสมบัติเป็นถึงปรมาจารย์ของปรมาจารย์ของม่อเกาได้เลย แต่ถ้าพูดถึงความเข้าใจในวิถีดาบ ม่อเกานั้นอยู่เหนืกว่าเขา เหตุผลก็ง่ายๆ อย่างแรกเป็นเพราะมันเก็บตัวฝึกฝนทักษะดาบมาเป็นเวลาสิบกว่าปี และอย่างที่สองเป็นเพราะมันคือนักดาบอัจฉริยะ

 

“เรื่องอะไรที่เจ้าไม่เข้าใจ เพียงแค่ถามข้ามา” ม่อเกาพูดตอบทันที เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วที่มันมีลูกศิษย์มาถามคำถาม

 

หลิงฮันถามสิ่งที่เขาสงสัยออกไป และม่อเกาได้บรรยายชี้แนะโดยอ้างอิงจากความเข้าใจของตัวมันเอง จากการพูดคุยถามตอบกับม่อเกา หลิงฮันได้รู้แจ้งเกี่ยวกับความเข้าใจในวิถีดาบมามากมาย ถึงแม้หลิงฮันจะไม่ได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนดาบมากนัก แต่ความรู้ของเขาเป็นของอดีตจอมยุทธระดับสวรรค์ ดังนั้นคำถามที่เขาถามออกไปจึงเป็นแก่นแท้ของวิถีดาบทั้งหมด

 

ม่อเกาทำเสียง ‘โอ้’ ’อืม’ อย่างต่อเนื่อง ดวงตาของมันส่องประกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของมันมีทั้งดีใจและผิดหวัง พวกเขาพูดคุยกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนบ่าย ม่อเกาถอนหายใจยาวและพูด “พรสวรรค์ในวิถีดาบของเจ้ามีมากกว่าข้า ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า เอาแบบนี้เป็นยังไง พวกเราจะปฏิบัติต่อกันราวกับเป็นสหายรุ่นเดียวกัน และจะคอยมาแลกเปลี่ยนความรู้ต่อกันและกัน”

 

หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ในด้านวิถีดาบ อาจารย์ม่อมีคุณสมบัติที่จะเปนอาจารย์ของข้า ถึงแม้สักวันข้าจะก้าวข้ามท่านในวิถีแห่งดาบ ข้าก็จะไม่ลืมความเมตตาที่อาจารย์ม่อชี้แนะข้าในวันนี้”

 

ม่อเการู้สึกตื้นตันใจ มันได้พบกับลูกศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะไร้ที่เปรียบเข้าแล้วจริงๆ น่าเสียดายที่มันไม่มีคุณสมบัตินำหลิงฮันมาเป็นศิษย์ส่วนตัว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นเพียงเพราะคำสั่งจากทางสำนักเท่านั้น

 

“อู้~!” ฮูหนิวส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างน่าสงสาร พร้อมกับดึงแขนเสื้อของหลิงฮัน

 

“เข้าใจแล้วๆ ไปหาอะไรกินกันเถอะ!” หลิงฮันบอกลาม่อเกาและออกมาจากสำนัก จากนั้นก็เข้าไปยังร้านอาหารสักแห่งพร้อมกับสั่งอาหารที่มีเนื้อกับปลามากมาย และเริ่มกินพร้อมกันกับฮูหนิว

 

ถ้าอยากจะกินอาหารพร้อมกับเด็กน้อยนางนี้ จะต้องมีความเร็วที่มากพอ ไม่เช่นนั้น เมื่อใดก็ตามที่อาหารถูกนำมาวาง มันจะหายวับไปในทันที

 

อาหารหนึ่งมื้อคิดเป็นเงินมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันเหรียญ ทำให้หลิงฮันต้องร้องให้เพราะเงินอันน้อยนิดของเขา

 

ราคาสิ่งของต่างๆในเมืองจักรพรรดินั้นสูงเป็นอย่างมาก และความอยากอาหารของเด็กน้อยคนนี้ก็สูงมากเช่นกัน

 

เขาคงจำเป็นต้องหลอมเม็ดยาเมื่อหารายได้แล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้น อย่างว่าแต่การที่เขาจะหาซื้อทรัพยากรต่างๆมาบ่มเพาะพลังเลย แค่การหาอาหารมาให้ฮูหนิวก็คงจะเป็นปัญหามากพอแล้ว

 

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาเพิ่งจะมาถึงเมืองจักรพรรดิเมื่อวานนี้ ดังนั้นจึงมีเรื่องต่างๆมากมายที่เขาต้องทำ

 

หลิงฮันจับมือน้อยๆของฮูหนิว และสอบถามเส้นทางจากคนที่พบเจอตรงถนน ในไม่ช้าเขาก็มาถึงตำหนักโอสถสวรรค์

 

หลิงฮันและฮูหนิวเดินขึ้นบันไดเข้าไปยังตำหนักโอสถสวรรค์ เมื่อพวกเขาเข้าไป พวกเขามองเห็นพนักงานสาวที่งดงามที่รับหน้าที่ซื้อขายเม็ดยาและสมุนไพรของตำหนักเดินมาทักทายพวกเขา “คุณลูกค้าผู้มีเกียรติ ข้าชื่อเซี่ยวหยิง ท่านกำลังมองหาเม็ดยาชนิดใด?”

 

“ข้าไม่ต้องการเม็ดยา ขาต้องการเพียงสมุนไพรบางอย่าง” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านต้องการสมุนไพรชนิดใด?” เซี่ยวหยิงถามอีกครั้ง

 

หลิงฮันพูดรายชื่อสมุนไพรที่เขาต้องการออกไป เซี่ยวหยิงนั้นได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน เมื่อนางได้ยินรายจำนวนและชื่อสมุนไพร นางได้บอกราคาของสมุนไพรแต่ละชนิดให้หลิงฮันทราบ

 

“คุณลูกค้าผู้มีเกียรติ สมุนไพรทั้งหมดที่ลูกค้าต้องการมีราคาอยู่ที่สามแสนสองหมื่นเหรียญ” เซี่ยวหยิงพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

ตำหนักโอสถสวรรค์จะได้กำไรจากการขายเม็ดยาเป็นหลัก ส่วนในด้านของสมุนไพร ถ้าไม่ใช่สมุนไพรที่มีมูลค่าสูงอย่างเช่นหญ้าสองดารา ราคาของพวกมันจะสูงกว่าราคาปกติเพียงเล็กน้อย ดังนั้นถึงแม้หลิงฮันจะซื้อสมุนไพรเป็นจำนวนมาก กำไรที่ตำหนักโอสถสวรรค์จะได้ก็ไม่มากเท่าไหร่ เพราะงั้นเงินส่วนต่างที่เซี่ยวหยิงจะได้จึงมีจำนวนที่น้อยตามไปด้วย

 

สามแสนสองหมื่นเหรียญ!

 

หลิงฮันถอนหายได้ เขามีเงินอยู่เพียงหนึ่งแสนกว่าเหรียญเท่านั้น ซึ่งยังขาดส่วนที่จำเป็นอยู่อีกมาก แต่เขาต้องการจะหลอมเม็ดยาสองดาราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเขาเลยพูดออกไป “ไปรายงานฟูหยวนเชิงให้ข้าที แค่บอกเขาว่าหลิงฮันมาหา”

 

“ฟูหยวนเชิง? ผะ..ผะ... ผู้นำตำหนัก!” เซี่ยวหยิงชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะได้สติกลับมา นางตกตะลึงจนถึงขั้นพูดติดอ่าง

 

ผู้นำตำหนักเป็นตัวตนที่สูงส่งขนาดไหน? นอกจากจักรพรรดิพิรุณก็ไม่มีใครแล้วที่มีตำแหน่งสูงกว่าผู้นำตำหนัก ต่อให้เป็นผู้นำของแปดตระกูลใหญ่ ก็ทำได้เพียงยืนอย่างเท่าเทียมกับผู้นำตำหนัก

 

และตอนนี้ได้มีชายหนุ่มมาพูดว่าต้องการพบกับผู้นำตำหนัก นี่คือการสร้างปัญหาให้นางอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีเหตุผลที่นางจะต้องไปรายงานต่อผู้นำตำหนักแม้แต่น้อย

 

“ไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าเพียงแค่ไปบอกกับเขาว่าข้าคือหลิงฮัน ข้าเชื่อว่าฟูหยวนเชิงจะต้องมอบรางวันให้เจ้าแน่นอน” หลิงฮันยิ้มและพูด

 

ใช่แล้ว ตัวเขาที่เป็นถึงจักพรรดิปรุงยาอุตส่าห์มาหาถึงที่นี่ ฟูหยวนเชิงจะต้องดีใจแน่นอน

 

แต่จะให้เซี่ยวหยิงเชื่อได้อย่างไร? ไม่ว่านางจะดูยังไง หลิงฮันก็ดูจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะรู้จักกับผู้นำตำหนัก? ต่อให้ผู้นำของแปดตระกูลใหญ่มาที่นี่ การที่ผู้นำตำหนักจะมาพบกับพวกมันรึไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา

 

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่นางได้รับการสั่งสอนมาก็คือห้ามล่วงเกินลูกค้าทุกคน ดังนั้นนางจึงพูดขอโทษหลิงฮัน “ด้วยตำแหน่งของข้า ข้าไม่สามารถไปพบผู้นำตำหนักเป็นการส่วนตัวได้ ได้โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานกับผู้จัดการสาขา”

 

หลิงฮันไม่คิดจะสร้างปัญหาให้กับนาง เขาพยักหน้าอย่างเรียบง่ายและไปหาที่นั่งรอ

 

ฮูหนิวเห็นเขานั่งลงจึงได้เลียนแบบนั่งตาม นางปีนไปที่ตักของหลิงฮันและพยายามนั่งให้เหมือนกับหลิงฮัน

 

หลังจากนั้นสักพัก พวกเขามองเห็นเซี่ยวหยิงเดินอยู่ข้างหลังชายคนหนึ่งที่ดูจะมีอายุสี่สิบปี ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา ท่าทีของนางดูค่อนข้างหวาดกลัว

 

“เจ้าหนู เจ้าคือคนที่ต้องการจะพบกับผู้นำตำหนัก?” ชายวัยกลางคนมองไปยังหลิงฮันด้วยความเหยียดหยาม มันได้ยินเรื่องทั้งหมดจากเซี่ยวหยิงแล้ว ในความคิดของมัน หลิงฮันจะต้องอับอายที่ไม่มีเงิน เขาเลยจงใจพูดว่าเขารู้จักกับผู้นำตำหนัก โดยจะใช้วิธีนี้ในการต่อรองราคาให้ถูกลง

 

หึ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง

 

หลิงฮันขมวดคิ้วและพูด “เจ้าควรจะพูดให้สุภาพกว่านี้สักหน่อยนะ”

 

“ถ้าเจ้าไม่มีเงิน ก็อย่างแสร้งทำเป็นว่ามี!” ชายวัยกลางคนเค้นเสียง มันหัวเราะดังลั่นและพูด “ถ้าเจ้ารู้จักผู้นำตำหนักจริงๆ ข้าจะกินโต๊ะตัวนี้ทั้งตัวเลย”

 

มันชี้ไปยังโต๊ะยาวตัวหนึ่ง

 

หลิงฮันยิ้มขึ้นมาและพูด “ข้าไม่เคยเลยว่าเจ้าจะมีงานอดิเรกแบบนั้น ถ้าข้าไม่ทำให้เจ้าหูตาสว่างว่าข้ารู้จักกับผู้นำตำหนัก เจ้าคงจะหาว่าข้าไร้เหตุผลสินะ?”

 

“พล่ามอะไรไร้สาระ!” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเย็นชา

*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด