DND.63 - วิหารสวรรค์และมนุษย์
ซือหยูมององค์ชายสามอย่างนับถือ
องค์ชายสามมองอย่างเข้าใจ เขาถอนหายใจ
“ซือหยู เจ้ายอมสละชีวิตเพื่อบุญคุณ ข้าที่ต้องตายมิต่างกันควรจะช่วยเหลือเจ้า หากจะขอบคุณผู้ใดก็ควรขอบคุณคนที่ปลอมตัว เขาคือผู้สละชีวิตอย่างแท้จริง”
ซือหยูมองผู้แปลงตนอย่างนับถือ หากไม่มีเขาดยุคเซี่ยนหยูคงจะไม่รอดจนถึงตรงนี้
“ท่านพ่อ!”
ซือหยูได้พบกับดยุคเซี่ยนหยูอีกครั้ง เขาไม่พอใจนักที่ดยุคแขนหายไปหนึ่งข้าง นั่นเป็นแขนข้างที่สละเพื่อช่วยเขาและเซี่ยนเอ๋อ
ดยุคน้ำตานองหน้า เขาลูบหัวซือหยูด้วยมือข้างที่เหลือ
“เป็นข้าเองที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้...”
ซือหยูส่ายหัว เขามองไป่ชี่เซียงและองครักษ์เฉินที่พยายามซ่อนตัวอย่างเย็นชา
“ท่านพ่อ ให้ข้าจัดการกับสองคนนั้นก่อน!”
ซือหยูจะลืมไป่ชี่เซียงที่ต่อสู้กับท่านพ่อได้อย่างไร? แล้วไป่ชี่เซียงยังไล่ล่าซือหยูอย่างไร้ปรานีอีก
ไป่ชี่เซียงอ้าปากจะพูด แต่ซือหยูที่ไร้ปรานีก็พูดแทรก
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าจะอภัยให้อีกรึ?”
แม้พวกเขาจะทำตามคำสั่ง พวกเขาก็ไล่ล่าซือหยูอย่างดีที่สุด...อภัยให้ไม่ได้
องครักษ์เฉินร้องขอชีวิต เขายังมิอยากตาย เขากัดฟันและทำลายสายโลหิตพลังภายใน เขาทำลายพลังบ่มเพาะของตน
“ซือหยู!”
องครักษ์เฉินคุกเข่า
“ข้ามีลูกเมียและพ่อแม่ ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าทำลายพลังบ่มเพาะของตัวเองแล้ว ข้ามิอาจทำอันตรายผู้ใดได้อีกแล้ว ...ข้าสารภาพ...เป็นดยุคฉินที่ส่งข้ามาฆ่าเจ้า...และแม่นางเจียงก็ถูกขังอยู่ในตำหนักดยุคฉิน”
ซือหยูมิได้สนใจชีวิตองครักษ์เฉิน เขาเพียงแค่คิดว่าองครักษ์เฉินสมคบคิดกับองค์ชายหนึ่ง
แต่ดยุคฉินกลับมีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วย!
“หึหึ...ดยุคฉิน….เจ้าอสรพิษ!”
ซือหยูเดินผ่านองครักษ์เฉินโดยไม่ฆ่า เขามองไป่ชี่เซียงอย่างเย็นชา
“แล้วเจ้าล่ะ?”
ไป่ชี่เซียงคิดว่าไม่ยุติธรรม เขาทุ่มเทอย่างมากกว่าจะบ่มเพาะพลังถึงระดับหก เขาจะทำลายพลังบ่มเพาะของตนในตอนนี้ทำไมกัน?
“ซือหยู! ข้าจะให้ตำราวิชาระดับสวรรค์กับเจ้า...ไว้ชีวิตข้าเถอะ...”
เขากลัวฉิวชางเจี้ยน...แต่มิได้กลัวพลังซือหยูมากนัก
“ช่างมันเถอะ...ข้าว่าข้าทำลายพลังบ่มเพาะของเจ้าเสียดีกว่า!”
ซือหยูพูดแทรกและเดินเข้าไป เขาไม่เชื่อว่าไป่ชี่เซียงจะมีวิชาระดับสวรรค์ เขาเพียงขอร้องเพื่อยืดชีวิตตัวเองออกไปเพียงชั่วครู่
ไป่ชี่เซียงหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อก่อนเขาไล่ล่าซือหยู แต่ตอนนี้ซือหยูมีฉิวชางเจี้ยนหนุนหลัง เขาจึงกล้าบอกว่าจะทำลายพลังบ่มเพาะงั้นรึ?
เขาตาเป็นประกายและยิ้มมุมปาก
“แล้วถ้าเจ้าชนะข้าไม่ได้ล่ะ?”
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ซือหยูตอบ
ไป่ชี่เซียงดีใจ เขาหัวเราะอยู่นาน
“ฮ่าๆๆๆๆ! ดีล่ะ! ถ้าเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะให้วิชาระดับสวรรค์กับเจ้าด้วยสองมือนี่เลย!”
“เจ้าไม่มีโอกาสชนะเลย”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็นและก้าวไปข้างหน้า
“สายฟ้าดาราม่วง!”
ครืน--
เพลิงอัสนีสีม่วงแผดเผาอย่างป่าเถื่อน
ซือหยูเย็นชาไร้อารมณ์
ไป่ชี่เซียงแตะกระบี่ที่เอว
“เพลงดาบล่องนภา!”
ปั้ง--
หมัดและกระบี่ปะทะกับอย่างรุนแรง
…….
ไป่ชี่เซียงตกตะลึง
เขามองกระบี่ในมือและขยี้ตา
“เพลิงนี่มันอะไรกัน?”
เพียงระยะสั้นๆที่กระบี่ของเขาปะทะกับหมัด มันก็เริ่มหลอมละลาย
ซือหยูพยักหน้า สายฟ้าดาราม่วงทำให้คนระดับหกขั้นกลางบาดเจ็บได้ แต่ยังไม่พอจะเอาชนะระดับหกขั้นสูง
ซือหยูหายใจเข้าลึกก่อนจะเข้าสู่สภาพวิเศษ
คนอื่นเห็นว่าซือหยูกลายเป็นภาพวาดที่แยกตัวออกจากโลกมนุษย์
ชุดสีม่วงและเส้นผมของเขาร่ายรำ
แต่ซือหยูยังไม่ใช้ดัชนีสวรรค์...แต่กลับผลักฝ่ามือไปข้างหน้าเบาๆ
ครืน---
อ๊าก--
เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้น พื้นที่รอบๆไป่ชี่เซียงได้กลายเป็นภาพเขียนราวกับซือหยูได้พาไป่ชี่เซียงข้ามขอบเขต
ฝ่ามือธรรมดาของซือหยูทำให้ไป่ชี่เซียงกระเด็นลอยไปไกลกว่าสิบเมตร
ปั้ง---
ไป่ชี่เซียงอ้าปากคายโลหิตจากภายในออกมา อกของเขามีรอยฝ่ามือประทับ กระดูกซี่โครงหักหลายซี่
“เจ้า!”
ไป่ชี่เซียงตกตะลึงอย่างมาก นี่เป็นฎีกาสวรรค์ที่เขาเคยเห็นมาก่อน...ทำไมมันแกร่งขนาดนี้?
ซือหยูตื่นจากความพิษวง เขาเข้าใจฎีกาสวรรค์อย่างลึกซึ้งขึ้น
หลังจากที่วิญญาณหลอมรวมกัน ซือหยูพบว่าการทำตามแบบฉบับในภาพเขียนเพียงอย่างเดียวถือเป็นเรื่องโง่เขลา
ในภาพเขียนนั้นเป็นเพียงประตูเริ่มต้น
ในทุกท่วงท่า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ หากคล้ายกับต้นแบบ...มันจะไม่มีวันก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้
ดังนั้นซือหยูจึงลองทำสิ่งที่แตกต่างในขอบเขตฎีกาสวรรค์...มิได้เลียนแบบผู้ใด
ผลของมันยอดเยี่ยมอย่างมาก พลังวิชาเพิ่มขึ้นหลายเท่ากว่าที่ซือหยูคาดคิด
ซือหยูมองไป่ชี่เซียงที่พ่ายแพ้อย่างเย็นชาด้วยความผ่อนคลาย
เมื่อก่อนไป่ชี่เซียงเป็นตัวตนที่เขามิอาจก้าวข้าม
ในตอนนี้ไป่ชี่เซียงพ่ายแพ้ด้วยฝ่ามือเดียวของเขา
ซือหยูมิได้รู้สึกยินดีนัก เขาได้เห็นพลังระดับเก้าอันน่ากลัวของฉิวชางเจี้ยนแล้ว...เขามิอาจคิดว่าระดับหกขั้นสูงนั้นยอดเยี่ยมได้อีกต่อไป
เขาเสียใจที่เขาไร้ชะตาในการเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ หากไร้ซึ่งโอกาสนี้ก็ยากที่เขาจะได้เรียนรู้วิชาลึกลับต่างๆ หรือยากนักที่จะได้เจออัจฉริยะที่แกร่งกว่านี้
ในห้องลับ ฉิวชางเจี้ยนนั่งลง แปดคนยืนเรียงหน้ากระดาน
“พวกเจ้าทุกคน ตามลำดับแล้วใครแกร่งที่่สุด?”
ฉิวชางเจี้ยนถามตรงๆ
ทั้งแปดมองหน้ากันไปมา ในการประลองนั้นไม่ได้ผลลัพธ์เพราะเกิดเรื่องของซือหยู ดังนั้นจึงยังไม่มีลำดับของแต่ละคน
เมื่อฉิวชางเจี้ยนคิดได้ดังนี้ก็ถอนหายใจยาว
“อืม..ถ้าเช่นนั้น...พวกเจ้าแต่ละคนจงแสดงวิชาที่แกร่งที่สุดกับข้า”
“ท่าน...ตามกฎแล้วพวกเราทั้งแปดมีสิทธิ์เข้าวิหารทุกคนมิใช่รึ? จะรู้ว่าใครแข็งแกร่งกว่าใครเพื่อสิ่งใดกัน?”
เซี่ยจิงหยูถาม
“ถามได้ดี”
ฉิวชางเจี้ยนมองเซี่ยจิงหยูอย่างนับถือเล็กน้อย
ผู้รับใช้เพลิงทำให้ทุกคนหวาดกลัว มีเพียงนางที่กล้าพูดความจริง จากที่เขาเห็น แม้นางจะอ่อนแอจากภายนอก...แต่ภายในนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก
คำถามอันตรงจุดของนางแสดงถึงสติปัญญา
“พวกเจ้าทุกคนมีสิทธิ์เข้าวิหาร...พวกมิใช่ทุกคนที่ได้เป็นศิษย์สวรรค์”
ฉิวชางเจี้ยนตอบ
ศิษย์สวรรค์...เหมือนกับฉิวชางเจี้ยนงั้นรึ?
“วิหารแบ่งเป็นสองส่วนคือวิหารสวรรค์และวิหารมนุษย์ วิหารมนุษย์นั้นรวบรวมอัจฉริยะจากทั้งโลกโดยผู้รับใช้ทั้งเก้า พวกเขารับผิดชอบในการบ่มเพาะพลังของเหล่าอัจฉริยะ ตั้งแต่รุ่นแรกมีศิษย์หลายพันคนข้างในวิหารมนุษย์ นี่คือวิหารที่คนส่วนมากรู้จัก”
“ในวิหารสวรรค์จะรวบรวมแค่อัจฉริยะหายากหนึ่งในล้านเท่านั้น พวกเขาจะกลายเป็นผู้ติดตามของราชันย์สวรรค์และได้นามแห่งศิษย์สวรรค์ พวกเขาจะได้วัตถุดิบบ่มเพาะที่ดีที่สุด และมีฐานะเหนือกว่าผู้ติดตามในวิหารมนุษย์ พวกเขามีสิทธิ์ลงโทษผู้ติดตามในวิหารมนุษย์อย่างเป็นธรรม เข้าใจรึยัง?”
ภาพฉิวชางเจี้ยนที่ลงโทษผู้รับใช้เพลิงยังคงสดใหม่ภายในหัวทั้งแปดคน
แม้จะเป็นชะตาของผู้ยิ่งใหญ่อย่างผู้รับใช้เพลิงยังต้องอยู่ในน้ำมือของวิหารสวรรค์
เซิงยี่หลินถามด้วยความหลงใหล
“ท่าน...มีกี่คนในแต่ละรุ่นกันที่ได้เข้าวิหารสวรรค์?”
“กี่คนงั้นเรอะ?”
ฉิวชางเจี้ยนเหน็บแนม
“เจ้าควรจะถามว่าผ่านไปกี่รุ่นกว่าจะได้คนเข้าสู่วิหารสวรรค์ต่างหาก”
อะไรกัน? หนึ่งคนจากหลายรุ่นเนี่ยนะ? คุณสมบัติในการเข้าวิหารสวรรค์ช่างเหนือจินตนาการ
“เอาล่ะ...เริ่มกันเถอะ แสดงวิชาที่แกร่งที่สุดของพวกเจ้ามา”
สี่ศิษย์อสูรในสำนักเริ่มก่อน แต่ละคนแสดงพลังออกมา
ฉิวชางเจี้ยนยังคงนิ่งเงียบ เขามิปริปากออกมาเลย
เขาเงียบจนถึงคราวดงหลิน
“ปกติแล้วเจ้าจะไม่ได้เข้าวิหารมนุษย์ด้วยซ้ำ”
ฉิวชางเจี้ยนออกความเห็น
ดงหลินแทบจะกระอักเลือด ในแคว้นนี้เขาคือศิษย์อสูรระดับสูงสุดและได้รับความนับถืออย่างมาก แต่ในวิหารมนุษย์เขานั้นต่ำกว่ามาตรฐาน!
ดงหลินมิได้มีชะตากับวิหารสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย...เขานับว่าเป็นแค่คนปกติในวิหารมนุษย์
หลังจากหลงหลิน หนานเฟยก็แสดงพลัง ดวงตาฉิวชางเจี้ยนยังคงสุขุม
“เจ้าถือว่าใช้ได้ น่าจะพอๆกับคนในวิหารมนุษย์”
หนานเฟยหน้าบึ้ง การที่มีฝีมือทั่วไปในวิหารมนุษย์หมายความว่าเขาไม่มีชะตากับวิหารสวรรค์เช่นกัน
เซี่ยจิงหยูกันฟันแน่น ในบรรดาแปดคนนี้นางมีพลังบ่มเพาะต่ำที่สุด...นางกลัวว่าฉิวชางเจี้ยนจะไม่ประทับใจ
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็คิดถึงฎีกาสวรรค์ที่ซือหยูสอนนางและลองใช้มัน
เซี่ยจิงหยูหายใจเข้าลึก ปล่อยวางตนให้สงบ...นางนึกถึงวันใต้แสงจันทรากลางมวลบุพผาอันเงียบสงบ ภายใต้ความอบอุ่นจากซือหยูที่โอบกอดอย่างแผ่วเบา นางใช้ดัชนีสวรรค์
เอี๊ยด--
ดัชนีกรีดอากาศด้วยจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ นางราวกับตัวตนอันงดงามจากภาพเขียน
ฉิวชางเจี้ยนตาเป็นประกาย ใบหน้ามีร่องรอยของรอยยิ้ม
“ไม่เลว ฎีกาสวรรค์ของเจ้าล้ำค่าและได้รับการขัดเกลามาอย่างดี...รับพลังจากทั้งจักรวาล จังหวะนั้นโอบล้อมระยะหลายลี้ของทั้งทะเลสาปและขุนเขา สง่างามและมหัศจรรย์! ดูเหมือนข้าจะไม่เสียเที่ยว ข้าเจอคนที่ได้เข้าสู่วิหารสวรรค์แล้ว”
“เจ้ามีนามว่าอะไร?”
ฉิวชางเจี้ยนยิ้มถามอย่างเป็นมิตร
“เซี่ยจิงหยู”
นางสับสน นางจะได้เข้าวิหารสวรรค์งั้นหรือ?
“เอาล่ะ ศิษย์น้องเซี่ย เจ้ามีเวลาเตรียมตัวหนึ่งวันและจัดการเรื่องในโลกมนุษย์นี้ พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตามข้าไปวิหารสวรรค์ เรามีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว”
ฉิวชางเจี้ยนดีใจมาก
อะไรกัน? ทั้งแปดคนต่างตกใจ เซี่ยจิงหยูกำลังจะเข้าสู่วิหารสวรรค์งั้นหรือ?
ทั้งหมดเพราะนางแสดงฎีกาสวรรค์?
มีเพียงเซิงยี่หลินที่ตื่นเต้น เขาประสานมือหัวเราะ
“ยินดีด้วยจิงหยู ดูเหมือนเราจะมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกันในวิหารสวรรค์แล้วล่ะ ข้าหวังว่าเราจะได้ช่วยเหลือกันในอนาคต”
เขาร่าเริงเมื่อคิดว่าฎีกาสวรรค์คือการแบ่งแย่งระหว่างคนในวิหารสวรรค์และวิหารมนุษย์ เขาที่มีฎีกาสวรรค์น่าจะได้เข้าสู่วิหารสวรรค์เช่นกัน
นี่หมายความว่าเขาจะได้ใช้เวลาร่วมกับเซี่ยจิงหยูมากขึ้น
เขาคิดถึงวิหารสวรรค์ที่ห่างไกลและลึกลับ...แปลกใหม่สำหรับทุกคน เซี่ยจิงหยูเป็นสตรีจะต้องไม่สบายใจอยู่แล้ว แต่เขาและเซี่ยจิงหยูมาจากที่เดียวกัน พวกเขาจะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นแน่แท้
ด้วยการปฏิสัมพันธ์นั้นเอง เซี่ยจิงหยูอาจจะตกหลุมรักเขาและตกลงวิวาห์กัน
ด้วยความคิดนี้เขาก็สบายใจและมีไฟ
ซือหยู...ซือหยู...ชนะข้าแล้วมันยังไง? เซี่ยจิงหยูที่สุดก็ต้องเป็นผู้หญิงของข้า เจ้าจะนับถือข้าจากโลกมนุษย์ก็ได้นะ!
เซี่ยจิงหยูถอนหายใจ
ฉิวชางเจี้ยนมองอย่างประหลาดใจ
“เจ้ามีฎีกาสวรรค์เหมือนกันรึ? แสดงมันออกมาเร็วๆ”
เซิงยี่หลินนั้นเป็นคนหยาบคาย แต่เขาก็ดูอ่อนน้อมลงเมื่อแสดงฎีกาสวรรค์
แสงโอบล้อมร่างเขา เขาปล่อยหมัดทั้งสิบออกมา มันดูสลับซับซ้อนด้วยแสง ยากจะแยกภาพลวงตาและภาพจริง
เขาพอใจที่ได้แสดงฎีกาสวรรค์ เซิงยี่หลินมองฉิวชาวเจี้ยน...ที่เย็นชาลง
ใบหน้าคาดหวังของฉิวชางเจี้ยนหายไป แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ธรรมดายิ่งนัก ต่ำกว่ามาตรฐานวิหารมนุษย์”
คำพูดนี้ฟาดเซิงยี่หลินอย่างแรง
“แต่...แต่ข้ามีฎีกาสวรรค์นะ เซี่ยจิงหยูยังเข้าวิหารสวรรค์ได้เลย...ทำไมข้าได้แค่วิหารมนุษย์ล่ะ?”
เขาเสียงสั่น
ฉิวชางเจี้ยนตาซึม
“ฎีกาสวรรค์แบ่งเป็นหลายระดับ ขั้นต้น กลาง และขั้นสูง ฎีกาสวรรค์ของศิษย์น้องเซี่ยเป็นฎีกาสวรรค์ขั้นกลาง หากบ่มเพาะมันก็เป็นไปได้มากที่จะเทียบเคียงราชันย์สวรรค์ เจ้าเทียบกับนางมิได้”
ยังมีระดับในฎีกาสวรรค์อีกงั้นเรอะ?
เซิงยี่หลินตกตะลึง ใจเขาหล่นจากสวรรค์ไปสู่นรก เขาครางอย่างขมขื่น
“กลายเป็นว่าฎีกาสวรรค์ของข้าเป็นแค่ขั้นต้นงั้นรึ...”
เมื่อได้ยิน ฉิวชางเจี้ยนตวาดใส่อย่างไร้ปรานี
“ขั้นต้นรึ? เจ้าประเมินฎีกาสวรรค์ของเจ้าเกินไปแล้ว ฎีกาสวรรค์ของเจ้ายังมิได้รอยขีดข่วนของขั้นต้นเลย ทุกคนในวิหารมนุษย์ใช้เวลาแค่ปีเดียวก็บรรลุระดับของเจ้าได้แล้ว”
อะไรกัน? ยังไม่ถึงพื้นของขั้นต้นงั้นรึ? เซิงยี่หลินตัวสั่นราวกับถูกน้ำเย็นสาด
ฉิวชางเจี้ยนโบกมือ
“เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว ศิษย์น้องเซี่ยจะกลับวิหารสวรรค์กับข้าพรุ่งนี้ พวกเจ้าที่เหลือให้รอคำชี้แนะ ในสิบวันจะมีคนจากวิหารมนุษย์มาเอาตัวเจ้าไป”
หลังพูดจบฉิวชางเจี้ยนก็ยืนขึ้น
“ศิษย์พี่ฉิว ข้าขอแนะนำอีกคนได้หรือไม่ เขาจะต้องเป็นที่พอใจแน่นอน”
เซี่ยจิงหยูยิ้มกว้างราวกับบุพผายามคิมหันต์
ฉิวชาวเจี้ยนเลิกคิ้ว
“โอ้? ใครกันที่ศิษย์น้องเซี่ยจะแนะนำ?”
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา