DND.62 - ชีวิตและความตายของดยุค
ครืน---
ซือหยูหมดอาลัยตายอยาก...การต่อสู้นี่มิอาจทำให้เขาเจ็บกายได้อีก แต่ละการโจมตีของเขาห่อหุ้มไปด้วยความป่าเถื่อนและจิตสังหาร
“ดาบอสูร!”
“สายฟ้าดาราม่วง!”
ในด้านพลัง ฟางหยุนมากกว่าซือหยูแน่นอน
แต่ซือหยูมิเกรงกลัวความตาย ฟางหยุนมิอาจใช้ความกลัวตายมาข่มเหงเขาได้อีกแล้ว...และซือหยูที่มิเกรงกลัวความตายผู้นี้ช่างรับมือเหลือเกิน
สีหน้าของผู้รับใช้เพลิงหมองหม่น ผู้ประเมินต้องมีปัญหากับเด็กน้อยคนเดียวขนาดนี้เชียวรึ!
เขาค่อยๆยืนขึ้น รังสีอันทรงพลังแผ่ไปทั่ว
ผู้ประเมินทั้งสิบสองหน้าถอดสี
ผู้รับใช้เพลิงกำลังจะจัดการซือหยูด้วยตัวเองงั้นหรือ?
เขามีพลังระดับแปด เป็นตัวตนอันไร้เทียมทาน
รังสีแข็งแกร่งแผ่กระจายราวคลื่น โลหิตในตัวซือหยูไหลเวียนอย่างยากลำบาก
เพียงการปล่อยพลังก็ทำให้เกิดผลลัพธ์อันน่ากลัว...หากเขาโจมตีซือหยู...เขาคงจะป้องกันตัวไม่ได้แน่
แต่ก่อนที่ผู้รับใช้เพลิงจะโจมตี ก็เกิดแสงกระจายไปทั่วลานประลอง
ฟึ่บ--
ร่างชายหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าลานประลอง
เขาสวมชุดขาวธรรมดาสะอาดสะอ้าน
เขามีคิ้วบางและดวงตาอันเปล่งประกาย รูปลักษณ์อ่อนโยนและงดงามมาพร้อมกับกล้ามเนื้อแข็งแรง เขายิ้มบางๆและมองรอบๆ
ใบหน้าหมองหม่นของผู้รับใช้เพลิงเปลี่ยนทันทีหลังจากสังเกตเห็นชายหนุ่ม
ตึก ตึก ตึก--
ผู้รับใช้เพลิงยืนขึ้นอย่างกังวลทันที เขากลัวชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาและคุกเข่าลงทันที
“ข้า...ผู้รับใช้เพลิง...ยินดีต้อนรับศิษย์สวรรค์ฉิว!”
ผู้ประเมินทั้งสิบสองหน้าถอดสีไปตามๆกัน แม้ฟางหยุนก็สั่นกลัว...แววตาทั้งเกรงกลัวและเคารพนับถือ
ฟางหยุนผลักซือหยูและรีบวิ่งไปทางผู้ประเมินทั้งสิบสองเพื่อทำความเคารพ
ทุกคนทั้งผู้ประเมินและผู้รับใช้เพลิงอยู่ในความตกตะลึง...มิกล้าแม้หายใจ
ลานประลองเงียบกริบราวกับไร้ผู้คน
ผู้รับใช้เพลิง หัวหน้าแห่งผู้รับใช้ทั้งเก้าและผู้ประเมินทั้งสิบสามที่ครองทุกสำนักในแคว้น เหตุใดจึงต้องทำความเคารพเด็กหนุ่มผู้นี้?
และเด็กหนุ่มผู้นี้ยังทำตัวได้อย่างปกติ เขายืนเอามือไพล่หลังอย่างสุขุม
เขามองไปรอบๆและเห็นศีรษะขององค์ชายหนึ่งและดยุคเซี่ยนหยู และเริ่มถาม
“บอกข้า เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นใด?”
นี่คืองานประชุมศักดิ์สิทธิ์...มันไร้ระเบียบเช่นนี้เชียวหรือ?!
เรื่องมาถึงจุดที่ผู้ประเมินต้องต่อสู้กับเด็กหนุ่มบนลานประลอง
ดวงตาของผู้รับใช้เพลิงสั่นระริกด้วยความกลัว เขาค่อยๆเลือกคำพูดอย่างระวัง
“ศิษย์สวรรค์ฉิว...มีฆาตกรในงานนี้ เขาทำร้ายผู้ประลองคนอื่นและสังหารคนในราชวงศ์ เราต้อง...เรากำลังจัดการกับเขา”
“เรื่องเป็นเช่นนี้รึ?”
เด็กหนุ่มตระกูลฉิวเหลือบตามองสิบสามผู้ประเมิน
ผู้ประเมินทั้งสิบสองยืนนิ่งมิกล้าปริปาก
ผู้ประเมินทั้งหมดอยู่ภายใต้ผู้รับใช้เพลิง...ชีวิตของพวกเขาอยู่ใต้เงื้อมมือของผู้รับใช้เพลิง พวกเขาจะพูดอย่างที่ต้องการได้อย่างไร? หากผู้รับใช้เพลิงไม่พอใจพวกเขาจะต้องแย่แน่
“ศิษย์สวรรค์ฉิว...ถูกต้องตามนั้น! ชายผู้นั้นป่าเถื่อนไร้ปรานี ข้ากำลังจับตัวเขา”
ฟางหยุนรีบตอบทันที
เรื่องเป็นแบบนี้จริงๆ!
เด็กหนุ่มตระกูลฉิวมองซือหยูอย่างเย็นชาและยกนิ้วขึ้นเตรียมจะจบชีวิตซือหยู
ฟึ่บ--
ทันใดนั้นเอง ร่างผอมบางก็บินมาขวางหน้าซือหยู
นางงดงามราวกับเทพธิดา ดวงตาอันน่าหลงใหลปะทุไปด้วยความโกรธ
“ท่าน...อย่าไปเชื่อสองคนนั้น! ผู้รับใช้เพลิงแสร้งไม่สนใจผู้ติดตามที่จะสังหารผู้ประลองและไม่เคารพต่อกฎของการประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตู้หยุนเทียนพยายามสังหารซือหยูต่อหน้าทุกคน...แต่เขาเทียบกับซือหยูไม่ได้...จึงบาดเจ็บ”
“ผู้รับใช้เพลิงจึงโกรธและกล่าวโทษซือหยู ส่วนเรื่ององค์ชายหนึ่ง เขากับซือหยูมีเรื่องส่วนตัวต่อกันมาช้านาน”
เซี่ยจิงหยูรวบรวมความกล้า...นางยืนขวางซือหยูแม้ทุกคนจะหวาดกลัว เซี่ยจิงหยูพูดความจริง
ผู้รับใช้เพลิงโกรธจนคลั่ง เขามองด้วยความโกรธ
“เจ้า! อย่าพูดเรื่องไร้สาระ...”
“เจ้าคือซือหยูสินะ”
เด็กหนุ่มตระกูลฉิววางมือลงและพูดแทรกผู้รับใช้เพลิงเมื่อรู้เรื่องราวแล้ว
อะไรกัน...ทั้งผู้รับใช้เพลิงและฟางหยุนตกตะลึง ศิษย์สวรรค์ฉิวรู้จักซือหยูเช่นนั้นหรือ?
“เข้ามา”
ศิษย์สวรรค์ฉิวขยับมือและก็มีสามคนเข้ามาในลานประลอง
สามคนคือปรมาจารย์ ไป่ชี่เซียง และองครักษ์เฉิน!
ซือหยูมองด้วยจิตสังหาร
“ไป่ชี่เซียง! องครักษ์เฉิน! พวกเจ้า!”
“อย่างนี้นี่เอง”
ศิษย์สวรรค์ฉิวลูบคาง...ทุกอย่างเริ่มชัดเจนแล้ว
เขามองซือหยูและพยักหน้า
“ใช่แล้ว องค์ชายหนึ่งส่งคนมาลอบสังหารเจ้า เขาควรถูกประหาร เจ้าทำดีแล้วที่ฆ่าเขา...ข้าจะได้ไม่ต้องลงมือเอง”
ทั้งลานประลองโกลาหลทันที
องค์ชายหนึ่งส่งคนมาสังหารผู้มีบัญชาศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ? เขาไม่ได้เรียนรู้จากกษัตริย์องค์ก่อนเลยหรือไงกัน? ประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้นทำให้คนลืมการลงโทษด้วยมือวิหารศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ?
“สำหรับพวกเจ้าสองคน ไป่ชี่เซียงและองครักษ์เฉิน ข้าจะให้ซือหยูตัดสินชะตาของพวกเจ้า ความเป็นความตายพวกเจ้าอยู่ในมือเขา”
ศิษย์สวรรค์ฉิวมองผ่านไป่ชี่เซียงและองครักษ์เฉินอย่างเย็นชา
“สำหรับเจ้า ปรมาจารย์...เจ้ามิได้เพียงแต่รู้เรื่องความผิดขององค์ชายหนึ่ง แต่เจ้ายังช่วยปกปิดความผิด ให้ความตายของเจ้าเป็นบทเรียนแก่ทุกคนที่นี่เสียเถอะ”
เป๊าะ--
ศิษย์สวรรค์ฉิวดีดนิ้วและคลื่นพลังปราณอันรุนแรงก็เจาะทะลุผ่าน
อ๊าก---
ปรมาจารย์ผู้มีพลังระดับเจ็ดขั้นสูง...มิได้มีโอกาสให้ซ่อนตัว เขาตายทันทีตั้งแต่ยังมิได้ล้มลงกับพื้น
ความกลัวแทรกซึมไปยังหัวใจของทุกคน ศิษย์สวรรค์ฉิวตั้งใจฆ่าเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู
การลอบสังหารผู้มีบัญชาศักดิ์สิทธิ์มิได้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว หลายคนอาจจะลืมบทเรียนครั้งอดีต...เขาจึงต้องเตือนผ่านโลหิต!
ศิษย์สวรรค์ฉิวมองตู้หยุนเทียนด้วยจิตสังหาร
“เจ้าละเมิดข้อห้ามที่ห้ามสังหารผู้ประลอง เจ้าสมควรตายมิต่างกัน!”
เป๊าะ--
เขาดีดนิ้วเพื่อจบชีวิตตู้หยุนเทียน
“แม้ซือหยูจะทำให้ตู้หยุนเทียนบาดเจ็บหนัก แต่ก็เป็นตู้หยุนเทียนที่ลงมือก่อน ดังนั้นข้าจะไม่สืบสวนเรื่องนี้ต่อไป”
ศิษย์สวรรค์ฉิวตัดสินอย่างเป็นธรรม
ในที่สุดเขาก็เหลือบไปมองผู้รับใช้เพลิงและฟางหยุน
“ผู้รับใช้เพลิง...ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์มอบหน้าที่ดูแลเฟิงหลินแก่เจ้า...ท่านเชื่อใจเจ้า แต่เจ้ากลับใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตน เจ้ามิเคารพต่อคำชี้แนะของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังทำให้งานประชุมศักดิ์สิทธิ์ต้องแปดเปื้อน กระทบไปถึงชื่อเสียงของวิหาร เจ้าสำนึกผิดบ้างหรือไม่?”
ผู้รับใช้เพลิงตัวสั่น หัวใจเขาเย็นเฉียบ ความชิงชังต่อเซี่ยจิงหยูเอ่อล้นออกมา
หากไม่ใช่เพราะนาง คงจะไม่มีใครในเฟิงหลินทำอะไรได้ และเขาก็จะควบคุมทุกอย่างได้
“ฮื่ม! ไม่รู้สำนึก!”
ศิษย์สวรรค์ฉิวรับรู้ถึงความชิงชังในใจผู้รับใช้เพลิงในพริบตา
“วิหารมิต้องการคนเหลวแหลกเช่นเจ้า!”
“ข้า ในนามแห่งศิษย์สวรรค์ ประกาศว่านับแต่วันนี้ เจ้าถูกขับไล่ออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์”
“และการกระทำอันโหดร้ายของเจ้า ข้าต้องทำลายพลังบ่มเพาะของเจ้าเพื่อมิให้เจ้าไปทำอันตรายผู้ใดได้อีก”
เด็กหนุ่มตระกูลฉิวไร้ปรานีและไม่ให้เวลาผู้รับใช้เพลิงทันตั้งตัว เขาซัดพลังปราณใส่แหล่งกำลังภายในของผู้รับใช้เพลิงทันที
อ๊าก--
ผู้รับใช้เพลิงร้องโหดหวย เส้นเลือดภายในของเขาฉีกขาด...พลังปราณไหลเวียนมิได้อีกต่อไป เขาใช้พลังไม่ได้อีกต่อไปและกลายเป็นเพียงชายแก่ธรรมดา
“สำหรับเจ้า!”
เด็กหนุ่มตระกูลฉิวจ้องฟางหยุนอย่างเย็นชา
“เจ้าระเริงในอำนาจและโป้ปดต่อวิหารศักดิ์สิทธิ์ สมควรถูกประหาร”
“อ๊าา! ไม่!!”
ฟางหยุนตะโกนร้อง
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังระดับเก้า เขามิอาจทำสิ่งใดได้ เขาถูกสังหารทันทีเพียงเพราะนิ้ว
ทุกคนอ้าปากค้าง
ศิษย์สวรรค์ฉิวเป็นใครกันแน่?
เขาเด็ดขาดไร้ปรานี ตั้งแต่ที่ปรากฏตัวขึ้นเขาสังหารคนไปสามคนและทำลายพลังบ่มเพาะของผู้รับใช้เพลิง
มันน่าสยดสยองยิ่ง...มิเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
แต่ภาพลักษณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ถูกกอบกู้ขึ้นมาอีกครั้งอย่างมิต้องสงสัย ยังคงมีความยุติธรรมในวิหารศักดิ์สิทธิ์ คนเช่นผู้รับใช้เพลิงและฟางหยุนเป็นเพียงอีกาในฝูงหงส์
หลังสังหารฟางหยุน ศิษย์สวรรค์ฉิวก็มองสิบคนในที่เตรียมประลอง...หรือจะเรียกว่าแปดคน...ซือหยูขาดสิทธิ์ไปแล้วและตู้หยุนเทียนถูกสังหาร...ที่เหลือทั้งแปดจึงถือเป็นเหล่าผู้เปี่ยมพรสวรรค์
“พวกเจ้าคืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์รุ่นนี้ใช่หรือไม่? เช่นนั้น...ตามข้ามา...รับการทดสอบ”
ศิษย์สวรรค์ฉิวสั่งอย่างใจเย็นและพาพวกเขาไปสู่ห้องลับ
เซี่ยจิงหยูคือหนึ่งในแปดคน
“ซือหยู...”
นางหยุดเดินเมื่อผ่านซือหยู
นางขบริมฝีปาก ซือหยูเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่วิหาร...ยากที่นางจะได้พบซือหยูอีก
หลังการสังหารหมู่ จิตสังหารในซือหยูหายไปมาก โลหิตแดงก่ำในดวงตาหายไปเหลือเพียงร่องรอย
เมื่อมองหน้าเซี่ยจิงหยูเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่น ในยามวิกฤติ...มีเพียงเซี่ยจิงหยูที่มาช่วยเขา
“ข้าไม่เป็นไร ตั้งใจบ่มเพาะพลังในวิหารให้ดีเถอะ”
ซือหยูรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของพวกเขา
หนึ่งคนคืออัจฉริยะสวรรค์ขณะที่อีกคนคือผู้หลงทางในโลกมนุษย์...ช่องว่างระหว่างพวกเขาห่างขึ้นเรื่อยๆ
เซี่ยจิงหยูมิอาจทนต่อการจากซือหยู นางมองซือหยูโดยไม่กระพริบตาแม้เพียงครั้ง
หากซือหยูขอให้นางอยู่...นางจะไม่ปฏิเสธเลย
“ไปซะ”
ซือหยูยิ้ม หัวใจทุกข์ทรมาน
เหตุใดเจ้ามิขอให้ข้าอยู่ต่อ? เซี่ยจิงหยูจิตใจว่างเปล่า
ในตอนนั้นคนข้างหลังก็เร่งนางให้รีบเดิน นางมองซือหยูอยู่นานก่อนจะเดินจากไป
เมื่อนางจากไปซือหยูก็รู้สึกอ้างว้างทันที เหลือเขาคนเดียวลำพังอีกครั้ง
ดยุคสิ้นชีวี เซี่ยนเอ๋ออยู่แดนไกล สหายจิงหยูเพียงหนึ่งเดียวเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์
มิเหลือผู้ใด...คนเดียวลำพัง
...
เมื่อรู้สึกตัว ซือหยูก็ก้มลงหาที่เก็บศีรษะดยุคเซี่ยนหยู
แต่เขาก็เห็นขาคู่หนึ่งในสายตา
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นแววตานับถือองค์ชายสามและรอยยิ้มอันประหลาด
หลินเสี่ยวยืนอยู่ข้างเขาด้วยแววตานับถือมิต่างกัน เขาหัวเราะ
“ซือหยู...ให้ข้ามอบของขวัญแก่เจ้าเถิด”
หลินเสี่ยวปรบมือและที่ทางเข้าก็มีชายวัยกลางคนตัวผอมซีดเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้สองคนที่ช่วยพยุง
ซือหยูตกตะลึง เขาตัวแข็งทื่อราวกับโดนสายฟ้าฟาด
“ท่านพ่อ?!”
ซือหยูขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เห็น นั่นคือดยุนเซี่ยนหยูที่อ่อนแอซูบผอม ซือหยูจำผิดกับคนอื่นได้ยังไง?
แล้วศีรษะที่วางอยู่นั้นของใครกัน?
หลินเสี่ยวยกศีรษะบนพื้นขึ้นและลอกชั้นผิวหนังเปิดเผยใบหน้าของคนแปลกหน้า
“เขาคือคนที่องค์ชายสามช่วยชีวิตเอาไว้ในอดีต ด้วยศิลป์แห่งการปลอมแปลง เขายอมสละชีพเพื่อองค์ชายสาม ตามจริงเขาคือคนที่ตายแทนหากองค์ชายสามถูกจับได้”
“แต่เมื่อชัยชยะของเจ้าแจ่มชัด องค์ชายสามได้เปลี่ยนแผนรักษาชีวิตตนเองเมื่อเห็นการเสียสละของเจ้า องค์ชายสามทิ้งไพ่ตายของท่านให้เจ้า เจ้าควรจะขอบคุณท่าน...หากไม่มีท่าน...ดยุคเซี่ยนหยูต้องตายจริงๆเป็นแน่”
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา