GE36 เรือเหาะฉีเหม่ย การก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการต่อสู้
“อีก 100 ปีให้หลัง เทพกษัตริย์เนี่ยจะมาเยือนโลกพิรุณ เมื่อถึงยามนั้น...ข้าจะสู้กับมัน!”
เรือเหาะหรูหรางดงามลอยออกไกลจากเมืองฉีเหม่ย 100 ลี้ ที่ดาดฟ้าเรือ มีหนิงฝานยืนโต้สายลมหนาวที่รุนแรง
สามวันก่อนหน้านี้ หานหยวนจี๋ได้มอบ ‘ตำรากุ่ยเชว่’ ให้กับหนิงฝานพร้อมกับกระเป๋าเก็บของหนึ่งใบ
สามวันหลังจากนั้น ชายชราสั่งให้หนิงฝานเร่งมุ่งหน้าไปยังนิกายกุ่ยเชว่เพื่อเข้าร่วมนิกาย
ในช่วง 3 วันนั้น เป็นช่วงเวลาที่เร่งรีบอย่างที่สุด หนิงฝานไม่มีเวลาได้กินโอสถเพื่อฟื้นฟูร่างกายที่บาดเจ็บ เส้นชีพจรที่ได้รับความเสียหาย กระดูกที่แตกหัก ใบหน้าที่เขียวคล้ำ ที่สำคัญ ที่หน้าอกของหนิงฝานยังพันไปด้วยผ้าพันแผล
หนิงฝานไม่มีเวลาปรุงโอสถจักรพรรดิหยก และโดนชายชราไล่ออกมาจากเมือง หนิงฝานไม่รู้ว่าอีกนานขนาดไหนถึงจะได้กลับมาเยือนเมืองฉีเหม่ยอีกครั้ง
“ไปที่นิกายกุ่ยเชว่... ไปช่วยข้าเติมเต็มคำสัญญาที่ให้ไว้กับกุ่ยเชว่สื่อ... ไปแต่งงานกับนาง...”
“เมื่อไปที่นั่น สิ่งที่ควรทำคือพูดให้น้อย สังหารให้มาก และตั้งใจฝึกฝน... นั่นคือสิ่งที่ปีศาจพึงทำ!”
“ดวงตะวันไม่อาจบดบังหัวใจปีศาจได้!”
“ในกระเป๋าใบนี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้เจ้า เมื่อเจ้าขึ้น ‘เรือเหาะฉีเหม่ย’ เจ้าจึงค่อยเปิดมัน...”
สิ่งที่ชายชรากล่าวไปมากมายนั้นล้วนเพราะเป็นห่วงหนิงฝาน ครึ่งปีที่ได้อยู่ร่วมกัน หนิงฝานไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะมีโอกาสได้บอกลาผู้เป็นอาจารย์
เรือเหาะฉีเหม่ยคือสมบัติวิญญาณระดับสูง มันสามารถโดยสารผู้คนเดินทางไปบนท้องนภาได้! เมื่อครั้งที่ชายชราเข้าจู่โจมนิกายอื่นๆ ชายชราได้นำสามกององครักษ์ปีศาจโดยสารเรือเหาะ บินเหนือน่านฟ้าของนิกายฝ่ายธรรมะ และร่อนลงจากท้องนภาเพื่อเข้าจู่โจม
ในโลกพิรุณแห่งนี้ ผู้ที่จบสงครามได้รวดเร็วที่สุดสมควรเป็นหานหยวนจี๋
เรือเหาะขนาดใหญ่เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว บนนั้นมีปืนใหญ่ 20 กระบอก แต่ละกระบอกใช้หยกสวรรค์เป็นแหล่งพลังงาน ปืนใหญ่เหล่านั้นรุนแรงกระทั่งสามารถทำร้ายผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำได้
แต่การจะใช้ปืนใหญ่ต่อครั้ง ต้องเสียหยกสวรรค์ไปถึง 2000 ก้อนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้มัน แต่หนิงฝานเองก็ไม่ได้เกลียดปืนใหญ่เหล่านี้ เพราะหนิงฝานเองก็เคยสร้างข่ายพลังขนาดใหญ่เพื่อทำลายนิกายเทียนหลีโม่ ครั้งนั้นหนิงฝานใช้หยกสวรรค์ไปมหาศาล จนยามนี้เหลืออยู่เพียง 5 หมื่นก้อนเท่านั้น
หยกสวรรค์ 5 หมื่นก้อนสามารถซื้อเมืองฉีเหม่ยได้หลายเมือง ดังนั้นหนิงฝานจึงไม่ใช่คนยากจน แต่หากเทียบกับหยกสวรรค์ 1 แสนก้อนที่หายไปก่อนนี้แล้ว จำนวนของมันลดลงมาก
หนิงฝานนำกององครักษ์ปีศาจทั้ง 3 ได้แก่ กององครักษ์น้ำแข็ง กององครักษ์กระบี่ และ กององครักษ์เหมยมาด้วย กององครักษ์ปีศาจเหล่านี้นำอาวุธติดตัวมา และนำสมุนไพรจากเมืองฉีเหม่ยมาด้วย
ยามนี้ในเมืองฉีเหม่ยจึงเหลือเพียง 4 ตระกูลใหญ่เป็นผู้พิทักษ์ หนิงฝานไม่ได้นำคนเหล่านั้นมาด้วย เพราะปล่อยให้เป็นกองกำลังคุ้มกันหานหยวนจี๋
ยามนี้ชายชราไร้ซึ่งพลัง ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีไม่มากนัก ในเมื่อชายชราไร้ซึ่งพลัง หนิงฝานจึงเป็นห่วงกังวล
กององครักษ์เหมย 400 คน กององครักษ์กระบี่ 500 และ กององครักษ์น้ำแข็ง 500 คน เรือเหาะที่บรรทุกจำนวนคนที่เทียบได้กับนิกายขนาดเล็กหรือตระกูลขนาดเล็กลำนี้ ทำให้นิกายต่างๆที่เห็นหวาดกลัว
หากหนิงฝานต้องการ เขาสามารถใช้กองกำลังจำนวนนี้ทำลายนิกายขนาดใหญ่ได้ แต่ด้วยยามนี้หนิงฝานบาดเจ็บสาหัส เขาจึงไม่คิดจะก่อเรื่อง
หนิงฝานนำกระเป๋าใบหนึ่งออกมา กระเป๋าใบนี้เป็นสมบัติวิญญาณระดับสูง มีพื้นที่ภายในกว้างใหญ่กว่ากระเป๋าเดิมของหนิงฝานถึง 100 เท่า
กระเป๋าเก็บของที่ชายชราให้หนิงฝานมีสภาพค่อนข้างเก่า ดูเหมือนชายชราจะเคยใช้มันในอดีต ในเมื่อหนิงฝานมีกระเป๋าใบนี้ เขาไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่เก็บของอีก
หนิงฝานห้อยกระเป๋าทั้งหมดไว้ที่เอว กระเป๋าแต่ละใบได้มาจากการช่วงชิงในแต่ละที่... กระเป๋าขนาดเล็กใบหนึ่ง แม้หนิงฝานไม่ทราบที่มาแต่เขาคิดว่ามันเป็นของผู้อาวุโสนิกายหนึ่ง
ภายในกระเป๋ามีของไม่มากนัก เมื่อเปิดดู หนิงฝานกลับต้องผิดหวัง
ส่วนกระเป๋าที่ชายชราให้มา ภายในนั้นมีสิ่งของอยู่ 3 สิ่ง
สิ่งแรกคือเหรียญทองแดงที่สลักไว้ด้วยรูปดอกตะวัน 10 ดวง สิ่งที่สองคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือชายชรา และสิ่งที่สุดท้ายเป็นกระถางปรุงโอสถขนาดเล็กหนึ่งใบ
กระถางใบเล็กนี้ดูคล้ายสมบัติวิญญาณระดับสูง ซึ่งก็คือกระถางแยกโอสถของหานหยวนจี๋
คาดไม่ถึงว่าชายชราจะยอมมอบสมบัติชิ้นสำคัญของตนให้หนิงฝาน เมื่อหนิงฝานแผ่สัมผัสเทพไปยังกระถาง เขาสัมผัสได้ถึงมังกรเพลิงทมิฬ 8 ที่ถูกผนึกไว้
นั่นคือเพลิงปีศาจทมิฬของชายชรา เมื่อชายชราไร้พลัง เพลิงปีศาจทมิฬถึงได้ส่งมอบให้หนิงฝาน
หนิงฝานถอนหายใจ ไม่นานมานี้ พลังของชายชราฟื้นฟูเต็มที่ ชายชราจะสามารถเหยียบย่างไปทั่วโลกได้อีกครั้ง แต่ชีวิตกลับพลิกผันเพียงชั่วอึดใจ จากความสุขกลายเป็นความเศร้า แต่ชายชรายังคงยิ้มได้ ยังคงสงบ... ชายชราเป็นผู้ที่เปิดใจยอมรับ ไม่สนเกียรติหรืออับอาย... แต่หนิงฝานไม่ใช่แบบนั้น เขาคิดอยู่เสมอว่าที่ชายชราเป็นแบบนี้ สาเหตุเพราะเทพกษัตริย์เนี่ย!
“เทพกษัตริย์เนี่ย... อีก 100 ปีให้หลังเจ้าจะต้องเสียใจ!”
หนิงฝานเก็บกระถางปรุงโอสถ หากอาการบาดเจ็บของเขาหายดี เขาจึงจะดูกลืนเพลิงปีศาจทมิฬ และฝึกฝน ‘ทักษะลับปีศาจทมิฬ’
หนิงฝานนำเหรียญทองแดงมาดู ของสิ่งนี้ดูเหมือนเหรียญทองแดงทั่วไป ไร้ซึ่งความพิเศษ แต่ด้วยสายตาที่เฉียบคมเฉกเช่นจักรพรรดิสวรรค์ หนิงฝานเห็นพลังที่อัดแน่นอยู่ภายใน
จากลักษณะของเหรียญและพลังของมัน ดูเหมือนเหรียญทองแดงนี้สมควรเป็น ‘กุญแจ’ แต่ไม่รู้ว่าเป็นกุญแจของที่ใด
หนิงฝานเชื่อว่าการที่ชายชรายอมมอบเหรียญทองแดงนี้ให้ ย่อมไม่ได้ให้อย่างไร้เหตุผล มันต้องมีความหมายแอบแฝงบางอย่าง
แล้วหนิงฝานก็เก็บเหรียญทองแดงไป จากนั้นนำจดหมายของชายชราขึ้นมาอ่าน
“หนิงน้อย... เจ้าและข้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ยามนี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องไป บิดาไม่มีสิ่งใดมอบส่งเจ้า มีเพียงกระถางแยกโอสถเท่านั้น หากถึงยามที่เจ้าจู่โจมนิกายใดก็ขอให้นึกถึงข้า เพลิงปีศาจทมิฬที่อยู่ภายในเตาก็เป็นของเจ้า... หากเจ้าบรรลุทักษะลับปีศาจทมิฬระดับ 3 เมื่อใด เจ้าจะสามารถผสานมังกรเพลิงทมิฬทั้ง 9 ให้เป็น 1 เมื่อนั้นเจ้าจะได้แก่นเพลิงผสานกาย ทำให้เจ้าสามารถสำแดงอานุภาพของ 1 ใน 12 เพลิงชีพจรพิภพได้เต็มที่... 100 ปีหลังจากนี้ เจ้าและหานเนี่ยเทียนอาจได้สู้กัน แต่เวลา 100 ปีช่างสั้นนัก ต่อให้เจ้ามีพรสวรค์ที่ท้าท้ายสวรรค์ เจ้าย่อมไม่อาจบรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยกได้ทัน แต่หากเจ้าครอบครอง ‘ปราณน้ำแข็งสวรรค์’ และ ‘เพลิงชีพจรพิภพ’ ได้ ต่อให้เป็นหานเนี่ยเทียนก็ไม่กล้ายั่วยุเจ้า ต่อให้เป็นมหาเทพกษัตริย์ก็ไม่ใช่คู่มือของเจ้า... ยามนี้เจ้าครอบครอง ‘เพลิงปีศาจทมิฬ’ และ ‘เพลิงกระดูกขาว’ ที่เป็นเพลิงชีพจรพิภพแล้ว เจ้าต้องหาโอกาสเหมาะสมดูดกลืนพวกมัน... ส่วนปราณน้ำแข็งสวรรค์นั้น ภายในนิกายกุ่ยเชว่มีสถานที่ลับอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีปราณน้ำแข็งสวรรค์อยู่ 1 ชนิด คือ ‘ปราณหยินลึกล้ำ’ เจ้าต้องหาวิธีขโมยมันมาให้ได้... ส่วนเหรียญทองแดงมันมีชื่อว่า ‘ประกาศิตสวรรค์’ เป็นกุญแจที่ใช้เข้าลานสวรรค์โบราณ หากถึงยามลานสวรรค์โบราณเปิด เจ้าต้องแอบเข้าไปในนั้น...”
เมื่อได้อ่านจดหมาย ทั้งหมดนี้ดูคล้ายกับทุกสิ่งที่หานหยวนจี๋ต้องการจะบอกกับหนิงฝาน
ที่ด้านหลังหนิงฝาน จื่อเฮ่อยืนจ้องมองหนิงฝานอย่างสงบ สีหน้าของนางดูเรียบเฉย ไม่ทราบว่านางกำลังขบคิดอะไร “ใบหน้ายามที่พี่ฝานครุ่นคิดช่างหล่อเหลา...”
...
ภายในเมืองฉีเหม่ย... มีชายชราผมหงอกขาวในชุดคลุมดำผู้หนึ่ง ชายชราผู้นี้ไร้ซึ่งพลัง ใบหน้าดูแก่ชรา
ชายชราละทิ้งเมืองฉีเหม่ย เข้าสู่ ‘ตำหนักลับใต้ดิน’
เดิมทีเมืองฉีเหม่ยไม่ใช่เมืองแห่งน้ำแข็ง แต่เมื่อชายชราผู้หนึ่งปรากฏ พื้นที่ทางตอนเหนือของแคว้นเยว่ได้แปรเปลี่ยนเป็นดินแห่งน้ำแข็งหิมะ แต่เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น...
ตำหนักลับใต้เมืองฉีเหม่ยคือโลกใต้ดินที่มีพื้นที่กว้างกว่า 1 แสนจ้าง ที่ศูนย์กลาง มีบริเวณที่เป็นทะเลเพลิง เพลิงเหล่านั้นถือกำเนิดมาจากโลงศพใบหนึ่ง เป็นเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุด
โลงศพใบนั้นเป็นสมบัติวิญญาณที่มีระดับสูงกว่าสมบัติคงชู มันมีความพิเศษผิดธรรมดา เป็นสมบัติที่ไม่ใช่ของโลกทั้ง 9 เพลิงที่ลุกโหมขึ้นจากโลงศพสามารถเผาทำลายผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ บนตัวโลงศพยังมีพลังลึกลับสายหนึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกัน
ภายในโลงศพ สตรีผู้งดงามราวกับบุบผากำลังหลับใหล นางดูคล้ายตู่กู แต่หากเทียบกันแล้วนางดูอ่อนโยนกว่า สตรีผู้นี้คือพี่สาวของตู่กู
หัวใจของนางหยุดเต้น ไร้ซึ่งกลิ่นอายพลัง ร่างกายบอบบางราวกับสูญสลายได้ทุกเมื่อ
หากไม่ใช่เพราะโลงศพเพลิง ร่างกายที่อ่อนแอของนางจะสูญสลายในทันที
หากที่นี่มีเทพเซียนผู้ทรงพลัง พวกมันคงตกตะลึงเมื่อได้เห็นโลงศพเพลิง เพราะโลงศพเพลิงนี้เป็น ‘สมบัติพิภพหยางพิสุทธิ์’ นามว่า ‘โลงศพเร้นสวรรค์’
เมื่อครั้งอดีต ชายชราได้รับโลงศพนี้มาเมื่อยามที่เดินทางไปยังนิกายหยางพิสุทธิ์ในแดนสวรรค์ทั้ง 4...
ชายชราค่อยๆเดินไปยังทะเลเพลิงอย่างช้าๆ ห่างจากสตรีผู้หลับใหลนางนั้นหมื่นจ้าง แม้จะอยู่ห่างไกลเช่นนั้น แต่ความร้อนที่แผ่ออกมาจากโลงศพกลับทำให้ชายชราถูกแผดเผาจนเจ็บปวด
“เหม่ยน้อย... สุดท้ายแล้วข้าก็ไร้ซึ่งพลังด้วยน้ำมือศิษย์ของข้า ยามนั้นข้าไม่ฟังคำเตือนเจ้า จนทำให้เกิดความผิดพลาดซ้ำ...ซ้ำอยู่เช่นนี้”
“ข้าส่งหนิงน้อยจากไปแล้ว... เขาเป็นผู้มากพรสวรรค์ เป็นผู้ฝึกตนฝ่ายอธรรมที่มากพรสวรรค์ เขาจะแก้แค้นให้ข้า... ยามนี้ข้าแก่ชราใกล้หมดลม หัวใจที่เปี่ยมด้วยความแค้นของข้าสูญสลาย ยามนี้...ขอแค่เจ้ามีชีวิต เรื่องแก้แค้นก็ไร้ความหมายสำหรับข้า...”
“หากหนิงน้อยทรงพลังยิ่งกว่านี้ ข้าจะขอให้เขาช่วยเจ้า... วันนั้นย่อมไม่ไกลนัก...”
ใต้เมืองฉีเหม่ย หานหยวนจี๋ได้ใช้สมบัติวิญญาณสร้างพื้นที่เล็กๆ เพื่อให้นางได้หลับไหล
ชายชราหยุดยืนที่ชายขอบของทะเลเพลิงราวกับชำระล้างทุกสิ่งในชีวิตที่ผ่านมา
ไร้หานหยวนจี๋ ไร้หนิงฝาน ตำหนักซื่อฟานเปล่าเปลี่ยว กององครักษ์คุ้มกันที่ลาดตระเวนรอบเมืองรู้สึกว่างเปล่า ใต้ต้นเหมย...วิญญาณสตรีนางหนึ่งยืนนิ่งท่ามกลางสายลมที่หนาวเหน็บ ดวงตาเหม่อมองไปยังเรือเหาะที่บินห่างออกไปกระทั่งลับสายตา
“เขาไปแล้ว...” ตู่กูถอนหายใจ นางหันหลังกลับและจ้องมองไปยังจารึก และทันใดนั้น ใบหน้าที่งดงามของนางกลับร้อนผ่าว นางโกรธแค้น
เพราะยามนี้เจตจำนงค์แห่งกระบี่ของนางเหลือเพียง ‘เจตจำนงค์แห่งกระบี่ดวงจิตแรกเริ่ม’ เท่านั้น! เจตจำนงค์กระบี่แก่นทองคำของนางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่บนจารึกนั่นกลับมีข้อความที่หนิงฝานทิ้งไว้ เป็นข้อความที่ดูราวกับล้อเลียนนาง
“เจตจำนงค์แห่งกระบี่ของสาวงามทิ้งไว้บนจารึก ไร้ผู้ใดเชยชม นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ข้าหนิงฝานขอช่วงชิงมันไป เมื่อใดที่บรรลุดวงจิตแรกเริ่ม ข้าจะกลับมาชิงเจตจำนงค์แห่งกระบี่สุดท้าย...”
“ปีศาจน้อยหนิง เจ้าคนอันธพาล เจ้าคนหลอกลวง ไหนเจ้าว่าจะไม่ช่วงชิงเจตจำนงค์กระบี่ของข้า! แค้น... มันน่าแค้นนัก คืนเจตจำนงกระบี่ของข้ามาเดี๋ยวนี้!” ตู่กูกำหมัดแน่น เท้าน้อยๆกระทืบพื้นด้วยโทสะ
‘ฮึ่ม! ครั้งหน้าที่ปีศาจน้อยหนิงมา ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้เข็ด... แต่กว่าเขาจะกลับมาคงอีกนาน...’
...
เรือเหาะเดินทางไปได้ครึ่งวัน... หนิงฝานนำแผนที่ขึ้นมาดู ข้างกายของเขามีหนานกง ยุ่ยฉี ซื่อถู จื่อเฮ่อ และกระถางขัดเกลาอย่างซื่อหวูเสีย
จู่ๆหนิงฝานก็จามราวกับมีคนกำลังกล่าวถึง เขาลูบจมูกและนำฝักกระบี่ออกจากกระเป๋า ฝักกระบี่มีเจตจำนงค์แห่งกระบี่แก่นทองคำที่ช่วงชิงมาจากตู่กูอยู่ ยามนี้หนิงฝานยังไม่อาจผสานกับมันได้ แต่ในอนาคตย่อมมีโอกาส
“สงสัยตู่กูน้อยคงกำลังด่าทอข้า!” หนิงฝานหัวเราะพลางส่ายหน้า
“นายท่าน ข้ามไปอีกหมื่นลี้จะถึงนิกายกุ่ยเชว่... ซือซืออยากลงไปเล่นข้างล่าง” น้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลของซื่อหวูเสียทำลายช่วงความสุขของหนิงฝาน
“ไม่ได้...” ดวงตาของหนิงฝานกลับคืนสภาพที่เย็นชาและเริ่มดูแผนที่อีกครั้ง
ท่าทางเย็นชาของหนิงฝานทำให้ซื่อหวูเสียไม่พอใจ แต่เหล่าหัวหน้ากององครักษ์ทั้ง 3 กลับแสดงสีหน้าแปลกๆ
สาวน้อยผู้แสดงท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนางนี้ คือผู้นำนิกายเทียนหลีโม่ที่น่าเกรงขามจริงหรือ?
แม้ต้องเผชิญหน้ากับสาวน้อยผู้น่าเอ็นดู แต่หนิงฝานกลับยังเย็นชา...
“อีกหมื่นลี้จะถึงนิกายกุ่ยเชว่... หนานกง เจ้านำกององครักษ์รออยู่ที่ภูเขาลูกนี้ เราจะตั้งเมืองที่นี่...” หนิงฝานที่ไม่ได้กล่าวมานาน ในที่สุดก็ยอมกล่าว
“บ่าวรับคำสั่ง!”
“ภูเขาแห่งนี้ไม่ไกลจากนิกายหลักมากนัก หากข้ามีเวลาข้าจะมาฝึกฝนให้พวกเจ้า... ‘สามกองทัพเทพ’ เอ๋ย... วันที่พวกเจ้าจะกลับมายิ่งใหญ่มีชื่อเสียงนั้นอยู่ไม่ไกล!”
แววตาหนิงฝานเป็นประกาย แผนการปรากฏขึ้นในหัว หนิงฝานตั้งใจจะฝึกฝนสามกองทัพเทพ ช่วงชิงปราณหยินลึกล้ำ สร้างขุมกำลังของตน และยกระดับพลังของตน... นี่เป็นก้าวแรกสู่เส้นทางแห่งการต่อสู้ เส้นทางของผู้ฝึกตนฝ่ายอธรรมของเขาเอง
อีก 100 ปีข้างหน้า หนิงฝานจะเหยียบย่ำเทพกษัตริย์เนี่ยไว้แทบเท้า ให้มันได้รับผลกรรมที่ทำ!...
นิกายกุ่ยเชว่อยู่ไม่ไกลมากนัก ยามนี้นิกายกุ่ยเชว่เปิดรับศิษย์ เหล่าผู้เยาว์จากตระกูลที่มีชื่อเสียงหลั่งไหลมาเข้าร่วมนิกายเพื่อตามหาอาจารย์ของตน
เมื่อเหล่าผู้เยาว์ในขอบเขตเปิดเส้นชีพจร สังเกตุเห็นเรือเหาะบินมาเหนือท้องนภา ทุกคนล้วนจ้องมองด้วยความสงสัย
“ผู้ใดมาเยือนนิกายกุ่ยเชว่... หรือจะเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ?”...