บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 47 แนะนำตัว
ตอนที่ 47
แนะนำตัว
“ที่ๆเราอยู่เป็นแค่เขตย่อยเหรอ”ไป๋จูเหวินถามขณะนั่งเล่นอยู่บนเรือที่มีต้าเฉินเป็นผู้ออกแรงพาย
“ขอรับ เมืองผาหยกเป็นเมืองหลวงของนครผาหยกที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ขอรับ ภายใต้การปกครองของนครผาหยกมี 12 เขต เขตที่พวกเราอยู่ชื่อเขตกล้วยไม้หยกเป็นเขตที่เล็กที่สุดขอรับ”ต้าชิงอธิบาย
“งั้น เมืองกล้วยไม้หยกก็เป็นเมืองหลวงของเขตนี้สินะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองตามเส้นทางที่พวกตนกำลังแล่นเรือผ่าน การที่เมืองกล้วยไม้หยกมีชื่อเดียวกับเขตนั่นย่อมหมายความว่าเมืองกล้วยไม้หยกเป็นเมืองหลวงอย่างแน่นอน
“ไม่หรอกขอรับ เรียกว่าเป็นเมืองหลักของเขตเท่านั้น เมืองหลวงมีแต่เมืองผาหยกที่อยู่ใจกลางนครเท่านั้นขอรับ”ต้าชิงตอบ แม้ตัวมันจะไม่เคยไปเมืองผาหยก แต่ก็สามารถหาทางไปให้นายน้อยได้ไม่ยาก
“พอไปถึงที่นั่นจะมีสำนักใหญ่กว่าสำนักธารโลหิตงั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองเมืองกล้วยไม้หยกที่เริ่มใกล้เข้ามา
“ขอรับ ในเขตย่อย 11 เขตจะมีสำนักเล็กๆอย่างสำนักธารโลหิตของเราอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สำนักใหญ่ๆจะมีแต่ที่เมืองหลวงเท่านั้นขอรับ”ต้าชิงอธิบายขณะส่งสัญญาณให้ต้าเฉินนำเรือไปจอดที่ท่าเรือของเมืองกล้วยไม้หยก เรือของพวกมันมีตราสัญลักษณ์ของสำนักธารโลหิตอยู่ไม่มีใครกล้าขโมยไปใช้แน่ๆ พวกมันเลยจอดเรือเอาไว้เมื่อศิษย์สำนักธารโลหิตมาพบก็จะพายกลับสำนักไปเอง
“กลุ่มนักล่าอสูรก็เป็นหนึ่งในสำนักใหญ่งั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินถามอย่างสนใจเพราะมันไม่รู้จักสำนักใดเลยนอกจากกลุ่มนักล่าอสูรกับตัวอาวุโสเทียนหมิงเท่านั้น
“มะ ไม่หรอกขอรับ กลุ่มนักล่าอสูรอยู่ในนครอื่น แถมกลุ่มนักล่าอสูรยังเป็นสำนักที่ครองทั้งนครเอาไว้ด้วยเลยเป็นสำนักที่ใหญ่กว่าสำนักใหญ่ของเขตเราขอรับ”ต้าชิงตอบออกมาเพราะตัวมันก็พอจะทราบเรื่องนี้มาบ้าง แถมนายน้อยของมันยังมีพลังอสูรอีกด้วยการจะเข้ากลุ่มนักล่าอสูรอาจจะเหมาะสมแล้วก็ได้
“ถ้างั้นเราจะเข้ากลุ่มนักล่าอสูรได้ยังไงล่ะ”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้ว แต่สำหรับพวกต้าชิงและต้าเฉินแล้วกลับแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักล่าอสูรเป็นสำนักที่ต้องการพรสวรรค์อย่างมาก ผู้ที่จะเข้าสำนักเริ่มแรกต้องมีพลังวิญญาณระดับหลอมรวมปฐพีเสียก่อน ซึ่งนั่นค่อนข้างห่างไกลจากพวกมันตอนนี้มากเหลือเกิน พวกมันกลัวว่าหากเข้าร่วมกับกลุ่มนักล่าอสูรพวกมันอาจจะตามนายน้อยไปไม่ได้
“ข้าเองก็ไม่ทราบเงื่อนไขทั้งหมด แต่เท่าที่ข้าทราบผู้สมัครเข้าร่วมต้องมีพลังวิญญาณระดับหลอมรวมปฐพีเสียก่อนขอรับ”ต้าชิงว่าพลางก้มหน้าลง อีกไม่นานนายน้อยคงเลื่อนเป็นระดับหลอมรวมปฐพีแล้ว แต่พวกมันกลับมาหยุดอยู่ที่ขั้น 8 ของระดับก่อกำเนิด แถมระดับพลังยังเลื่อนช้าลงไปเรื่อยๆทำให้พวกมันกังวลใจไม่น้อย
“เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องรีบฝึกฝนพลังวิญญาณให้เร็วกว่านี้...จริงสิพี่ชิงพี่เฉินพอพวกท่านรีบฝึกให้ถึงระดับผลึกวิญญาณเถอะ ข้าจะได้ให้ยาชุดใหม่แก่ท่าน”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองต้าชิงต้าเฉินที่อยู่ระดับ 8 แม้จะไม่ได้เลื่อนอย่างรวดเร็วเช่นไป๋จูเหวิน แต่ต้าชิงต้าเฉินก็พัฒนาอยู่ตลอด ไม่นานก็คงขึ้นถึงขั้นผลึกวิญญาณแน่
“ยา...?”ต้าชิงเบิกตาอย่างประหลาดใจ
“ใช่ พอดียาตัวนี้เป็นยาสำหรับบำรุงผลึกวิญญาณในร่าง มันเลยมีผลกับคนที่ขึ้นถึงขั้นผลึกวิญญาณแล้วเท่านั้น พวกท่านในตอนนี้เลยยังใช้ไม่ได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางหยิบยาออกมา 2 เม็ด
“เช่นนั้น หากพวกเราเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับผลึกวิญญาณแล้วยังจะสามารถใช้ยากระตุ้นได้อีกงั้นหรือ”ต้าชิงถามด้วยสีหน้ามีความหวัง มันกังวลว่าการฝึกของมันจะช้าเกินไปจนไม่สามารถติดตามนายน้อยได้ ยามนี้มันไม่เกรงใจหากได้กินยาของนายน้อยอีกแล้ว แต่กลับยินดีที่จะสามารถติดตามนายน้อยต่อไปได้มากกว่า
“แน่นอน”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางเดินเล่นผ่านเมืองกล้วยไม้หยกอย่างเชื่องช้า คราก่อนมันมาในยามพรบค่ำ แต่ครานี้มันมาในยามเช้าทำให้บรรยากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากจะว่าไปคราวก่อนมันก็พบคนของกลุ่มนักล่าอสูรที่นี่ แต่คราวก่อนมันไม่อยากออกจากสำนักธารโลหิตเลยไม่ได้รับปากเข้าสำนัก แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน หากได้พบคนของกลุ่มนักล่าอสูรอีกอาจจะถามเรื่องเข้าสำนักดูก็ได้ แต่พอนึกถึงกลุ่มนักล่าอสูรทีไรไป๋จูเหวินก็อดนึกถึงหญิงสาวของกลุ่มนักล่าอสูรขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าใด
“.....”อยู่ๆไป๋จูเหวินก็ราวกับเห็นภาพหลอนลอยผ่านสายตาของมันไป มันราวกับเห็นร่างของหญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาเหมือนหญิงสาวของกลุ่มนักล่าอสูรไม่มีผิด เพียงแต่คราวนี้นางอยู่ตามลำพังคนเดียวไม่มีผู้ติดตามห้อมล้อมแต่อย่างไร
“พี่ชิงพี่เฉิน รอข้าสักครู่ได้ไหม”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินออกไปโดยไม่รอคำตอบจากทั้งสองเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะไป๋จูเหวินสังเกตุได้ว่าหญิงสาวมีท่าทีแปลกๆไม่เหมือนกับตอนที่เจอกันเมื่อคราวก่อนเลย
“สวัสดียามเช้า”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ พอเข้าไปใกล้ไป๋จูเหวินก็ทราบทันทีว่าทำไมหญิงสาวถึงดูต่างจากคราวก่อนนัก อย่างแรกเลยขอบตาของนางมีรอยคล้ำราวกับพึ่งร้องให้มาแถมสีหน้ายังหมองหม่นราวกับเจอเรื่องเสียใจ
“.....”นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่หันมาพยักหน้าให้ไป๋จูเหวินคราหนึ่ง
“คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เหรอ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองสีหน้าหม่นหมองของหญิงสาว ไม่ใช่เพียงใบหน้าแต่พลังวิญญาณและพลังอสูรของนางก็ราวกับลดน้อยลงด้วย
“ข้าไม่ใช่คุณหนูของท่านสักหน่อย”หญิงสาวว่าพลางหลบหน้าไป๋จูเหวินไป ตลอดเวลาที่เดินทางกลับมาจากเขตอสูรนางก็เศร้าเสียใจมาตลอด พี่หยวนหยวนเป็นอสูรรับใช้ที่อยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด ผูกพันราวพี่น้องจริงๆ การที่พี่หยวนหยวนโดนจับตัวไปสำหรับนางแล้วไม่ต่างจากโดนพรากคนในครอบครัวไปเลย
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเรียกท่านว่าอะไรดีล่ะ”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางพยายามหาเรื่องคุย
“ข้าชื่อเหม่ยหลิน ท่านจะเรียกชื่อข้าก็ได้”หญิงสาวตอบโดยไม่ได้สบตาไป๋จูเหวิน ทั้งนี้เพราะนางยังเอาแต่คิดมากเรื่องของพี่หยวนหยวนอยู่
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ามีนามว่าไป๋จูเหวิน”แต่ทันทีที่ไป๋จูเหวินแนะนำตัวเหม่ยหลินก็หันมามองอีกฝ่ายด้วยท่าทีประหลาดใจทันที
“ท่านบอกว่า ท่านคือไป๋จูเหวิน”เหม่ยหลินถามด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ใช่ ข้าคือไป๋จูเหวิน”ไป๋จูเหวินตอบด้วยท่าทีงุนงงไม่ต่างกัน ทำไมนางต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อมันด้วย
“เช่นนั้น ท่านก็เป็นคนที่อสูรตนนั้นพูดถึง ทะ ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับเขตอสูร...”หญิงสาวถามด้วยสีหน้าร้อนรนจนไม่เหมือนหญิงสาวที่เจอก่อนหน้านี้เลย แถมดวงตายังชื้นขึ้นมาราวกับจะร้องให้
“จะ ใจเย็นก่อน...”ไป๋จูเหวินสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีร้อนรนจนน่าประหลาด มันรีบยกสองมือขึ้นทำปางห้ามญาติก่อนจะถอยออกมานิดหน่อย
“ขอโทษ...ข้าแค่เป็นห่วงพี่หยวนหยวน”เหม่ยหลินว่าพลางหลบตาไป๋จูเหวินไปครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นไร ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่ามีเรื่องอะไรกัน”ไป๋จูเหวินถามพลางพยายามทำให้อีกฝ่ายใจสงบลง
“วันนั้นข้าเข้าไปในเขตอสูรเพื่อตามสืบเรื่องอสูรยักษ์ที่โผล่ออกมาใกล้ๆเขตอสูร..”เหม่ยหลินเล่าพลางชี้ไปทางทิศใต้
“ตอนที่พวกเราโดนอสูรพวกนั้นจับเอาไว้ อสูรพยัคฆ์ตนหนึ่งก็เข้ามาและจับตัวพี่หยวนหยวนไป”เหม่ยหลินเล่าด้วยสีหน้าที่ราวกับจะร้องให้ ทั้งๆที่นางมีพลังมากมายเช่นนี้กลับทำอะไรไม่ได้ นางในยามนี้รู้สึกไม่ต่างจากเด็กสาวธรรมดาผู้ไน้กำลังเลย
“อสูรพยัคฆ์....”ไป๋จูเหวินนิ่งเงียบไปอยู่หลายอึดใจ หากพูดถึงอสูรพยัคฆ์ที่อยู่ในเขตอสูรย่อมมีมากมาย อาจจะไม่ใช้น้าพยัคฆ์ก็เป็นได้
“อสูรพยัคฆ์ตนนั้นพูดชื่อท่านออกมาราวกับรู้จักท่าน...”ได้ยินเช่นนั้นไป๋จูเหวินก็ถึงกับเหงื่อซึม ไม่ต้องเดาอะไรอีกแล้ว คนที่จับอสูรของเหม่ยหลินไปย่อมเป็นน้าพยัคฆ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เริ่มเดิมทีคนที่ทำให้นักล่าอสูรเดินทางไปที่เขตอสูรก็คือน้าไก่ฟ้าเสียด้วย ความผิดพราดครั้งนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวไป๋จูเหวินและเหล่าน้าๆของมันเอง
“เช่นนั้นข้าจะไปที่เขตอสูรและพาพี่หยวนหยวนของท่านกลับมาเอง”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มออกมา
“ท่าน..ท่านจะเข้าไปงั้นเหรอ”เหม่ยหลินถามพลางขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ เหม่ยหลินได้เข้าไปในเขคอสูรมาแล้ว และได้ทราบดีว่ามันอันตรายขนาดไหน
“ข้าพอมีทางเข้าไปได้อยู่”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มเจื่อนๆ จะบอกว่าเขารู้จักทุกซอกทุกมุมของเขตอสูรเลยก็ว่าได้
“เช่นนั้นข้าจะไปด้วย”เหม่ยหลินพูดด้วยสีหน้าจริงจังทำเอาไป๋จูเหวินรู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อย การพามนุษย์เข้าไปในเขตอสูรย่อมไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่พอเห็นสีหน้าของเหม่ยหลินไป๋จูเหวินกลับนึกคำปฏิเสธไม่ออก นางคงเป็นห่วงพี่หยวนหยวนมากจริงๆ อย่าว่าแต่ไปกับไป๋จูเหวินยังไม่มีทางเจออสูรทำร้ายอีกต่างหากเรียกว่าปลอยภัยหายห่วง
“ท่านจะไปด้วยก็ได้...”ไป๋จูเหวินว่าพลางกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง
“แต่ท่านห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร เข้าใจหรือไม่”
*ตอนนี้อาจจะมีคำผิดบ้างนะครับ พอดีผมไม่สบายแค่เขียนก็เต็มที่แล้วแถมสั้นอีกต่างหาก TT