ตอนที่ 99 ทุบตีเหมือนกับครั้งก่อนๆ
ฉีฮวงเย่และคนอื่นๆโกรธเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยเหอเลอ
มาบอกให้หลิงฮันคุกเข่าและเลียรองเท้าคนอื่น นี่คือความอัปยศแบบไหนกัน? ถ้าเว่ยเหอเลออยู่ในระดับก่อเกิดธาตุ หรือเป็นนักปรุงยาระดับดำ มันก็อาจจะมีคุณสมบัติที่จะสั่งคำสั่งไร้เหตุผลแบบนี้ แต่มันยังเป็นเพียงนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำเท่านั้น พลังบ่มเพาะเองก็อยู่ที่ระดับรวมธาตุขั้นหนึ่ง มันเอาความมั่นใจมาจากไหนกันถึงได้พูดจาใหญ่โตขนาดนั้น?
คนที่เกิดในเมืองจักรพรรดิช่างทำตัวเหมือนกับว่าพวกมันอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆจริงๆ
“เจ้าทำเกินไป!” จิงหวู่จื้อตะโกนออกมาทันที “เว่ยเหอเลอ เจ้าเป็นเพียงนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำเท่านั้น เจ้าไม่คิดรึไงว่าเจ้าอวดดีเกินไป?”
“เจ้ากล้าต่อต้านข้า?” เว่ยเหอเลอยิ้มอย่างเย็นชา มันดูมีท่าทางมั่นใจอย่างมาก
จริงอยู่ที่ตอนนี้มันยังเป็นเพียงนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำ แต่อนาคตของมันนั้นไร้ที่สิ้นสุด ไม่เช่นนั้นแล้ว ทำไมเฟิงหลัวจะต้องพยายามที่จะเป็นสหายกับมันด้วย? แน่นอนว่าที่มันยอมเป็นสหายกับเฟิงหลัวเป็นเพราะพี่ชายของมัน เฟิงหยาง ถ้าไม่ใช่เพราะเฟิงหยาง มันจะนำเรื่องของจอมยุทธระดับรวมธาตุคนหนึ่งมาคิดมากทำไม?
มันมีความสามารถในศาสตร์ปรุงยาที่โดดเด่น ในขณะที่เฟิงหยางอาจจะกลายเป็นผู้นำแห่งศาสตร์วรยุทธ เพราะอย่างในโนโลกนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะได้เป็นราชา ไม่ว่ามันจะพัฒนาทักษะปรุงยาของมันไปได้สูงขนาดไหน มันก็ยังต้องได้รับความช่วยเหลือจากจอมยุทธที่แข็งแกร่ง
จิงหวู่จื้อรู้สึกเหมือนโดนกระตุ้นจนอยากจะเข้าไปชกหน้าใครบางคน เว่ยเหอเลอมีพลีงเพียงระดับรวมธาตุขั้นหนึ่ง และจากที่ดูแล้ว มันสามารถมาถึงระดับนี้ได้เป็นเพราะการช่วยเหลือของเม็ดยา จิงหวู่จื้อสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดายโดยใช้เพียงมือเดียว ยิ่งกว่านั้น สถานะเพียงแค่นักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำไม่ได้ทำให้มันกังวลอะไรมากนัก เพราะพวกมันจะไม่มีทางมาขอให้เว่ยเหอเลอหลอมยาให้อย่างแน่นอน
ปัยหาก็คือเว่ยเหอเลอมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นศิษย์ของหวู่ซงหลิน และหวู่ซงหลินคือนักปรุงยาระดับดำขั้นสูง! ก่อนหน้านี้ พวกมันสร้างความประทับใจต่อหลิงฮันโดยการยอมแพ้การประลองในเมืองต้าหยวนเป็นเพราะเบื้องหลังของมันมีนักปรุงยาระดับดำขั้นต่ำอยู่ถึงสามคน อย่างไรก็ตาม หวู่ซงหลินนั้นเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่าทั้งสามคนมากนัก ดังนั้นพวกมันถึงได้รู้สึกกดดันอย่างมาก
สีหน้าของจิงหวู่จื้อเปลี่ยนเป็นมืดมนและเย็นชา แต่มันก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกไป
“แล้วเจ้ามีสิทธิอะไรมาทำตัวอวดดีแบบนั้น!” ไป๋ลี่เถิงหยุนนั้นอยู่ในช่วงวัยรุ่น มันจึงถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่ายๆ มันรู้ว่าตัวมันเป็นพลเมืองของเมืองต้าหยวน ดังนั้นถึงแม้เว่ยเหอเลอคนนี้จะกลายเป็นนักปรุงยาระดับดำได้สักวันหนึ่ง มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อมัน เพราะงั้นมันเลยไม่กลัวที่จะล่วงเกินเว่ยเหอเลอ
เว่ยเหอเลอรู้สึกไม่พอใจและพูดออกมา “เจ้ากำลังท้าทายข้างั้นรึ?”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม? เจ้ากล้ามาสู้กับข้ารึเปล่า?” ไป๋ลี่เถิงหยุนพูดออกมา
“นายน้อยเว่ย!” ในตอนนั้นเอง รุ่นเยาสามคนได้เดินเข้ามา คนที่มาใหม่ทั้งสามคนล้วนแต่มีออร่าที่ทรงพลังปล่อยออกมารอบกาย พวกมันทุกคนอยู่ในระดับรวมธาตุขั้นเก้า
“เป็นพวกเจ้านี่เอง” เว่ยเหอเลอชำเลืองมองไปที่ทั้งสามคน จากนั้นมันได้ยิ้มบางๆอย่างขอไปที
“นายน้อยเว่ย ท่านกำลังมีเรื่องลำบาก?” หนึ่งในพวกมันพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม คนที่พูดขึ้นมาเป็นชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีเขียว รูปร่างค่อนข้างสูง
เว่ยเหอเลอเผยรอยยิ้มดูถูกและชี้ไปยังไป๋ลี่เถิงหยุน “เจ้าหมอนี่พูดว่าอยากจะท้าทายข้า”
“ฮ่าๆๆ เจ้าพวกโง่เง่าเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน ถึงได้กล้ามาท้าทายนายน้อยเว่ย?” ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะดังขึ้นมา มันกวักนิ้วไปทางไป๋ลี่เถิงหยุนและพูด “เข้ามาสิ ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง”
จะไม่ให้ไป๋ลี่เถิงหยุนตอบโต้คำพูดยุแหย่แบบแบบนั้นได้อย่างไร? มันกำลังจะยอมตกลง แต่ฉีฮวงเย่ได้คว้าตัวมันไปไว้ข้างหลัวเสียก่อน “เหวินฮ่ายซิง นี่เจ้ากลายเป็นใครไร้เหตุผลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หัวกะทิร้อยอันดับแรกกลับคิดจะมารังแกคนที่เพิ่งจะเข้าร่วมกับสำนัก!”
“โอ้ ราชันรัติกาลนี่เอง!” ชายหนุ่มชุดเขียวทำท่าเหมือนกับเพิ่งจะสังเหตุเห็นฉีฮวงเย่ มันประสานมือทักทายไปยังที่ฉีฮวงเย่และพูด “ไม่แปลกใจที่เจ้ากล้าล่วงเกินนายน้อยเว่ย องค์ชายสี่แห่งเมืองต้าหยวนช่างยิ่งใหญ่เสียจริง”
คำพูดของมันเหมือนจะยกย่องฉีฮวงเย่ แต่ในความจริงมันจงใจที่จะพูดเยาะเย้ยอีกฝ่าย
สีหน้าของเว่นเหอเลอเปลี่ยนเป็นมืดมนและพูด “เจ้าเป็นเชื้อราชวงศ์นี่เอง เจ้าถึงได้อวดดีนัก!” มันได้แสดงพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งการปรุงยาออกมาออกมาตั้งแต่ตอนเด็ก ทุกๆคนในวัยเดียวกันต่างก็พยายามจะสร้างความพึงพอใจให้มันเพื่อที่จะได้เป็นสหายกับคนที่จะกลายเป็นสุดยอดนักปรุงยาในอนาคตอย่างมัน คำพูดของเหวินฮ่ายซิงได้ไปกระตุ้นทำให้มันรู้สึกไม่พอใจท่าทางของฉีฮวงเย่อย่างมาก
“หลิงฮัน เจ้าจะคุกเข่าลงหรือไม่?” เฟิงหลัวพูดแทรกขึ้นมา คนที่มันเกลียดมากที่สุดคือหลิงฮัน ส่วนฉีฮวงเย่นั้นเป็นองค์ชายสี่ของเมืองต้าหยวน และมีโอกาสสูงมากที่จะได้สืบทอดบัลลังก์ของราชาต้าหยวน ดังนั้นเฟิงหลัวจึงไม่ต้องการที่จะล่วงเกินฉีฮวงเย่
“โอ้ น้องชายของศิษย์พี่เฟิงหยางนี่เอง” เมื่อเหวินฮ่ายซิงและพรรคพวกของมันรู้ถึงตัวตนของเฟิงหลัว พวกมันได้ยิ้มขึ้นมาทันที ถึงแม้พวกมันจะดูถูกเฟิงหลัว แต่พวกมันก็ไม่กล้าแสดงออกมาในที่สาธารณะ เพราะเฟิงหยางนั้นแข็งแกร่งเกินไป และจากข่าวลือ เขามีความสามารถที่จะท้าประลองและกลายเป็นศิษย์หลัก
หนึ่งในพวกมันมองไปยังหลิงฮันและพูด “เจ้าหนู ข้าเชิงหยู่หยวนจะขอพูดครั้งเดียว ถ้าเจ้าไม่ทำให้ศิษย์น้องเฟิงหลัวพึงพอใจ เจ้าจะถูกหามขึ้นเปลกลับไปยังสำนัก”
“ข้า เม่อจงกวงก็ขอพูดแบบนั้นเช่นกัน!” ชายหนุ่มคนที่สามพูดขึ้นมา
เฟิงหลัวภูมิใจเป็นอย่างมาก และหัวเราะดังขึ้นมา “หลิงฮัน เจ้าจะยังกล้ามาไร้เหตุผลกับข้าอีกไหม? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้าไม่แยแสต่อข้า? เจ้าสร้างความอัปยศให้ข้าหลายต่อหลายครั้ง เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร? เพียงแค่หนึ่งนิ้วของข้าก็มีค่ามากกว่าชีวิตเจ้าพันเท่าแล้ว”
เว่ยเหอเลอและคนอื่นๆยิ้มอย่างเย็นชา พวกมันไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับแค่ศิษย์ใหม่อยู่แล้ว คนที่พวกมันจะไม่ไปล่วงเกินเด็ดขาดเลยคือทายาทโดยตรงของแปดตระกูลใหญ่เท่านั้น
ด้านนอกประตูทางเข้า ทหารยามสี่คนของตำหนักสมบัติวิญญาณมองดูอย่างไม่สนใจ ตราบใดที่ไม่มีใครสร้างปัญหาข้างในตำหนัก ต่อให้ท้องฟ้าจะถล่ม พวกมันก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
“คุกเข่า!” เฟิงหลัวคำราม
“คุกเข่าพี่สาวเจ้าสิ!” หลิงฮันยื่นมือออกไปทางเฟิงหลัว
“กล้าดีอย่างไร!” เหวินฮ่ายซิง เม่อจงกวง และเชิงหยู่หยวนตอบโต้ได้ทันเวลา พวกมันทุกคนอยู่ในระดับรวมธาตุขั้นเก้า แถมยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย พวกมันทุกคนไม่มีใครด้อยไปกว่าฉีฮวงเย่ การจู่โจมพร้อมกันของพวกมันทั้งสามคนนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“ไสหัวไปซะ!” หลิงฮันใช้ทักษะย่างก้าวเมฆาสลาย ทำให้ผ่านการป้องกันของทั้งสามคนไปได้
เหวินฮ่ายซิงและคนอื่นๆตกตะลึง พวกมันสังเกตเห็นว่าหลิงฮันอยู่ในระดับรวมธาตุขั้นห้าเท่านั้นจึงไม่ได้เอาจริงด้วย ใครจะไปคิดว่าหลิงฮันจะรวดเร็วและเคลื่อนไหวได้ซับซ้อนขนาดนี้?
พวกมันไม่ได้เอาจริง เลยทำให้หลิงฮันผ่านการล้อมของพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย
หลิงฮันปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเฟิงหลัว และยื่นมือออกไปคว้าตัวอีกฝ่าย
“เจ้ากล้ารึ!” เว่ยเหอเลอเบี่ยงตัวไปข้างหน้าเฟิงหลัว มันรู้ตัวดีว่ามันคือนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำ และมีโอกาสจะเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปรุงยาในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าหลิงฮันจะมีความกล้าขนาดไหน เขาก็ต้องไม่กล้าจับแม้แต่เส้นผมของมันแน่นอน
“เพี๊ยะ!”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่มันกำลังคิดแบบนั้นอยู่ มันได้ถูกหลิงฮันตบอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกไป
บัดซบ หมอนี่กล้าตบมันงั้นรึ?
หลิงฮันตบไปอีกครั้ง ทำให้เฟิงหลัวล่วงลงไปที่พื้น ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมา เท้าของหลิงฮันเหยียบลงไปที่หน้าของเฟิงหลัว
“บัดซบ เจ้ากล้าเหยียบข้า? เจ้ามันเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว พี่ชายของข้าจะต้องสังหารเจ้าแน่นอน!” เฟิงหลัวคร่ำครวญอย่างหวาดกลัวในขณะที่พูดขู่หลิงฮัน
นายน้อยที่ถูกตามใจมาอย่างมันกล้าแค่พูดข่มขู่เท่านั้น ที่นี่คือเมืองจักรพรรดิ การสังหารผู้อื่นถือว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง
เว่ยเหอเลอที่อยู่ข้างๆเต็มไปด้วยความโกรธ มันถูกคนอื่นตบ? ช่างอวดดีและน่ารังเกียจยิ่งนัก! มันจะไม่มีทางปล่อยเจ้าคนงี่เง่านี่เอาไว้แน่!
“หืม ศิษย์น้องเว่ย?” ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มและหญิงสาวได้เดินเข้ามา เมื่อสตรีนางนั้นเห็นใบหน้าของเว่ยเหอเลอ นางแสดงสีหน้าที่ตกใจออกมา
“ศิษย์พี่หลี!” เว่ยเหอเลอรีบลุกขึ้นมา ท่าทีของมันเต็มไปด้วยความคำรพ
สตรีนางนี้คือ หลีซื่อฉาง
ต่อหน้าคนอื่น เว่ยเหอเลอจะแสดงท่าทีที่หยิ่งยโส แต่ต่อหน้าหลีซื่อฉาง มันทำได้เพียงเก็บความอวดดีของมันเอาไว้ เพราะพรสวรรค์ในการปรุงยาของหลีซื่อฉางนั้นเหนือกว่าของมัน
หวู่ซงหลินชื่นชมในพรสวรรค์ของมัน แต่หลีซื่อฉางต่างหากที่เป็นศิษย์รักที่แท้จริงของหวู่ซงหลิน ถึงแม้มันจะกลายเป็นศิษย์ของหวู่ซงหลิน มันก็ยังต้องปฏิบัติต่อหลีซื่อฉางด้วยความเคารพ
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*