DND.57 - ความพ่ายแพ้ของเหล่าอัจฉริยะ
เซิงยี่หลินหุบยิ้มที่ฝืนความโกรธในใจออกมา
เซิงยี่หลินยังมิทันได้สะสางเรื่องที่ซือหยูร่วมเตียงกับเซี่ยจิงหยู แต่ในตอนนี้ซือหยูช่างจองหองและทำให้เขาต้องอับอายต่อหน้าผู้คน
กล้ามเนื้อเขาเริ่มหดเกร็งเมื่อหัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆ เจ้ามั่นใจเกินไปเหลือเกินนะ ช่างน่ายกย่องซะจริง...”
ซือหยูตวาดด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าจะพูดมากเกินไปแล้ว! ถ้าจะสู้ก็เข้ามา หากไม่ก็ออกจากลานประลองไปซะ!”
ซือหยูคิดเพียงการช่วยดยุคเซี่ยหยูเท่านั้น เขาจะต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่า เขามิอาจทนการปลิ้นปล้อนเซิงยี่หลินได้!
เซิงยี่หลินแสร้งมีมารยาทต่อไปไม่ไหวเพราะซือหยูด่าทอเขาต่อหน้าธารกำนัล เขาหน้าแดงก่ำและหยุดปกปิดความเยือกเย็นภายใน
“รู้ที่ต่ำที่สูงซะบ้าง! ให้ศิษย์พี่สอนมารยาทหน่อยแล้วกัน!”
เซิงยี่หลินพุ่งไปข้างหน้าราวกับพยัคฆ์
ไม่นานร่างกายของเขาก็มีชั้นแสงปกคลุมจนดูบิดเบี้ยว
“สิบหมัดเบญกระจ่าง!”
เขาตะโกนและปล่อยหมัดไปข้างหน้า
เมื่อรวมกับฎีกาสวรรค์แล้วจะทำให้แสงจากหมัดปรากฏขึ้นและหายไปอย่างสับสน
หนึ่งหมัดเล็งไปที่อกซือหยู แต่ในเสี้ยววิหมัดนั้นกลับเปลี่ยนทิศไปที่แขน! แต่ละหมัดปรากฏและหายไปอย่างลึกลับ ทำให้ยากที่จะบอกว่ามันมาจากไหน!
ในตอนนั้นเองดวงตาของซือหยูได้เปลี่ยนเป็นสีแก้ว!
เมื่อสิบหมัดใกล้เข้ามา...ซือหยูเริ่มเคลื่อนไหว!
“วายุกระหน่ำ!”
ซือหยูใช้เพียงวิชาระดับกลางเพื่อต่อสู้กับฎีกาสวรรค์!
ปั้ง ปั้ง ปั้ง---
ซือหยูเตะสิบครั้งในเวลาเสี้ยววินาที แต่ละครั้งเล็งไปที่หมัดของเซิงยี่หลินที่ปรากฏและหายไปอย่างลึกลับ!
ราวกับในใจซือหยูรู้อยู่แล้วว่าหมัดของเซิงยี่หลินมาจากทิศทางไหน
ซือหยูเดาว่าหมัดจะมาจากทางไหนและเข้าปะทะกับหมัดอย่างแม่นยำ!
เกิดเสียงปะทะกันสิบครั้งในลานประลอง
ชั้นแสงที่ปกคลุมเซิงยี่หลินได้หายไปเพราะซือหยู!
“นี่เจ้า! เป็นไปได้ยังไง?”
เซิงยี่หลินตกตะลึง
หนานเฟยทำได้แค่ป้องกันหมัดนี้เพียงสามหมัด แต่ซือหยูกับมองฎีกาสวรรค์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและป้องกันตัวอย่างง่ายดาย!
แน่นอนว่าเซิงยี่หลินไม่รู้ว่าซือหยูได้ใช้พลังดวงตา
วิชาสิบหมัดเบญกระจ่างของเซิงยี่หลินลึกลับซับซ้อนมากอย่างมิต้องสงสัย แต่เมื่อมันช้าลง...ความลึกลับก็ได้กระจ่างอย่างรวดเร็ว
ตามปกติซือหยูจะไม่ใช้พลังดวงตาเพราะต้องการเก็บพลังไว้ใช้ยามคับขัน แต่เหตุการเร่งด่วนเช่นนี้เขาต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อประหยัดเวลา
ซือหยูพุ่งเข้าหาโดยไม่สนใจเซิงยี่หลินที่กำลังตกตะลึง ซือหยูยังคงใช้วิชาระดับกลางเช่นเดิม
แค่วิชาระดับกลางก็เกินพอจะชนะเซิงยี่หลิน!
เซิงยี่หลินทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว เขาต้องการคำตอบจากซือหยู! เขาบ่มเพาะวิชาของเขาจนถึงระดับสามขั้นกลาง แต่ซือหยูกลับฝึกจนถึงระดับสามขั้นสูง
แม้พื้นฐานบ่มเพาะของเซิงยี่หลินจะมากกว่าซือหยู ซือหยูก็มีร่างกายอันยอดเยี่ยม ด้วยความต่างนี้ซือหยูจึงเหนือกว่า!
ครืนนน ปั้ง ปั้ง--
เซิงยี่หลินถอยครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อซือหยูพุ่งเข้ามา นั่นทำให้เหล่าผู้ชมตัวแข็งทื่อ!
นี่คือเซิงยี่หลินคนเดียวกับที่ชนะหนานเฟยในกระบวนท่าเดียวงั้นรึ? ต่อหน้าซือหยูเขาทำได้เพียงป้องกันตัวเอง!
เซิงยี่หลินทั้งอัปยศและโกรธเกรี้ยว เขาด้อยกว่าซือหยูจริงๆ!
ตลอดมาเขารู้สึกว่าซือหยูคือผู้ที่ทนเขาไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียว หากเขาเอาจริง เอาจะชนะทุกคนอย่างง่ายดาย เขาจึงไม่เคยมองซือหยูอย่างจริงจัง
แต่เขาที่สู้กับซือหยูครั้งแรกเขาก็พบว่าตัวเองนั้นด้อยกว่าซือหยู!
ความต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันช่างยากที่จะทำให้เขายอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้!
และมันยังยากมกที่จะยอมแพ้ต่อหน้าเซี่ยจิงหยู!
ด้วยขาทั้งสองของซือหยู วายุกระหน่ำที่เซิงยี่หลินเห็นราวกับมาจากแดนหิมะ ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาเย็นไปทั้งหัวใจ กระดูก และจิตวิญญาณ
“ออกไปนะ...”
เซิงยี่หลินตะโกนอย่างไม่พอใจ!
ตู้ม--
ซือหยูเตะปากเซิงยี่หลินด้วยลูกเตะน้ำแข็งอย่างโหดเหี้ยม
อ๊ากก---
เซิงยี่หลินตัวสั่นระริก ปากของเขาที่อ้าปากพูดนั้นแข็งขยับไม่ได้ น้ำลายในปากกลายเป็นน้ำแข็ง แก้มของเขาเต็มไปด้วยหิมะ
เขาถูกเตะที่ใบหน้าอีกครั้งอย่างโหดเหี้ยม เซิงยี่หลินกระเด็นออกจากลานประลอง!
สามกระบวนท่า!
ซือหยูชนะเซิงยี่หลินด้วยสามกระบวนท่า!
เซิงยี่หลินที่กระเด็นออกจากลานประลองทั้งอัปยศและโกรธ
“เจ้า...”
ซือหยูแววตาเยือกเย็น
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีสิทธิ์ชี้แนะอะไรข้านะ ฎีกาสวรรค์ของเจ้ามิได้ยอดเยี่ยม อ่อนแอกว่าวิชาระดับกลางด้วยซ้ำ”
ตอนที่ซือหยูเห็นฎีกาสวรรค์ของเซิงยี่หลินเขาก็ไม่ประทับใจ...แม้จะไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด
เขารู้สึกว่าฎีกาสวรรค์ของเซิงยี่หลินมันจืดชืดและไร้จังหวะ ซือหยูไม่เข้าใจว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาเป็นผู้ใช้ฎีกาสวรรค์?
เซิงยี่หลินหน้าแดงก่ำ ตอนแรกเขาพูดว่าจะชี้แนะซือหยู แต่ในท้ายสุดเขากลับอ่อนแอกว่าวิชาระดับกลางของซือหยู!
เขาที่อัปยศอยู่เต็มหัวใจเหลือบมองไปยังเซี่ยจิงหยู
เขาเห็นเซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนมองซือหยูด้วยแววตาสดใส แววตาเต็มไปด้วยความนับถือ
เมื่อนางรู้สึกว่าเซิงยี่หลินกำลังมอง นางก็มองเขาและส่ายหัวเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองทางอื่นอย่างเย็นชา
แววตาของนางบอกทุกสิ่งโดยมิต้องเอื้อนเอ่ยคำใด นางบอกเซิงยี่หลินว่าฎีกาสวรรค์มิใช่สิ่งพิเศษเพราะพ่ายแพ้วิชาบ่มเพาะขั้นกลาง ถึงอย่างนั้นเขาก็กล้าจะเอามันมาขอหมั้นนาง
อั่ก---
ร่างกายเขาบาดเจ็บอยู่แล้ว และเซี่ยจิงหยูยังทำร้ายจิตใจของเขาเช่นนี้ทำให้เขาพ่นโลหิตออกมา เขาหมดสติทันที
เซิงยี่หลิน อันดับหนึ่งแห่งสำนักเซี่ยนหยู พ่ายแพ้ราบคาบ!
หลายคนมองเงาร่างสีม่วงบนลานประลองและกลัวจนตัวสั่น
“ชัยชนะเป็นของซือหยู!”
ผู้ตัดสินตกตะลึง วิชาขั้นกลางเอาชนะฎีกาสวรรค์ไปแล้ว สิ่งเหนือจินตนาการกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
แม้หลายคนจะทึ่ง แต่คนจากวิหารก็ดูไม่ประทับใจ
“ฎีกาสวรรค์มีหลายประเภท มีทั้งประเภทโจมตีและสนับสนุน ฎีกาสวรรค์ของเซิงยี่หลินใช้แสงลวงตาเพื่อเอาชนะศัตรู มันคือฎีกาสวรรค์แบบสนับสนุน มันมิได้แข็งแกร่งและถ้าหากมองภาพลวงตาออกมันก็เสียพลังไปทั้งหมด มิแปลกใจที่เขาแพ้”
ผู้รับใช้เพลิงกล่าว และมองซือหยู
“ส่วนซือหยู ถือว่ายอมรับได้”
เหล่าผู้ประเมินแอบพยักหน้า แม้ผู้รับใช้เพลิงจะประเมินเซิงยี่หลินต่ำกว่าความจริง เขาก็มิอาจปฏิเสธว่าฎีกาสวรรค์ของเขาไม่ได้แกร่งอย่างที่คิด
ฎีกาสวรรค์คือสิ่งจำเป็นในการขึ้นเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ แต่หลายต่อหลายคนเชื่อมั่นในพลังของฎีกาสวรรค์เกินไป พวกเขาคิดว่าหากเชี่ยวชาญฎีกาสวรรค์แล้วเขาจะไร้เทียมทาน แต่เขามิได้รู้เลยว่าฎีกาสวรรค์นั้นแบ่งเป็นหลายระดับเช่นเดียวกับวิชาทั้งหมด
ฎีกาสวรรค์ของเซิงยี่หลินนั่นมิได้เก่งกาจ หรือจะบอกว่าเขาประเมินฎีกาสวรรค์ตัวเองสูงไปมาก
ผู้ตัดสินสังเกตพลังของซือหยูและพบว่าเขาเหนื่อยเล็กน้อย
วายุกระหน่ำใช้พลังเพียงน้อยนิด แต่พลังดวงตานั้นกินพลังกายไปมาก
นี่คือเหตุที่ซือหยูมักจะไม่ใช่พลังดวงตา มันเป็นท่าที่ใช้พลังมหาศาล หากไม่อยู่ในจุดวิกฤติเขาจะไม่มีวันใช้มันเด็ดขาด
“ซือหยู จากนี้เจ้าคือผู้คุ้มกันลานประลอง ตามกฎแล้วหลังจบการประลองเจ้าจะได้พักหนึ่งชั่วยาม เจ้ามีเวลาหนึ่งชั่วยามในการเตรียมรอบถัดไป”
ผู้ตัดสินเตือนอย่างหวังดี
ซือหยูหายใจเข้าลึกให้ใจเย็นลง
“ไม่จำเป็น!”
ซือหยูยืนอยู่ที่ขอบลานประลองและมองจุดแปดอัจฉริยะที่เหลือ
“เจ้า ขึ้นมา!”
ซือหยูเลือกคนที่พลังน้อยที่สุด...เขาคือศิษย์อสูรที่แกร่งที่สุดในซักสำนัก
ฟึ่บ--
คู่ประลองกระโดดขึ้นมายังลานประลองด้วยความมั่นใจ
“ซือหยู แม้ทุกคนจะพูดว่าเจ้าเป็นม้ามืด ข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าจะแกร่งกว่าข้า!”
“หมัดมังกรสายฟ้า!”
วิชาขั้นกลางที่ฝึกจนถึงระดับสามขั้นกลาง!
หมัดทั้งสองราวกับเป็ยมังกรวารีที่ผุดขึ้นมาจากมหาสมุทร!
นี่เป็นวิชาระดับกลางที่เหนือวิชาระดับกลางทั้งหมด!
“วายุกระหน่ำ!”
ซือหยูเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างไร้อารมณ์
ปั้ง ปั้ง--
อ๊าก--
เตะหนึ่งครั้ง...หมัดของคู่ต่อสู้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง
เตะสองครั้ง...คู่ต่อสู้ชาไปทั้งร่าง
เตะสามครั้ง...คู่ต่อสู้กระเด็นออกจากลานประลอง!
ศัตรูพ่ายแพ้เพียงการโจมตีสามครั้ง!
แม้ซือหยูจะมีพลังแค่ระดับห้าขั้นต้น เขาก็เอาชนะศิษย์อสูรที่มีพลังระดับหกได้!
“ซือหยู ชนะต่อเนื่องสองครั้ง!”
ผู้ตัดสินประกาศ
ซือหยูมิรอคอยเวลา เขาเต็มไปด้วยความกังวล!
ตลอดการประลองต้องรอความเห็นของเหล่าผู้ประเมินและผู้รับใช้เพลิง นั่นกินเวลากว่าชั่วโมง เวลายาวนานเช่นนี้ทำให้ซือหยูหวั่นใจ!
หลังจากชนะติดต่อกันสองครั้ง ซือหยูเหลือเวลาเพียงแปดชั่วโมง!
เขายังมีศัตรูเหลืออีกเจ็ดคน ทุกคนที่เขาเจอจะแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
แม้เขาจะรู้สึกเหนื่อย ซือหยูก็ไม่มีเวลาหยุดพักแม้วินาทีเดียว
“เจ้า...ขึ้นมา!”
ผู้ตัดสินประหลาดใจ ทุกคนที่ต่อสู้ติดกับสามครั้งจะต้องใช้พลังจนหมด เหตุใดซือหยูจึงรีบร้อนเช่นนี้?
บางคนเริ่มตระหนักได้ว่ามีบาอย่างผิดปกติ ดูเหมือนซือหยูกำลังแข่งกับเวลา...เขาปฏิเสธที่จะพัก!
การประลองที่สาม!
“อสรพิษเจ็ดก้าว!”
“วายุกระหน่ำ!”
“อ๊าาา--”
ซือหยู ชนะต่อเนื่องสามครั้ง!!
ประลองครั้งที่สี่!
“ข้ามิเชื่อว่าจะแพ้เจ้าหรอก ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะไปได้ซักกี่น้ำ”
“วายุกระหน่ำ!”
“อ๊ากก---”
ซือหยู ชนะต่อเนื่องสี่ครั้ง!
ประลองครั้งที่ห้า!
“ฮื่ม! เจ้าควรจะพักซักหน่อยนะ ข้าไม่อยากจะสู้กับคนที่เหนื่อยอ่อนเช่นนี้ มันไม่ยุติธรรม!”
“วายุกระหน่ำ!”
“อ๊ากกกกก--”
ชนะต่อเนื่องห้าครั้ง!
ซือหยูชนะมาแล้วห้าครั้ง เขายังต้องชนะอีกสี่ครั้งก่อนที่เขาจะได้มงกุฎศักดิ์สิทธิ์!
เหลือเวลาอีกห้าชั่วโมงก่อนดยุคเซี่ยนหยูจะถูกประหาร!
แต่ซือหยูเหนื่อยล้าเต็มที ใบหน้าซีดเผือด เขาตบหน้าตัวเองอย่างแรงเพื่อคืนสติ
ผู้ชมต่างสับสนและเป็นห่วง เขาใช้พลังไปมหาศาล ยิ่งสู้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น พลังของซือหยูอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ศัตรูที่เขาเจอแต่ละคนยังแข็งแกร่งกว่าคนก่อนเรื่อยๆ ชัยชนะต่อเนื่องของซือหยูเริ่มห่างไกลความจริงขึ้นทุกขณะ
“เขาบ้าไปแล้วรึไง? เขาชนะมาแล้วห้าครั้งนะ!”
“ไม่รู้เหมือนกัน...เขาดูบ้าบิ่นไปหน่อย”
ผู้ตัดสินทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ซือหยู พักหนึ่งชั่วยามเดี๋ยวนี้!”
เขาสั่ง
ซือหยูปฏิเสธ เขาลากร่างกายอันเหนื่อยอ่อนไร้ซึ่งพลังไปยังขอบลานประลองและชี้คนที่หก
“เซี่ยจิงหยู มาประลองกันเถอะ!”
เขาไม่มีเวลา! เวลาไม่เหลือแล้ว!
ดยุคเซี่ยนหยูกำลังจะถูกประหาร...หัวใจของเขาร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงและเหนื่อยอ่อนเต็มที่
นอกจากซือหยู เซี่ยจิงหยูก็มีพลังต่อสู้มาถึงสิบอันดับแรกเช่นกัน แม้นางจะยังไม่มีพลังถึงระดับหกก็ตามที
นั่นหมายความว่าเซี่ยจิงหยูมีพลังที่เหนือกว่าคนทั่วไป พลังของนางโดดเด่นกว่าผู้อื่น
สายตาสดใสของเซี่ยจิงหยูเห็นเพียงร่างซือหยูที่อ่อนล้า แม้เขาจะอ่อนแอ เขาก็ยังฝืนตัวเอง
ความจดจ่อ ความปากแข็งและสภาพร้อนรนของเขาเข้าถึงหัวใจของนาง
คุ้มแล้วหรือกับการต่อสู้เพื่อตอบแทนบุญคุณ? เซี่ยขิงหยูคิดว่าไม่คุ้มค่าที่ซือหยูต้องมาทรมานตนเองเช่นนี้
แต่ในใจนางก็ดีใจมาก...ที่ได้พบกับบุรุษที่ยอมสละชีวิตเพื่อเรื่องเช่นนี้
ฟึ่บ--
นางกระโดดขึ้นลานประลองและมองซือหยูอย่างสุดซึ้ง นางส่งสีหน้าให้กำลังใจ
หลังจากนั้นนางก็หันกลับไปกระโดดออกจากลานประลอง ไม่มีใครรู้ว่านางทำอะไรอยู่
ผู้ตัดสินยืนนิ่ง
“เซี่ยจิงหยูยอมแพ้ ซือหยูชนะต่อเนื่องหกครั้ง!”
เขาประกาศ
ซือหยูอบอุ่นใจ ความเคารพรักผุดขึ้นมาในใจของเขาพร้อมกับความสำนึกในบุญคุณ
ถึงคราวดงหลิน
ดวงตาของเขาทั้งโกรธและไม่พอใจ
ตอนที่ดงหลินแพ้ตู้หยุนเทียนนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่ซือหยูชนะหนานเฟย
นี่เท่ากับบอกว่าดงหลินอ่อนแอกว่าซือหยู!
และเขายังสังเกตเห็นอีกว่าองค์ชายสามได้มุ่งหวังทั้งหมดยังซือหยู ความคาดหวังที่เคยอยู่กับเขา...ดงหลินผู้นี้!
เขาร้อนรนด้วยความโกรธและความไม่พอใจ
ตามจริงหากเทียบพลังกันแล้วดงหลินจะแกร่งกว่าหนานเฟย
เพราะยังไงเขาก็มีวิชาบ่มเพาะขั้นสูงขณะที่หนานเฟยมีเพียงวิชาขั้นกลาง
“ซือหยู! ข้าจะประลองกับเจ้า! อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะแกร่งกว่าข้าได้ยังไง!”
ดงหลินลุกขึ้นทันที แววตาเต็มไปด้วยการหยามเหยียด
ซือหยูมีแค่วิชาขั้นกลาง จะสู้กับข้าได้ยังไง?
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา