DND.54 - บุรุษแห่งราชันย์อสูร
การเข้าใจวิชาบ่มเพาะระดับสูงจะต้องมีทักษะในระดับสูง แม้แต่ในสำนักที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะก็มีเพียงศิษย์อสูรไม่กี่คนเท่านั้นที่บ่มเพาะวิชาระดับสูงได้ แต่แม้ว่าศิษย์อสูรนั้นจะมีคุณสมบัติเพียงพอ ก็ยากมากที่จะเข้าใจตำราทั้งเล่ม
ดงหลินที่เข้าใจวิชาระดับสูงจะต้องมีทักษะสูงมาก
พลังปราณเก้าทิศพุ่งไปยังตู้หยุนเทียน และเป็นครั้งแรกที่เขาต้องชักดาบ!
“กระบี่คลื่นเหมันต์!”
แกร๊ง..แกร๊ง--
แสงจากกระบี่สาดไปทั่วทิศทาง
กระบี่เยือกเย็นเจาะทะลุนภา!
อ๊ากก--
การโจมตีของเขาเร็วมาก มันทำให้พลังปราณเก้าทิศสลายไป
พลังกระบี่ที่หลงเหลืออยู่จากการโจมตีแรกทะลุเข้าใส่อกของดงหลินอย่างรุนแรง
ดงหลินตัวสั่นเทิ้ม เกิดบาดแผลยาวที่อกของเขา
ร่างของเขากระเด็นลอยตกจากลานประลอง!
ดงหลินพ่ายแพ้!
ดงหลินแพ้หลังจากถูกสองกระบวนท่าของตู้หยุนเทียน!
องค์ชายสามใจสลายเมื่อตู้หยุนเทียนตกจากลานประลอง เขาเก็บซ่อนอารมณ์ไม่อยู่อีกแล้ว ใบหน้าเขาซีดเผือด
โอกาสที่เขาจะได้ขึ้นเหนือองค์ชายหนึ่งถูกทำลายอย่างสมบูรณ์!
เขาไม่มีทางออก เหลือเพียงสองทางที่เขาจะทำได้
นั่นคือการยอมรับโชคชะตาและรอคอยความตายจากองค์ชายหนึ่ง หรือ...หนีออกจากแคว้นและใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขจรจัด
หลินเสี่ยวหวาดกลัว ตาแดงก่ำน้ำตาไหลพราก เขารู้สึกแหลกสลาย!
แม้องค์ชายสามจะเป็นคนดี แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขา! ทำไมต้องพบจุดจบเช่นนี้กัน?
หลินเสี่ยวรู้โชคชะตาที่องค์ชายสามต้องเจอและใจสลาย!
เขาเช็ดน้ำตาและคุกเข่าต่อหน้าองค์ชายสาม บางทีที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เขาได้แสดงความนับถือต่อองค์ชายสาม
“รถม้าเตรัยมพร้อมแล้ว...นายท่าน...โปรดออกจากเมืองหลวงเถอะ!”
เส้นทางหนีถูกเตรียมพร้อมตั้งแต่ปีที่แล้ว แผนนี้วางไว้เผื่อดงหลินล้มเหลว เพราะพวกเขานั้นเทียบไม่ได้กับกองกำลังขององค์ชายหนึ่งในเมืองหลวงเลย วันหนึ่งร่างของหลินเสี่ยวอาจจะแหลกสลายจมกองโลหิตและถูกลบหายไปจากโลก
แต่แม้เขาจะตายที่นี่ เขาก็จะจับกระบี่ในมือเอาไว้และใช้พลังทั้งหมดต่อสู้เพื่อองค์ชายสาม...เพื่อความหวัง
องค์ชายสามช่วยชีวิตพ่อและแม่ของเขาจากการป่วยรุนแรงและทำให้หลินเสี่ยวได้รับสิ่งที่คุ้มค่า...นั่นคือความเชื่อใจจากองค์ชายสาม...ที่ไม่มีใครได้รับมาก่อน
หลินเสี่ยวที่มีชีวิตอยู่คือข้ารับใช้ที่ภักดีที่สุดต่อองค์ชายสาม และถ้าหากตายไปแล้วเขาก็จะเป็นเงาที่อยู่เคียงข้างองค์ชายสามไปตลอด
การตายเพื่อองค์ชายสามเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันเสียใจ!
องค์ชายสามมองขึ้นไปยังสวรรค์และยิ้มอย่างเศร้าโศก
“สิ้นหวังแล้ว...ชีวิตอันกระจอกงอกง่อยของข้าต้องเสียเลือดเนื้อถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“นายท่าน...เราเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว ไปกันเถอะ!”
หลินเสี่ยวตาแดงก่ำ
องค์ชายหนึ่งที่เห็นจากระยะไกลหัวเราะ
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีออกไปจากเมืองได้งั้นรึ?”
เพื่อล้อมจับกุมซือหยู เมืองหลวงถูกปิดตายด้วยฝีมือองค์ชายหนึ่ง เขาทำให้คนเข้ามาในเมืองหลวงอย่างง่ายดาย แต่ออกไปอย่างยากลำบาก!
มีทหารจำนวนมากเฝ้าประตูเมือง ใครก็ตามที่จะออกจากเมืองต้องถูกตรวจสอบอย่างเคร่งครัด แผนหนีขององค์ชายสามกลายเป็นเรื่องไร้สาระ
ผู้รับใช้เพลิงมองลานประลองด้วยรอยยิ้ม เขาเปิดปากเป็นครั้งแรก
“ตู้หยุนเทียน...ไม่เลว”
ผู้ประเมินทั้งสิบสามรู้อยู่ในใจแล้วว่าตู้หยุนเทียนคือผู้ติดตามของผู้รับใช้เพลิง
ผู้ตัดสินประกาศชัยชนะของตู้หยุนเทียนและหยิบหมายเลขจากกล่องทมิฬ
“รอบต่อไป หมายเลขเก้า ซือหยู ประลองกับหมายเลขสิบเจ็ด หนานเฟย!”
หลังจากประกาศผู้ชมก็เนื้อเต้น
ราชันย์อสูรหนานเฟย!
มีข่าวลือของหนานเฟยจำนวนมาก เขาคืออัจฉริยะที่เปล่งประกายที่สุดในครั้งนี้
เหล่าผู้ชมต่างเต็มไปด้วยพลัง การได้รับชมการต่อสู้ของเขาจะต้องเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังแน่
และศัตรูของเขาคือซือหยู
ซือหยูถือว่าเป็นคนโชคดีในงานประชุมศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ เขาได้อยู่ในกลุ่มที่มีเพียงหกคนที่คนในกลุ่มทุกคนล้วนอ่อนแอ!
“บางทีซือหยูคงจะใช้ดวงหมดแล้วล่ะ ถึงได้มาเจอกับราชันย์อสูรหนานเฟย”
“ฮ่าา--ถ้าเขาได้สู้กับพวกที่มีพลังระดับห้าขั้นสูงล่ะ? ดวงคงจะพาให้เขาไปเป็นผู้ติดตามแห่งวิหารเลยนะ ฮ่าๆๆๆ”
เมื่อได้ยินชื่อซือหยู องค์ชายสามก็จ้องไปยังพื้นที่ว่างเปล่า เขายิ้มอย่างเศร้าสร้อย
“ไปเอาตัวซือหยูมา เราจะหนีไปด้วยกัน”
ซือหยูมีโชคชะตาที่น่าเศร้าไม่ต่างกับองค์ชายสาม และองค์ชายสามนับถือเขาเป็นสหายใกล้ชิด ดังนั้นการให้โอกาสซือหยูหลบหนีถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เขาจะมอบให้ได้
หลินเสี่ยวกังวลใจ พวกเขาจะมีโอกาสมากกว่าหากหนีไปทันที เรื่องมันชักจะยากไปทุกทีแล้ว
“ซือหยู...เจ้าทำให้องค์ชายสามต้องตาย!”
หลินเสี่ยวสาปแช่งในใจ
องค์ชายหนึ่งเริ่มบ่น
“หนานเฟยเรอะ? พลังเขามากกว่าดงหลิน ดูเหมือนซือหยูจะไม่ได้ขึ้นสิบอันดับแรกซะแล้ว...ฮ่าๆๆๆๆๆ..”
เมื่อซือหยูพ่ายแพ้ กำลังจากทั้งแคว้นก็รอคอยที่จะตัดหัวเขา!
หนานเฟยอายุ 16 ปี เขามีเสน่ห์และสง่างาม เขาสวมเสื้อขาวที่ปลิวไหส เมื่อเขาถูกเรียกก็ขึ้นมายังลานประลองอย่างเป็นธรรมชาติ
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงของเหล่าสตรีดังไปทั่วลานประลอง
ซือหยูตาเป็นประกาย เขากระโดดขึ้นลานประลองอย่างรวดเร็วด้วยวิชาเงาเมฆา
ชุดสีม่วงของเขาลู่ลมในพริบตา ใบหน้างดงามของซือหยูได้รับการขัดเกลามาอย่างดีจนน่าประทับใจและเปล่งประกาย เขามั่นใจและบริสุทธิ์
“จริงๆถ้าไม่เทียบเรื่องพลัง ซือหยูก็หล่อเหมือนกันนะ...น่าเสียดายที่เขาอ่อนแอไปหน่อย...”
หญิงสาวอายุ 18 พูด
“ข้าว่าซือหยูหล่อกว่าหนานเฟยซะอีก”
สาวสวยต่างชมเชยบุรุษบนลานประลอง
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบ เซี่ยจิงหยูก็เริ่มกังวล นางยิ้ม
“เขาไม่ได้มีเสน่ห์แต่รูปลักษณ์สักหน่อย ข้างในของเขาก็น่าหลงใหลมิแพ้กัน”
นางพูดเบาๆ
หนานเฟยประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะหน้าตาดี แต่เทียบกับซือหยูไม่ได้เลย
เขามองซือหยูอย่างนับถือ
“น้องซือ เราทั้งสองต่างมีเกียรติ ข้ามิชอบใช้กำลังข่มเหงคนอ่อนแอ เช่นนั้นแล้ว ถ้าหากเจ้าทนข้าได้ยี่สิบกระบวนท่า ข้าจะยอมแพ้ เช่นนี้ดีหรือไม่?”
หนานเฟยหยิ่งในตัวเอง ถึงเขาจะรู้สึกว่าแกร่งกว่าซือหยู เขาก็นับถือรูปลักษณ์ของซือหยู
หนานเฟยที่พูดเช่นนี้ทำให้ซือหยูประทับใจ เขายิ้มและปฏิเสธข้อเสนอ
“พี่หนานเฟย ขอบคุณสำหรับความเมตตา แต่ข้าต้องการทำให้ดีที่สุดในการประลองนี้!”
“เข้าใจแล้ว! หากเจ้ามีจิตใจสูงส่งเช่นนี้...ข้าก็ยินดี!”
หนานเฟยนับถือซือหยูกว่าเดิม การที่ซือหยูอยากจะสู้อย่างเท่าเทียมนั่นหมายถึงเขาจะต้องเป็นบุรุษผู้มีเกียรติอย่างแท้จริง!
“น้องซือ ระวังตัวด้วย!”
หนานเฟยเตือนซือหยูและยื่นนิ้วชี้และนิ้วกลางออกมาชี้ราวกับกระบี่
“ดัชนีกระบี่บัว!”
มือของเขาปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียวรูปลักษณ์เหมือนดอกบัว
รูปลักษณ์กระบี่กรีดผ่านอากาศและเกิดแสงสีขาวที่ปลายนิ้วของเขา
“วิชาบ่มเพาะระดับกลางที่ฝึกจนถึงระดับสามขั้นกลาง ทั่วไป”
ผู้รับใช้แห่งเพลิงให้ความเห็นอย่างเยือกเย็น
คำว่า “ทั่วไป” ทำให้ผู้ประเมินสำนักจื่อฉวนโล่งใจ
ผู้รับใช้เพลิงเข้มงวดอยู่แล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เขาพูดว่า “ทั่วไป”
ดูเหมือนสำนักจื่อฉวนจะรอดพ้นการถูกลงโทษไปได้ หากสำนักไหนได้ผลลัพธ์ย่ำแย่ ผู้ประเมินจะถูกลงโทษ
ผู้ประเมินอีกสิบสองคนเก็บซ่อนความอิจฉาและชมการประลองต่อไป
ซือหยูรับการโจมตีอย่างใจเย็น
“วายุกระหน่ำ!”
ในตอนนั้นเองพายุหิมะก็ได้หมุนวนขึ้น
อากาศรอบๆเย็นลงทันที!
อากาศเย็นกลายเป็นหมอกราวกับฤดูเหมันต์!
ขาของซือหยูโอบล้อมด้วยน้ำแข็งและหิมะ ราวกับมังกรเหมันต์ได้ถือกำเนิดขึ้นและทั้งโลกตกอยู่ในน้ำแข็ง!
“วิชาระดับกลางขั้นเดียวกันอีกแล้วรึ? เขาเพียงอายุสิบสี่เท่านั้นเอง...ทั่วไป”
ผู้รับใช้เพลิงให้ความเย็นอย่างไม่ใส่ใจ
นอกจากฟางหยุน ผู้ประเมินทุกคนต่างนับถือ
“พลังสติปัญญาเขาอาจจะเหนือกว่าหนานเฟยและดงหลินก็ได้ ตระกูลราชวงศ์หาคนที่มีพรสวรรค์ได้ยอดเยี่ยม”
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้อดีตของซือหยู เพราะยังไงชื่อซือหยูก็ยังไม่ดังไปทั่วทวีปแห่งนี้ มีเพียงคนจากเซี่ยนหยูเท่านั้นที่รู้จักเขา
ฟางหยุนเหงื่อแตกพลั่ก เขาไม่รู้ว่าผู้รับใช้เพลิงจะสืบสวนจนรู้ว่าเขาคือผู้ขับซือหยูออกจากสำนักหรือไม่
หากสำนักอ่อนด้อยตระกูลราชวงศ์ในแง่ของการเฟ้นหาอัจฉริยะคงจะเป็นเรื่องน่าอายอย่างมากกับวิหารศักดิ์สิทธิ์
ที่ลานประลอง สองการโจมตีเข้าปะทะกัน!
หนานเฟยพยายามอย่างมากที่จะโจมตีซ้ำไปซ้ำมาด้วยดัชนีกระบี่
ซือหยูที่สร้างหิมะน้ำแข็งออกมาได้ช่างน่าสนใจมาก
แกร๊ง- ตู้ม -- ฟึ่บ-
ฟึ่บ- ฟึ่บ--
ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง ผู้ชมรู้ทันทีว่านี่จะไม่ใช่การต่อสู้สั้นๆแน่
ราชันย์อสูรหนานเฟยตกตะลึง เขาถอยไปสามก้าวและสะบัดนิ้วที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนา เขาตกใจมาก
“ฝึกวิชามาจนถึงระดับเดียวกับข้าแล้วงั้นรึ?”
ซือหยูถอยสี่ก้าว!
นี่เป็นครั้งแรกที่การโจมตีของซือหยูพลังน้อยกว่าศัตรูเล็กน้อย
มันเป็นเหตุการณ์หายาก แต่ราชันย์อสูรก็แปลกใจไม่แพ้กัน เขามีพลังระดับหกขั้นต้นที่สูงกว่าซือหยูสองขั้น ด้วยพลังที่ห่างกันมากขนาดนี้...เหตุใดซือหยูจึงด้อยกว่าเพียงน้อยนิดเช่นนี้กัน?
สมดุลแห่งพลังของซือหยูนั้นมิเทียบเท่ากับระดับของร่างกายซือหยูเพราะเขาได้ดื่มไอหยกเพลิง นั่นทำให้ร่างกายของเขาแกร่งกว่าคนทั่วไป
ตามปกติ การโจมตีของหนานเฟยคงจะทำให้ซือหยูกระเด็นลอยไปไกล...แต่ซือหยูมิใช่คนธรรมดา
“อีกครั้ง!”
ซือหยูตื่นเต้น เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่จะบรรลุระดับต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ใช่จริงๆด้วย การต่อสู้จริงคือวิธีบ่มเพาะพลังที่ดีที่สุด และพลังของหนานเฟยยังสูสีกับเขา ทำให้หนานเฟยคือหินลับมีดที่เหมาะสมกับซือหยู
หนานเฟยหยุดดูแคลนซือหยูและหันมาเอาจริง
“น้องซือ ระวังตัวด้วย ข้าจะไม่ออมมือแล้ว!”
“ดัชนีกระบี่บัว!”
แม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวกัน พลังก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมสามในสิบส่วน!
แต่ซือหยูกลับดีใจ!
ฟึ่บ-- ฟึ่บ --
การโจมตีนี้ทำให้ซือหยูถอยหลังหกก้าว เขาเกือบจะตกจากลานประลอง
ซือหยูเบิกตากว้างด้วยความสนุก เขาคำรามเบาๆ และเข้าปะทะกับราชันย์อสูร
ปั้ง ปั้ง แกร๊ง--
ตู้ม-
เงาของพวกเขาร่ายรำราวกับสายลม พวกเขาต่อสู้กันด้วยพลังลุ่นๆพร้อมกัน
ใต้ลานประลอง ผู้ชมต่างนิ่งงัน
“ซือหยู...เขาสู้ตัวต่อตัวกับหนานเฟยได้ยังไง?”
“ไม่ใช่ว่าเขามีพลังอยู่ในสิบลำดับแรกหรอกรึ?”
องค์ชายหนึ่งยืนขึ้นด้วยความตกตะลึง เขารู้สึกกลัวยิ่งกว่าที่เคยรู้สึก
พลังของซือหยูเกิดกว่าที่เขาคิดไว้!
หากซือหยูยังเป็ต่อไปแบบนี้ก็มีโอกาสที่เขาจะได้อยู่ในสิบลำดับแรก
หากเขาได้เป็นผู้ติดตามวิหารและไปฝึกอยู่ในวิหารเพื่อหาทางมาล้างแค้นให้ดยุคเซี่ยนหยู ถ้าเป็นแบบนั้น….
นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายหนึ่งเกิดความรู้สึกอันไม่คุ้นเคยนี้...ความสำนึกผิด
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา