DND.52 - ประชุมศักดิ์สิทธิ์
หลังจากคิดชั่วครู่เซิงยี่หลินก็เดินมาหาเซี่ยจิงหยูด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“จิงหยู เจ้าคิดถึงเรื่องที่เราคุยกันหรือยัง?”
เซี่ยจิงหยูเงยหน้าขึ้น ใบหน้าชมพูระเรื่อถอดสี นางพูดกับเซิงยี่หลินอย่างเย็นชา
“ขอบคุณศิษย์พี่เซิงกับความเอื้อเฟื้อ...แต่โปรดเรียกข้าว่าศิษย์น้องจะดีกว่า...ข้ามิอยากให้คนอื่นคิดว่าพวกเราสนิทเกินกว่าที่เป็นอยู่”
เดือนก่อนเซิงยี่หลินได้บอกว่าเขาแสดงฎีกาสวรรค์ให้เซี่ยจิงหยูได้
เหตุผลก็เป็นเพียงเรื่องเดียว เขาต้องการให้เซี่ยจิงหยูยอมเป็นหมั้นด้วย แล้วเขาจะแสดงฎีกาสวรรค์ให้นางได้เรียนรู้
ตามจริงแล้วข้อเสนอของเซิงยี่หลินก็คุ้มค่าอย่างมาก ฎีกาสวรรค์คือยอดแห่งวิชา อัจฉริยะนับหมื่น จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นได้เข้าใจฎีกาสวรรค์
ในอาณาจักรเฟิงหลินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ทั้งผู้มีพรสวรรค์และกษัตริย์ปรากฏตัวขึ้นใหม่ตลอดเวลา แต่ผู้ที่เข้าใจฎีกาสวรรค์นั้นมีเพียงหยิบมือเดียว
ฎีกาสวรรค์ล้ำค้ามาก แม้จะเป็นสายเลือดใกล้ชิดที่สุดก็มิอาจส่งต่อให้ได้
เซิงยี่หลินที่สละเพียงนี้ เขาย่อมต้องการสิ่งแลกเปลี่่ยน
แต่น่าเสียดายที่เซี่ยจิงหยูปฏิเสธเขา…
และในตอนนี้นางก็ปฏิเสธอีกครั้ง...อย่างหนักแน่น
ทั้งข้อเสนอและการพยายามเรียกชื่อ ‘จิงหยู’ แทนชื่อเต็ม ทั้งสองอย่างถูกปฏิเสธอย่างเย็นชาและหนักแน่น เซี่ยชิงหยูสะบั้นทุกความสัมพันธ์ที่เขาต้องการ
เซี่ยจิงหยูถอนหายใจอย่างช้าๆ บุรุษทุกคนเป็นแบบเดียวกันหรืออย่างไร? นางรู้สึกหงุดหงิดในใจ ความงดงามเป็นทั้งพรและคำสาป นางต้องทนทรมานกับการที่มีอาจมีสหายเป็นบุรุษที่ไม่หวังอะไรในตัวนาง
เช่นเซิงยี่หลินที่ดูเหมือนจะจริงใจและตรงไปตรงมา แต่แท้จริงเขากลับซ่อนเร้นความตั้งใจที่มีต่อเซี่ยจิงหยูถึงสองปีเต็ม
เขาใช้ความเป็นศิษย์พี่เพื่อนเข้าหาเซี่ยจิงหยู และดูเหมือนว่าจะไม่มีแรงจูงใจอันอื่น นางคิดว่าในที่สุดนางก็ได้สหายที่เป็นบุรุษที่นางเปิดใจด้วยได้
แต่เมื่อเขาได้สำเร็จฎีกาสวรรค์ไม่กี่เดือนก่อน เขาก็เริ่มมั่นใจขึ้น เขารู้สึกว่าจะมีโอกาสได้เป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์...เขาเริ่มอวดดีและวางท่า เขายังรู้สึกอีกว่าเซี่ยหลินฉวนมองเขาด้วยความนับถือ
เขากลายเป็นคนที่มิได้ซื่อสัตย์ต่อความสัมพันธ์กับเซี่ยจิงหยูอีกต่อไป ความมั่นใจจนเกิดเหตุทำให้เขาเผยความต้องการที่แท้จริง
เมื่อความมั่นใจมาถึงจุดสูงสุด เขาก็ขอเซี่ยจิงหยูหมั้นในไม่กี่เดือนก่อน
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้แต่ห่างกันขึ้นทุกวัน
เซิงยี่หลินเป็นเพีย’เชื้อเพลิง’ ที่ถูกกระตุ้น เขาเปิดเผยด้านมืดรวมถึงสายตาโลภโมโทสันต่อเซี่ยจิงหยู
นางเดินออกจากเขาอย่างสง่างาม เซี่ยจิงหยูถอนหายใจ โลกนี้หามีบุรุษที่เหมาะสมไม่…
นางที่เศร้าโศกเห็นภาพบุรุษชุดม่วงในใจ
เช่นเดียวกับเซิงยี่หลิน ซือหยูได้สำเร็จฎีกาสวรรค์ แต่ซือหยูก็มิได้ร้องขอสิ่งใดกับนางเมื่อเขาส่งต่อฎีกาสวรรค์ให้เซี่ยจิงหยู มิเพียงเท่านั้น เขายังสอนฎีกาสวรรค์ที่เขารู้ทั้งหมดอย่างไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดกับนาง
จากเริ่มแรก ซือหยูมองเซี่ยจิงหยูด้วยแววตาเปล่งประกายเสมอ หามีมลทินใดในตาคู่นั่น
ทั้งหมดก็เพราะธนูที่นางมอบให้เขา ความกตัญญูอย่างบริสุทธิ์เท่านั้นที่นางได้รับจากตัวเขา
เมื่อคิดเช่นนี้เซี่ยจิงหยูก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ใบหน้านางราวกับบุพผาบริสุทธิ์ที่งดงามยิ่ง
จริงๆแล้วบุรุษที่คู่ควรอยู่เคียงข้างนางมาตลอดเช่นนี้เอง…
นางรู้สึกสบายใจเมื่อมองซือหยู นางตระหนักได้ในตอนนี้ว่าการแต่งงานกับซือหยูเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
หากซือหยูอยู่ข้างนาง นางคงจะอยู่ได้อย่างสบายใจที่สุด
เซิงยี่หลินมองซือหยูอย่างเย็นชา
“ฮื่ม! คนที่เพิ่งเข้าใจฎีกาสวรรค์มันจะได้ซักเท่าไหร่กัน? เทียบระดับฎีกาสวรรค์แล้วมันก็ทนการโจมตีเดียวของข้าไม่ได้หรอก!”
ครืน-- ครืน--
เกิดความวุ่ยวายบริเวณทางเข้าลานประลอง
เหล่าผู้ชมต่างยื่นศีรษะมองดูทางเข้า เขาพบชายวัยกลางคนสิบสามคนที่มีพลังอันน่ากลัวเข้ามาในลานประลองอย่างสง่างาม
ศิษย์อสูรหลายคนส่งเสียงด้วยความนับถือเพื่อพบผู้ประเมินสำนักของตน!
ซือหยูพบฟางหยุนท่ามกลางคนเหล่านั้น!
นั่นคือฟางหยุนที่เล่นนอกกฎและทำให้ซือหยูถูกขับออกจากสำนัก
ความชิงชังต่อฟางหยุนปะทุขึ้นในใจซือหยู
ส่วนอีกสอบสองคน พวกเขาคือผู้ประเมินจากวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย!
การปรากฏตัวของสิบสามคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ทำให้เหล่าผู้ชมตื่นเต้นมาก
ว่ากันว่าทุกคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์คือตัวตนในตำนาน ยากมากที่จะได้พบพวกเขา แต่พวกเขาทั้งสิบสามคนมาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว!
และพวกเขาทั้งสิบสามคนยังยืนอยู่สองข้างของทางเข้าราวกับจะทำความเคารพใครสักคนที่ยังไม่เข้ามา
พวกเขาโค้งศีรษะอันทรงเกียรติและมิกล้าหายใจแรง
ราวกับพวกเขากำลังต้อนรับผู้สูงส่งและน่ากลัวยิ่ง!
ทั้งลานประลองที่มีคนนับหมื่นเงียบกริบ…
ท่าทางแปลกๆของผู้ประเมินทั้งสิบสามคนทำให้ผู้ชมเต็มไปด้วยความกลัว
ตึก--
ท่ามกลางความเงียบอันน่าประหลาด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังเข้ามา...ราวกับเขากำลังย่ำอยู่บนหัวใจของคนทั้งลานประลอง
เสียงฝีเท้าบางครั้งเบา บางครั้งหนัก ยากที่เหล่าผู้ชมจะบอกว่าผู้สูงส่งคนนั้นอยู่ใกล้หรือไกล
ซือหยูใจสั่น ใครกันที่สร้างเสียงลวงตาได้เช่นนี้?
ตึก--
เสียงดังสลับเบาของฝีเท้าหยุดลง
ที่ทางเข้า มีชายแก่ที่สวมชุดบุพผา
ชายแก่อายุประมาณ 80 ปี ผมขาวราวและแก้มตอบราวกับคนที่เหลือเวลาไม่มาก
แม้เขาจะแก่...แต่ก็เปล่งประกายและน่าตะตกลึงต่อเหล่าผู้ชม
ซือหยูมองเขาเพียงชั่วครู่และรู้สึกเหมือนถูกแทงที่ดวงตาทำให้ต้องหันไปทางอื่นทันที
ผู้ชมรู้สึกไม่ต่างกับซือหยู พวกเขามิอาจมองชายแก่ตรงๆ!
ซือหยูใจสั่น เขาตกใจมาก หรือชายผู้นี้คือราชันย์ศักดิ์สิทธิ์?
“ยินดีต้อนรับท่าน!”
ผู้ประเมินสิบสามคนคุกเข่าลงทันที
เสียงของพวกเขาดังก้องไปถึงสวรรค์
ชายแก่คือหนึ่งในเก้าผู้รับใช้แห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีเวลาจัดการเรื่องทางโลก เรื่องทางโลกทุกอย่างล้วนถูกจัดการโดยผู้รับใช้ทั้งเก้า
เพียงประโยคเดียวจากผู้รับใช้ทั้งเก้าก็ทำให้ราชวงศ์แปรเปลี่ยน เมื่อพวกเขาย่ำเท้าก็ทำให้เฟิงหลินสั่นกลัวสามหน
แม้จะเป็นกษัตริย์ที่ป่วยรุนแรงและสภาพย่ำแย่ หากเขารู้ว่าผู้รับใช้จะมา เขาก็ต้องคุกเข่าต้อนรับเช่นกัน
เหล่าจอมยุทธตัวสั่นด้วยความกลัว พวกเขาทุกคนต่างคุกเข่าเพื่อต้อนรับผู้รับใช้
ผู้รับใช้ทั้งเก้าอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับการนับถืออย่างมาก แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งก็ต้องโค้งคำนับ!
ผู้รับใช้เดินเข้ามาในลานประลอง เขาคือหัวหน้าผู้รับใช้ทั้งเก้า...ผู้รับใช้เพลิง!
ใบหน้าผู้รับใช้เพลิงไร้อารมณ์ เขาเดินผ่านและไปนั่งบนที่นั่งทรงเกียรติ
ผู้รับใช้เพลิงพูดเบาๆ
“เราเริ่มกันเถอะ”
เสียงของเขาดังสะท้อนราวกับระฆัง เหล่าผู้ชมต่างหวาดหวั่น
ซือหยูสั่นทั้งกายและวิญญาณ
ระดับแปด!
ซือหยูเคยเจอผู้มีพลังระดับแปดมาก่อนที่ตำหนักเซี่ยนหยู ตอนที่องค์ชายหนึ่งทุบสร้อยของเขา เงาเพลิงระดับแปดปรากฏตัวขึ้นและเขาเทียบได้กับผู้รับใช้เพลิงผู้นี้
เขาคือคนที่น่ากลัว เพียงไม่กี่ก้าวก็จะได้เป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์!
ซือหยูใจสั่น แม้เวลาจะผ่านไปพลังระดับแปดก็ยังคงสั่นไหวตัวเขา
ฟึ่บ--
ผู้ตัดสินกระโดดขึ้นลานประลอง
“งานประชุมศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว! ผู้เข้าร่วมทุกท่านจะได้รับบัญชาศักดิ์สิทธิ์”
เขาประกาศ
เหล่า 16 มังกรจากตระกูลขุนนางและศิษย์อสูร 130 คนจากทั้ง 13 สำนัก รวมเป็น 146 คน พวกเขาจะได้รับบัญชาศักดิ์สิทธิ์แบบสุ่ม
ซือหยูได้รับบัญชาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำจากวัตถุดิบประหลาดและมีเลข 9 สลักเอาไว้
หลังจากที่ผู้เข้าร่วมขึ้นมาที่ลานประลอง ผู้ตัดสินก็หยิบกล่องทมิฬออกมา
เขาล้วงกล่องและหยิบลูกบอลทั้งสิบออกมา
“คนที่ได้หมายเลขเหล่านี้อยู่ในกลุ่มแรก!”
“หมายเลขหนึ่ง สิบเก้า ยี่สิบสาม...”
“คนที่ได้หมายเลขเหล่านี้อยู่ในกลุ่มสอง”
“หมายเลขสี่ หก สิบสาม...”
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้ง 146 คนถูกแบ่งออกเป็น 15 กลุ่ม
14 กลุ่มแรกมี 10 คน
มีเพียงกลุ่มสุดท้ายที่มี 6 หก
และซือหยูยังได้อยู่ในกลุ่มสุดท้าย...เขามีศัตรูเพียงห้าคนเท่านั้น!
หลังจากแบ่งกลุ่มเสร็จ ผู้ตัดสินก็ประกาศเสียงดัง
“รอบแรกจะเป็นการคัดเลือด! ผู้ชนะคนสุดท้ายจากทุกกลุ่มจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการตัดสินสิบคนที่แกร่งที่สุด”
สายตาทุกคู่มองไปยังกลุ่มสุดท้าย
มีเพียงหกคนเท่านั้น...โอกาสที่พวกเขาจะได้เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มจะสูงกว่า 14 กลุ่มที่เหลือ
ศิษย์อสูรจำนวนมากต่างอิจฉากลุ่มที่ซือหยูอยู่
องค์ชายหนึ่งเย้ยหยัน
“โชคดีนักนะ อยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสสูงสุด เขาอาจจะมาถึงรอบสิบคนสุดท้ายก็ได้!”
องค์ชายสามหัวเราะ...ซือหยูโชคดีมาก
หากซือหยูอยู่ในกลุ่มที่มีดงหลินกับหยุนเทียนคงจะถูกคัดออกแน่นอน แต่ด้วยการแบ่งกลุ่มเช่นนี้เขาจะมีโอกาสได้ไปถึงสิบอันดับแรก
เซิงยี่หลินที่จับตาดูซือหยูขมวดคิ้ว
“โชคดีจริงๆ! อย่ามาเจอข้าก็แล้วกัน!”
นอกจากจะเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด ซือหยูยังโชคดีเพราะอีกหนึ่งเหตุผล
อีกห้าคนในกลุ่ม ผู้ที่แกร่งที่สุดมีพลังระดับห้าขั้นกลาง อ่อนแอที่สุดคือระดับสี่ขั้นสูง!
ด้วยพลังของซือหยูที่สังหารผู้มีพลังระดับห้าขั้นกลางในเขตเซี่ยนหยูได้...คงไม่มีอะไรต้องกังวล เขาจะต้องเป็นที่หนึ่งในกลุ่มอย่างแน่นอน
รอบคัดเลือกเริ่มขึ้นแล้ว
ผู้รับใช้เพลิงและผู้ประเมินทั้งสิบสามต่างดูอย่างเบื่อหน่าย
แม้จะเป็นการต่อสู้จากศิษย์อสูรที่มากความสามารถที่เกิดขึ้นปีละครั้ง การต่อสู้เหล่านั้นก็มิอาจทำให้ผู้รับใช้และสิบสามผู้ประเมินสนใจได้
รอบคัดเลือกของสิบห้ากลุ่มนั้นเริ่มพร้อมกัน
ตามกฎ สมาชิกแต่ละกลุ่มจะต้องต่อสู้กับทุกคนในกลุ่มอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
หนึ่งวันผ่านไป…
“รอบคัดเลือดจบลงแล้ว ผู้ชนะคือหมายเลขเก้า ซือหยู!”
ผู้ตัดสินประกาศ
ราชาคนแรกของกลุ่มปรากฏตัวแล้ว!
“เจ้าเด็กนั่นโชคดีจริงๆ รอบคัดเลือกเพิ่งจะผ่านมาครึ่งเดียว แต่เขาก็มีสิทธิ์เข้ารอบต่อไปแล้ว”
“เขาโชคดีกว่าที่เจ้าคิดซะอีก...พลังของคนในกลุ่มเขาไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย นอกจากระดับห้าขั้นกลางแล้วคนอื่นก็อ่อนแอเกินไป ถึงจะเป็นข้าก็อยู่ในสิบห้าอันดับแรกได้”
“เจ้าอย่าประมาทเขาดีกว่า เจ้าไม่เห็นตอนที่เขาสู้กับระดับห้าขั้นกลางรึไง? เขาชนะในกระบวนท่าเดียว! นั่นแสดงว่าเขาต้องสู้กับคนที่มีพลังมากกว่าระดับห้าขั้นกลางได้”
…
องค์ชายหนึ่งเยาะเย้ย
“ถึงมันจะโชคดี มันก็เป็นแค่ขยะอยู่วันยังค่ำ”
องค์ชายสามหัวเราะและไม่ออกความเห็น เขามุ่งความสนใจอยู่กับดงหลิน
เมื่อราชาคนแรกปรากฏตัวขึ้นเหล่าแขกก็ให้ความสนใจ
แต่ราชามีพลังแค่ระดับห้าขั้นต้น พวกเขาต่างแอบส่ายหัว
ผู้รับใช้เพลิงมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ
มีเพียงฟางหยุนที่ตกตะลึง
ย้อนกลับไปในวันที่เขาขับซือหยูออกจากสำนัก เขาไม่คิดเลยว่าซือหยูจะโชคดีถึงขนาดต่อสู้จนถึง 15 อันดับแรก!
ซือหยูกลับมาที่จุดเตรียมต่อสู้และสังเกตการประลองของสิบสี่กลุ่มที่เหลือ
หยุนเทียน เซิงยี่หลิน และดงหลินคือผู้ที่มีคนจับตามองสูงสุด!
พวกเขาทั้งสามคนคือผู้ที่มีพลังระดับหก
และหยุนเทียนยังมีพลังระดับหกขั้นกลาง!
หลินเสี่ยวแอบยื่นกระดาษให้องค์ชายสาม
เมื่อองค์ชายสามดูกระดาษเขาก็สั่นกลัวหน้าซีดทันที!
เขามองดงหลินที่อยู่บนลานประลองอย่างเป็นกังวล
ซือหยูสังเกตเห็นองค์ชายสามที่สีหน้าแปรเปลี่ยน องค์ชายสามที่มักจะใจเย็นในตอนนี้กลับหน้าซีดเผือด
“องค์ชายสาม เกิดอะไรขึ้น?”
ซือหยูเดินไปหาองค์ชายสาม เมื่อเข้าใกล้เขาก็เห็นมือองค์ชายสามกำลังสั่น…
องค์ชายสามยื่นกระดาษให้ซือหยู
“ดูนี่ นี่คือข้อมูลเรื่องหยุนเทียนที่ข้าได้หลินเสี่ยวไปสืบ”
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา