DND.51 - ยอดการประลอง
“วายุกระหน่ำ!”
ซือหยูตะโกนชื่อวิชาบ่มเพาะขั้นกลางที่บ่มเพาะจนถึงระดับสามขั้นกลาง!
ฟูิ้วว---
เมื่อซือหยูยกขาพายุหิมะก็เริ่มล้อมรอบทั้งลานประลอง!
วินาทีก่อนลานประลองยังอบอุ่นราวกับทุ่งหญ้า
ในตอนนี้ลานประลองได้เยือกเย็นราวกับขั้วโลก!
พายุหิมะเย็นสุดขั้วมาจากขอของซือหยู
ที่ขาของซือหยูมีพายุหมุ่นกระหน่ำต่อเนื่องราวกับมังกรเหมันต์ที่คำรามและโปรยปรายหิมะไปทั่วฟ้าดิน
ขาซือหยูที่ร้องคำรามเข้าปะทะอย่างรุนแรงกับอาชานับล้านตัวที่พุ่งเข้ามา!
ตู้ม--
ดวงตาดุร้ายของชานหลี่ตกตะลึง!
ขาของเขาปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนา
ชานหลี่รู้สึกถึงความเย็นเฉียบที่เจาะทะลุเนื้อหนังไปถึงกระดูกจากทั้งร่างกาย รวมถึงเส้นโลหิตในร่าง!
พลั่ก--
ชานหลี่สั่นจากความเย็น เขาเสียการทรงตัวและล้มลงก้นจ้ำเบ้า
ซือหยูยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างใจเย็นและไม่รู้เรื่องราว เส้นผมและชุดของเขาพริ้วไหวไปกับสายลม
ท่วงท่าอันสง่างามนี่สลักลึกลงไปในใจของผู้พบเห็น
ทุกคนเห็นผลการประลองอย่างชัดเจน!
ชานหลี่ตกตะลึง เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซือหยูชนะ!
“องค์ชายสองคือผู้ล้มเหลว อัจฉริยะที่เขาเลือกก็มิต่างกัน ช่างน่าผิดหวัง”
ชานหลี่รู้สึกอัปยศยิ่ง เขาค้านคำของซือหยูไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเทียบกับซือหยูไม่ได้เลย
หลังพูดจบซือหยูก็ออกจากลานประลอง
“ข้าจะออกไปเช่นกัน การประลองพวกนี้ช่างไร้ความหมาย”
ซือหยูไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจากการเอาชนะชานหลี่ ชานหลี่เทียบกับหลินเสี่ยวไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผู้ชมต่างอ้าปากค้าง
ดงหลินเป็นผู้มีพลังระดับหกอันน่ากลัวและชนะชางหลิงอย่างหมดจดตามคาด
แต่ซือหยูที่มีพลังระดับห้าขั้นต้น เขาชนะชานหลี่ที่มีพลังระดับห้าขั้นสูงในกระบวนท่าเดียว!
เทียบพลังกันแล้ว ชานหลี่แข็งแกร่งกว่าชางหลิงซะอีก!
“เห็นด้วยตาแล้วดูเหมือนข่าวลือเรื่องบุตรเขยดยุคเซี่ยนหยูจะเป็นความจริง!”
“ฮื่ม! นั่นมิใช่แค่ข่าวลือรึ? ราชาระดับเงินที่เอาชนะราชาทองคำทั้งสองรุ่นในคราวเดียวและยังชนะศิษย์อสูรในกระบวนท่าเดียว! ยังว่ากันอีกว่าเขามีฎีกาสวรรค์!”
….
ไม่นานข่าวลือเรื่องซือหยูก็แพร่กระจายไปทั่ว
เรื่องที่ตำหนักเซี่ยนหยูทำให้ประชาชนในแคว้นเป็นห่วงดยุคเซี่ยนหยูเพราะเขาคือดยุคที่ทรงอำนาจที่สุดในขณะนี้!
แต่สำหรับบุตรเขยของเขาแล้ว มีคนไม่มากนักที่รู้จัก จึงมีเพียงข่าวลือเท่านั่น
แต่ซือหยูที่แสดงพลังออกมาก็ทำให้คนที่เห็นต้องตกตะลึง
เขาคือตัวแทนที่แกร่งที่สุดรองจากหยุนเทียนและดงหลินอย่างไม่ต้องสงสัย!
องค์ชายหนึ่งนึกถึงเรื่องในตำหนักเซี่ยนหยู ซือหยูต่อต้านเขาด้วยพลังทั้งหมดที่มีแต่ก็เกือบตายเพราะเขา หรือจะบอกว่าซือหยูแพ้องค์ชายหนึ่งด้วยการโจมตีเดียวก็ได้!
แต่ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ซือหยูเอาชนะผู้ที่มีพลังเท่าองค์ชายหนึ่งอย่างง่ายดายได้ยังไง?
พลังของเขาช่างน่ากลัว!
ความกลัวเจาะทะลุสมองขององค์ชายหนึ่ง
เขาเสียใจที่ยื่นมือไปยุ่งกับดยุคเซี่ยนหยู...มันเป็นความผิดมหันต์!
องค์ชายหนึ่งจ้องซือหยูด้วยจิตสังหาร เขาจะปล่อยซือหยูให้รอดไปไม่ได้!
หลังงานประชุมศักดิ์สิทธิ์เขาจะจับซือหยูด้วยข้อหากบฎที่ฆ่าองค์ชายสองและทำให้คนทั้งแคว้นไล่ล่าซือหยู เขาจะไม่ให้เวลาซือหยูแม้เพียงเสี้ยวเดียว!
องค์ชายสามนับถือซือหยูด้วยความประทับใจ
แม้จะเผชิญหน้ากับคนขององค์ชายสอง แม้จะเต็มไปด้วยความชิงชัง
...ซือหยูก็มิได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมา
หยุนเทียนมองซือหยู
“วิชาขาของชานหลี่ลื่นไหล เขาเป็นหนึ่งเดียวกับวิชา มีประสบการณ์สู้จริงมากมาย ควรได้รับคำชม ไม่เลว”
“ซือหยูพลังบ่มเพาะอ่อนแอ พื้นฐานย่ำแย่ เขาชนะชานหลี่เพราะพลังของวิชาบ่มเพาะ เขาชนะก็เพราะมีโชค อดทน พลังใจ และพลังที่ปกปิดความหยิ่งยโส”
ผู้ชมต่างใจเย็น หยุคเทียนคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาตัวแทน เขาแสดงความเห็นได้ถูกต้อง
...แต่ก็ยังมีอคติต่อซือหยู
เป็นธรรมดาที่จะต่อสู้กับผู้ที่มีพลังเหนือกว่าหนึ่งขั้น แต่มันหายากที่จะสู้กับผู้ที่มีพลังมากกว่าสองขั้น
ซือหยูยักไหล่และไม่สนใจ
หยุนเทียนหยาบคายยิ่งนัก แต่ซือหยูก็ไม่คิดจะตอบโต้
เพราะความเห็นของหยุนเทียนมิได้ผิดไปซะทีเดียว พลังของซือหยูเพิ่มขึ้นอย่างมากจนทำให้พื้นฐานไม่มั่นคง...เขาต้องฝึกหนักกว่านี้
แต่เขาปฏิเสธที่หยุนเทียนบอกว่าเขาชนะเพราะโชค…
ซือหยูแสดงพลังเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากเขาใช้พลังเต็มที่จะสังหารชานหลี่ได้ทันที
ดงหลินมองซือหยูอย่าไม่ใส่ใจ
“นับว่าเจ้าผ่าน”
ซือหยูหัวเราะอย่างว่างเปล่า เขาไม่ฟังดงหลิน...เขาไม่คิดจะเป็นสหายกับดงหลินเลย
“ฮื่ม!”
ตลอดมาคือดงหลินที่มองข้ามผู้อื่น แต่ตอนนี้เขากลับถูกซือหยูมองข้าม
“เจ้าอยู่ห่างจากข้าในงานประชุมศักดิ์สิทธิ์จะดีกว่า!”
ซือหยูได้ยินคำขู่ของดงหลิน แต่ก็ไม่คิดจะตอบโต้
องค์ชายสามทำอะไรไม่ได้ ดงหลินปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยวัดจากพลัง ยากที่จะเปลี่ยนนิสัยได้
เวลาผ่านไปตัวแทนที่เหลือก็ได้ประลองกระชับมิตรและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
…
แสงสว่างเปล่งประกายทะลุผ่านท้องนภามืดครึ้ม
ความงดงามยามเช้าหามีสิ่งใจเทียบ
แสงตะวันสลายความมืดมิดแพร่กระจ่ายความอบอุ่นไปทั่วผืนแผ่นดิน ทำให้เหล่าผู้คนเลือดร้อนเพราะความตื่นเต้น!
นี่คือวันประชุมศักดิ์สิทธิ์!
หลังจากหนึ่งปี ลานประลองศักดิ์สิทธิ์ที่ฝุ่นเกาะได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว!
เหล่าผู้ชมที่ตื่นเต้นรอด้านนอกและเข้าสู่ลานประลองทีละคน
ที่นั่งที่จุคนได้นับหมื่นเต็มภายในครึ่งชั่วยาม
ที่ด้านนอกคือเหล่าคนที่ผิดหวัง พวกเขาหวังว่าจะมีที่นั่งให้บ้าง
ชายหนุ่มและหญิงสาวกลุ่มใหญ่ต่างหลั่งไหลเข้ามา
พวกเขาคือศิษย์อสูรจาก 13 เขต!
ทุกสำนักจะส่งศิษย์อสูร 10 คนมาเข้าร่วมงานประชุมศักดิ์สิทธิ์เพื่อประลองแย่งมงกุฎศักดิ์สิทธิ์!
ในแคว้นเฟิงหลินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
จะมีศิษย์อสูรเป็นเช่นใดกัน?
และในท้ายสุดศิษย์อสูรก็ได้มารวมตัวกันเพื่อยอดแห่งการประลองครั้งนี้!
ที่จุดเตรียมการประลอง มีที่นั่งเตรียมไว้สำหรับเหล่าศิษย์อสูรต่อจากที่นั่งของราชวงศ์
บังเอิญที่พื้นที่ของสำนักเซี่ยนหยูนั้นใกล้กับราชวงศ์มากที่สุด!
หลังจากเซี่ยจิงหยูมาถึงลานประลอง สายตาของนางก็มองหาเงาอันคุ้นเคยอย่างเป็นกังวล
ไม่นานนางก็พบชายหนุ่มในชุดม่วง
ชุดของเขากรีดอากาศผ่านสายตาของนางพร้อมกับผมปลิวไสว
เขารูปลักษณ์งดงามราวทวยเทพ ใบหน้าได้รับการขัดเกลามาอย่างดีและสง่ามาก
ดวงใจอันเหน็ดเหนื่อยของนางผ่อนคลายลงทันที หากชายหนุ่มผู้นั้นปลอดภัย นางก็เบาใจ
“เขาทำให้องค์ชายสามเชื่อใจได้จริงๆ”
เมื่อเห็นซือหยูอยู่กับองค์ชายสามอย่างสงบ เซี่ยจิงหยูก็โล่งใจมาก
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง ซือหยูก็หันไปมองเซี่ยจิงหยู เขารู้สึกถึงหนี้ชีวิตและความขัดแย้ง
ซือหยูใช้เงาเมฆาเข้าไปหาเซี่ยจิงหยูอย่างรวดเร็ว
เขาอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เซี่ยจิงหยูหน้าแดงและก้มหน้า นางไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน
เพราะเรื่องน่าอายของทั้งคู่และคำสัญญาที่ยังไม่เติมเต็มของทั้งคู่
เด็กหนุ่มและสาวน้อยที่รูปลักษณ์งดงามนั่งเคียงคู่กัน พวกเขาราวกับถูกดึงออกมาจากภาพเขียนอันงดงาม
“สตรีจากเซี่ยนหยูคือใครกัน? นางงดงามยิ่งนัก หากมองนางแล้วคงยากจะลืมเลือน”
“แล้วบุรุษชุดม่วงนั่นล่ะ? เขางดงามราวกับมิใช่มนุษย์ ข้าอยากจะรู้จักเขาจริงๆ”
ศิษย์อสูรชายจากเซี่ยนหยูต่างอิจฉา
เซี่ยจิงหยูทั้งงดงามและเปล่งประกาย นางสวยงามราวกับเทพธิดา
นางสละความบริสุทธิ์โดยไม่ลังเลเพื่อช่วยซือหยู และพวกเขายังได้ยินเซี่ยหลินฉวนที่อยากจะให้ซือหยูแต่งงานกับนาง
สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาชิงชังซือหยูยิ่งนัก
“ซือหยู เจ้าเป็นตัวแทนจากราชวงศ์ เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?”
ฟางฉิงโจวสีหน้าหม่นหมอง
พ่อของฟางฉิงโจวคือผู้ประเมินสำนักเซี่ยนหยู ซึ่งเขาต้องมางานประชุมศักดิ์สิทธิ์ด้วย
แม้ฟางฉิงโจวจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานประชุมศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะถูกพ่อพามาดูการประลองอยู่ดี พ่อของเขาหวังว่าหากได้ชมการประลองจะทำให้ฟางฉิงโจวพัฒนาขึ้น
ไม่กี่วันก่อนตระกูลฟางได้พบกับเซี่ยหลินฉวนและรวมกลุ่มกัน
ในตอนนั้นเองฟางฉิงโจวก็ได้ยินเรื่องที่เซี่ยหลินฉวนอยากจะให้เซี่ยจิงหยูแต่งงานกับซือหยู!
ในครั้งแรกฟางฉิงโจวไม่เชื่อ แต่เมื่อเขาได้ข้อมูลมากขึ้นก็พบว่าเซี่ยจิงหยูที่ปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใยได้ร่วมเตียงกับซือหยูเพื่อปกป้องเขา!
ฟางฉิงโจวมิเชื่อสิ่งที่ได้ยิน สตรีที่เขาอยากจะแต่งงานด้วยได้หลับนอนกับบุรุษอื่น!
แต่ซือหยูในตอนนี้ต่างกับแต่ก่อนมาก ซือหยูในตอนนี้มีพลังเยอะกว่าฟางฉิงโจวและยังมีบัญชาศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าฟางฉิงโจวจะโกรธก็มิอาจทำอะไรได้
ในตอนนี้เขาพูดกับซือหยูตามธรรมดา แม้ใบหน้าจะขึงขังแต่ก็หวาดกลัวอยู่ภายใน
ว่ากันว่าองค์ชายสองที่มีพลังระดับสี่ขั้นสูงถูกซือหยูสังหารอย่างป่าเถื่อน ใครกันจะอาจหาญเช่นซือหยู?
ฟางฉิงโจวกลัวว่าถ้าหากยั่วยุซือหยูมากนักจะทำให้เขาถูกซือหยูสังหาร
ซือหยูมองไปหาฟางฉิงโจวและเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา
“ทำไมกัน? เจ้ามีอะไรอยากจะพูดงั้นรึ?”
เมื่อรู้สึกถึงจิตสังหารจากซือหยู ฟางฉิงโจวก็ตัวสั่นไปถึงกระดูก เขาหันกลับไปที่เดิมและไม่พูดอะไรอีก
เมื่อพ่อของเขาไม่อยู่ เขาก็มิกล้าใจร้อน
“เจ้าก็แค่พวกที่รังแกคนอ่อนแอ! เจ้าคือคนที่ทำหยาบคายกับสำนัก เจ้าดูถูกพวกเราและศิษย์อสูร ต่อหน้าซือหยูเจ้าก็แค่สุนัขที่ดีแต่เห่า!”
เซี่ยจิงหยูเหยียดหยามฟางฉิงโจว...นางเกลียดคนเช่นนี้มาก
เซี่ยหลินฉวนเข้าใจสถานการณ์ทันที
“ซือหยู เจ้าเคยเป็นศิษย์สำนักเซี่ยนหยู ข้าไม่แนะนำให้เจ้าอยู่ที่นี่นานนักก่อนที่พวกเราจะถูกสงสัย”
ซือหยูมองตระกูลราชวงศ์ด้านหลัง หลายคนกำลังแอบมองเขาอยู่ด้วยความระวังตัว
เขาพยักหน้าและมองเซี่ยจิงหยู เขาลังเลเล็กน้อย
“จิงหยู ข้าจะหาทางอธิบายกับเจ้าให้จงได้”
เซี่ยจิงหยูใจเต้นแรง หน้านางแดงก่ำ นางตอบด้วยเสียงเล็กๆราวกับวิหค
“อื้อ…”
ฟึ่บ-
ซือหยูกระโดดกลับไปยังที่นั่งตระกูลขุนนาง
เมื่อได้ยินชื่อของเซี่ยจิงหยูจากซือหยูก็ทำให้เซิงยี่หลินที่อยู่ไม่ไกลนักขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เฉาลี่ชักสีหน้าเช่นกัน
“ฮื่ม! หยาบคายนัก! แม้เขาจะไม่ใช่ศิษย์สำนักเขาก็ยังเป็นห่วงศิษย์พี่เซี่ยและยังเรียกนางว่า ‘จิงหยู’ หรือเขาจะคิดว่าตัวเองเป็นลูกเขยของท่านเซี่ยแล้วเช่นนั้นรึ?”
แต่จิงหยูก็คือชื่อที่เซี่ยจิงหยูให้ซือหยูเรียกนาง
ซือหยูมิใช่ศิษย์สำนักอีกแล้ว เขาไม่ใช่ศิษย์น้องอีกต่อไป เขาจึงไม่ต้องเรียกนางว่าศิษย์พี่
พวกเขายังสนิทกันมาก ไม่แปลกที่จะเรียกกันด้วยชื่อ
“ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง! ถึงจะถูกสังหารในอีกไม่นานก็ยังไม่สาสม!”
เซิงยี่หลินสีหน้าหม่นหมอง
แม้ซือหยูจะรอดเข้ามาในเมืองหลวง ก็ยังมีโอกาสอยู่มากที่จะหนีออกไปไม่ได้
เซิงยี่หลินหันมามองเซี่ยจิงหยูอย่างหลงใหล...
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา