ตอนที่ 96 เผ่าจันทราสีเงิน
หลิงฮันรู้สึกสนใจและเดินตามกลุ่มคนไป
มีผู้คนเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ พวกมันกำลังพูดคุยเกี่ยวกับการประลองระหว่างชูหวู่จิวกับหนานกงจื้อ หลิงฮันจึงเข้าใจเบื้องหลังของชายหนุ่มทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
ชูหวู่จิวและหนานกงจื้อเป็นศิษย์ธรรมดาของสำนักฮูหยางทั้งคู่ แต่หนานกงจื้ออยู่ในสิบอันดับแรกของศิษย์ธรรมดาที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นจอมยุทธหัวกะทิที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะท้าทายศิษย์ที่แท้จริง ชูหวู่จิวนั้นด้อยกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าพอมีความสามารถ มันถูกจัดอยู่ในศิษย์ธรรมดายี่สิบอันดับแรก
“ทำไมชูหวู่จิวต้องดื้อดึงที่จะสู้กับหนานกงจื้อขนาดนั้น?”
“นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ศิษย์พี่หนานกงใช้ศิษย์พี่หญิงหานจวนเป็นผู้เสียสละเพื่อให้เขารอดชีวิตในตอนที่เดินทางฝึกซ้อมก่อนหน้านี้ล่ะ เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่าศิษย์พี่หญิงหานจวนเป็นคนรักของชูหวู่จิว จึงไม่ไปแปลกที่เขาจะเกรี้ยวกราดขนาดนั้น”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่หญิงหานจวนตายเพราะศิษย์พี่หนานกง นางถูกทำให้บาดเจ็บโดยดาบของเขา เพราะงั้นนางเลยถูกทิ้งไว้และทำให้ต้องสู้เป็นตายกับสัตว์อสูรประกายเงิน นั่นคือสิ่งที่ศิษย์พี่หนานกงทำเพื่อซื้อเวลาที่เขาจะได้หนีไป”
“ชู่วว เจ้าพูดเรื่องนั้นออกมาในที่สาธารณะได้ไง? ระวังหนานกงคนนั้นจะมาสร้างปัญหาให้เจ้าทีหลังล่ะ เขาเป็นนายน้อยห้าของตระกูลหนานกง และพี่สามของเขาคือหนานหงฉิงที่เป็นศิษย์ที่แท้จริง มีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับก่อเกิดธาตุขั้นสาม!”
“แต่ชูหวู่จิวช่างซื่อสัตย์จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าตระกูลหนานกงไม่ใช่สิ่งที่จะล่วงเกินได้ แต่ก็ยังท้าสู้กับหนานกงจื้อทุกๆปี เมื่อปีที่แล้วเขาก็บาดเจ็บจนเกือบจะเสียชีวิต ไม่คิดเลยว่าปีนี้จะยังท้าสู้อีกครั้ง”
“น่าเสียดายจริงๆที่ชูหวู่จิวไม่ได้มีพรสวรรค์ขนาดนั้น เขามีรากฐานวิญญาณระดับปฐพีขั้นต่ำและมาจากตระกูลที่ยากจน จึงไม่มีทางเลยที่เขาจะได้ทรัพยากรมาบ่มเพาะให้ตัวเองก้าวหน้า ความแตกต่างระหว่างเขากับหนานกงจื้อมีเพียงแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น”
เมื่อหลิงฮันได้ยินผู้คนรอบข้างเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับประวัติของชูหวู่จิวและหนานกงจื้อ เขาเริ่มรู้สึกสนใจชายที่ชื่อชูหวู่จิวขึ้นมาเล็กน้อย
ในไม่ช้า ฝูงชนได้เดินมาถึงสนามฝึกซ้อมของสำนัก พวกมันมองเห็นคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนสนาม สำนักฮูหยางนั้นยินยอมให้มีการประลองกันได้ ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับการประลอง พวกเขาจะสามารถต่อสู้กันในสนามฝึกซ้อมได้
แม้จะมีคำสั่งสอนว่าให้เมตตาเท่าที่จะทำได้ แต่หากคนที่ประลองไม่สามารถยับยั้งพลังได้ทันเวลา พวกเขาก็ไม่ได้รับการลงโทษที่หนักหนาอะไร เพราะอย่างไรอาวุธก็ไม่มีตา แต่หากมีคนจงใจทำร้ายคู่ต่อสู้จนบาดเจ็บหนัก สำนักจะมอบบทลงโทษที่รุนแรงแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีผู้ประลองคนใดที่ยอมแพ้หรือหมดสติ หรือไม่มีความสามารถที่จะป้องกันตัวเองแล้ว แต่คู่ต่อสู้ยังโจมตีต่อ จะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎและจุถูกลงโทษอย่างรุนแรง
หลิงฮันมองไปยังชายที่ยืนอยู่บนสนามฝึกฝน มันดูมีอายุยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปี มันมีรูปร่างสูงและสะพายดาบยาวอยู่ที่หลัง ถึงแม้จะไม่สามารถเรียกได้ว่าหล่อเหลา แต่ดวงตาของมันครบกริบคนทำให้คนที่มอบรู้สึกสั่นกลัว ปกติแล้วอาจจะจะไม่มีใครกล้ามองตาของมันตรงๆเลยด้วยซ้ำ
“ทำไมหนานกงจื้อไม่อยู่ที่นี่?”
“เขาเป็นคนที่ถูกท้าประลอง เพราะงั้นจึงต้องมาช้าเป็นธรรมดา”
“จะว่าไป ชูหวู่จิวท้าประลองหนานกงจื้อกี่ครั้งแล้วนะ?”
“ครั้งนี้คือครั้งที่ห้ารึเปล่านะ?”
“หมายความว่าผ่านไปตั้งสี่ปีแล้วสินะ!”
“ความมุ่งมั่นของหมอนี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก การประลองแต่ละครั้งเขาจะเป็นฝ่ายได้รับบาดจนเกือบตาย แต่ก็ยังกัดฟันทนและรอดมาได้ ผู้คนต่างก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความแน่วแนของเขา”
ขณะที่กำลังรออยู่ ฝูงคนเริ่มพูดสนทนากัน พวกมันทุกคนเห็นอกเห็นใจและชื่นชมชูหวู่จิว
“หืม...?”
มุมปากของหลิงฮันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มในขณะที่กำลังครุ่นคิด ‘ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมาพบกับคนที่มีร่างกายพิเศษที่นี่! ร่างกายของมันล้อมรอบไปด้วยระรอกคลื่นสีเงิน แถมคนอื่นๆยังพูดอีกด้วยว่าทั้งสี่ครั้ง ไม่ว่ามันจะได้รับบาดแผลร้ายแรงขนาดไหนก็ยังไม่ตายแต่กลับสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว คนคนนี้ต้องเป็นคนของเผ่าจันทราสีเงินไม่ผิดแน่!’
เผ่าจันทราสีเงินจะเกิดมาพร้อมกับกายาจันทราเงิน นี่คือร่างกายที่มีความสามารถฟื้นฟูอันทรงพลัง ร่างของของพวกเขาถูกเรียกว่าเป็นเม็ดยาฟื้นฟูศักดิสิทธิ์ ทำให้จำนวนของเผ่าพันธุ์นี้เหลืออยู่น้อยมาก
...พวกเขาถูกตามล่าและสังหารเพื่อนำร่างกายไปหลอมเป็นเม็ดยา
‘ข้าเคยคิดว่าหนึ่งหมื่นปีผ่านไป เผ่านี้คงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ไม่เคยนึกว่าเลยว่าจะได้เห็นตัวเป็นๆในวันนี้!’
‘เอาล่ะ เห็นแก่ราชาจันทราสีเงิน ข้าจะช่วยเหลือเขาสักหน่อย’
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน หลิงฮันได้เข้าไปยังอาณาเขตของเผ่าจันทราสีเงินเพื่อรวบรวมวัตถุดิบสมุนไพร เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้นำของเผ่าจันทราสีเงิน แต่โชคไม่ดีที่หลังจากนั้นไม่นานเผ่าจันทราสีเงินก็ถูกล่าสังหารจนหมด พลังบ่มเพาะของหลิงฮันในตอนนั้นยังอ่อนแออยู่ จึงไม่มีสิ่งที่เขาสามารถช่วยเหลือได้ หลังจากนั้น เมื่อเขาได้บรรลุถึงระดับสวรรค์ เหล่าคนร้ายที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ได้ตายไปเพราะหมดสิ้นอายุขัย
นี่คือหนึ่งในความเสียใจของหลิงฮัน
“ฮ่าๆๆ ชูหวู่จิว เจ้าจะต้องล้มเหลวอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจเสียทีว่าเจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า!” ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เดินเข้ามายังสนามฝึกฝน ชายคนนี้ปลดปล่อยออร่าที่ทรงพลังออกมารอบตัว
รวมธาตุขั้นเก้า แถมยังอยู่ในระดับสูงสุดด้วย!
ถ้ามันไม่มีความสามารถเช่นนั้น มันจะสามารถปกป้องสถานะศิษย์ธรรมดาที่แข็งแกร่งที่สุดสิบอันดับแรกได้อย่างไร?
เทียบกับมันแล้ว ชูหวู่จิวด้อยกว่ามาก เพราะมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับรวมธาตุขั้นเจ็ดเท่านั้น แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าระดับพลังบ่มเพาะไม่ได้หมายถึงพลังต่อสู้ที่แท้จริงของคนคนนั้น ในเมื่อชูหวู่จิวสามารถติดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกได้ พลังต่อสู้ของเขาก็ต้องสูงกว่าพลังบ่มเพาะอย่างแน่นอน
“เลิกพูดไร้สาระแล้วแสดงกระบวนท่าของเจ้าออกมาซะ!” ชูหวู่จิวชักดาบและตั้งท่าอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของหนานกงจื้อเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส มันไม่ตั้งท่าและชูนิ้วเพื่อเชื้อเชิญให้เริ่มการต่อสู้
“ฟุบ” ชูหวู่จิวพุ่งไปข้างหน้าและกวัดแกว่งดาบเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ปลดปล่อยแสงอันเย็นเฉียบออกมา
หนานกงจื้อไม่แยแสไม้แต่น้อย มันเป็นหัวกะทิสิบอันดับแรก เมื่อเทียบกับมันแล้ว ชูหวู่จิวจะนับเป็นอันใดได้?
“ปัง ปัง ปัง ปัง...”
ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างดุเดือด หนานกงจื้อเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด มันดูผ่อนคลายและยังทำท่าทีเยาะเย้ยชูหวู่จิว แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงแล้วมันกำลังปกปิดความหวาดกลัวที่มีต่อชูหวู่จิวอยู่ในใจ
ในการประลองทั้งสี่ครั้งที่ผ่านมา มันลงมือหนักเพื่อหวังจะสังหารชูหวู่จิว ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ตายในทันที แต่ดูจากเบื้องหลังตระกูลของชูหวู่จิวแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะสามารถหาซื้อเม็ดยาฟื้นฟูระดับสูงมารักษาได้
แต่ไม่เพียงอีกฝ่ายยังไม่ได้ แต่ยังฟื้นฟูบาดแผลได้โดยที่ไม่มีผลกระทบใดๆเลยแม้แต่น้อย จากการฟื้นฟูร่างกายราวกับปาฏิหาริย์ถึงสี่ครั้ง จึงไม่แปลกที่หนานกงจื้อจะรู้สึกกลัว
มันรู้ถึงตราบาปของตัวเองดี ซึ่งชูหวู่จิวเป็นเพียงคนเดียวที่มีความเกี่ยวข้องกับหานจวน ดั้งนั้นตราบใดที่ชูหวู่จิวยังมีชีวิตอยู่ มันก็จะรู้สึกไม่สบายใจต่อไปไม่หาย โดยนี่อาจจะส่งผลต่อการทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุของมัน และคงจะส่งผลไปถึงระดับอื่นๆอีกตลอดไป!
ดังนั้นแล้ว วันนี้มันจึงวางแผนว่าจะไม่ปรานีเด็ดขาด วันนี้มันจะต้องสังหารชูหวู่จิวให้ได้
ความยากลำบากที่จะโค่นล้มศัตรูกับสังหารศัตรูนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนัน้แล้วหากมันต้องการจะสังหารชูหวู่จิว มันจำเป็นต้องสร้างโอกาสที่จะสังหารอีกฝ่ายภายในการโจมตีเดียว และหลังจากการประลอง มันจะสามารถเบี่ยงบ่ายความผิดได้โดยการพูดว่ามันไม่สามารถยับยั้งพลังได้ทันเวลา
ทั้งสองคนสู้กันไปอยู่สักพัก และหนานกงจื้อที่มีพลังมากกว่าก็สามารถโอกาสได้ในที่สุด มันแทงดาบออกไป ทำให้เกิดประกายแสงสามอันพุ่งไปยังหัวใจของชูหวู่จิว
นี่ไม่ใช่ปราณดาบ มันเพียงแค่แทงดาบออกไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดภาพติดตาอีกสองอัน
ทักษะยุทธระดับดำขั้นสูง เพลงดาบเงาเริงระบำ!
มันใช้แต้มสำนักที่สะสมมาทั้งหมดเพื่อแลกกับทักษะยุทธนี้ มันเตรียมการมาเพื่อที่วันนี้มันจะสามารถสังหารชูหวู่จิวให้ตายได้
‘ตายไปซะ!’ มันสะบดขึ้นมาในใจ พร้อมกับใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของมันออกไปอย่างไร้ความปรานี
‘ฟุบ’ ชูหวู่จิวกวัดแกว่งดาบเช่นกัน และได้มีแสงอันเย็นเฉียบปรากฏขึ้นมาสองอัน!
หรือว่ามันเองก็ใช้ทักษะดาบที่ทรงพลังเหมือนกัน?
ไม่ใช่!
“ปราณดาบ!” ผู้ชมตกลงตะลึงจนอ้าปากค้าง นี่คือปราณดาบ สัญลักษณ์แห่งราชัน!
“ฉัวะ! ฉัวะ!”
มีเลือดกระเซ็นออกมาสองจุดพร้อมกัน ดาบของหนานกงจื้อแทงเข้าที่ท้องของชูหวู่จิว ในขณะที่ดาบของชูหวู่จิวได้ฟันไปเฉียดลำคอของหนานกงจื้อ
ดวงตาของหนานกงจื้อเกิดประกายแสงเย็นชา มันชักดาบกลับและแทงออกไปอีกครั้งในทันที มันต้องการจะสังหารอีกฝ่าย!
“ฟุบ” ประกายแสงอันเย็นเฉียบปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงฮันได้เคลื่อนไหวและก้าวไปข้างหน้าพร้อมฟันดาบออกไป
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*