ตอนที่ 83 เจ้าอยากจะตายแบบไหน?
ตอนที่ 83 เจ้าอยากจะตายแบบไหน?
‘ตุบๆๆ’ เสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้น จูเฮอซินและจางเหวยชางได้มาถึงแล้ว การมาถึงของทั้งสองทำให้หลิวอู๋ตงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
หลิวอู๋ตงกระโดดลงจากหลังม้าและเริ่มเข้าไปช่วยเหลือหลิงตงซิงกับคนอื่นๆ เพื่อที่หลิงฮันจะได้ไม่ต้องรู้สึกกังวล
“ท่านพ่อ รีบกินเม็ดยาคุ้มกันปราณนี่เข้าไปเร็ว!” หลิงฮันหยิบขวดเม็ดยาออกมา และหยิบเม็ดยาสีมรกตข้างในขวดพร้อมกับป้อนเข้าไปในปากหลิงตงซิง
หลิงตงซิงไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอันใด ในเมื่อบุตรของมันเป็นคนมอบให้ มันจึงกินเข้าไปอย่างไม่คิดอะไร แต่ทางด้านจูเฮอซินกับจางเหวยชางนั้นตกตะลึงจนดวงตาเปิดกว้าง เม็ดยาคุ้มกันปราณเองก็เป็นหนึ่งในเม็ดยาที่สูญหายไปตามกาลเวลา โดยที่ผลลัพธ์ของมันนั้นดียิ่งกว่าเม็ดยาหวนคืนเสียอีก
ถึงแม้เม็ดยาหวนคืนจะดูล้ำเลิศ แต่เมื่อเทียบเม็ดยาคุ้มกันปราณแล้ว... มันด้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ความแตกต่างระหว่างเม็ดยาทั้งสองนั้นกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก
เม็ดยาทั้งสองอยู่ในระดับเหลืองขั้นกลาง แต่เป็นเรื่องยากมากที่จะหลอมมันขึ้นมา ดูอย่างจูเฮอซินกับจางเหวยชางที่ได้รับสูตรยาที่สมบูรณ์ไปเป็นเวลานานแล้ว แต่การพยายามหลายต่อหลายวันของพวกมันก็ยังไม่สามารถทำให้หลอมเม็ดยาหวนคืนขึ้นมาได้เสียที แต่ตอนนี้หลิงฮันกลับหยิบเม็ดยาคุ้มกันปราณที่เป็นเม็ดยาที่หลอมยากยิ่งกว่าออกมา
แล้วจะไม่ให้พวกมันตกตะลึงจนไร้คำพูดได้อย่างไร!
หลิงฮันมอบเม็ดยาคุ้มกันปราณให้กับผู้รอดชีวิตของตระกูลหลิงอีกสิบกว่าคน เม็ดยาคุ้มกันปราณเป็นสิ่งที่เขาปรับปรุงขึ้นมาจากพื้นฐานของเม็ดยาหวนคืน ดังผลลัพธ์ของมันจะต้องดีกว่าแน่นอน
“พี่ชายฮัน ต้าซงตายแล้ว ท่านพ่อท่านแม่เองก็เหมือนกัน ฮือ ฮืออ!” หลิงจือซ่วนร้องไห้ออกมาในขณะที่นอนอย่างอ่อนแรงอยู่ในแขนของหลิงฮัน
“ข้าจะแก้แค้นให้ต้าซง ข้าจะแก้แค้นให้ทุกคน!” หลิงฮันลูบหลังของเด็กสาวอย่างอ่อนโยนและพูด “ซ่วนซ่วน เป็นเด็กดีและนอนพักให้สบายเถอะ เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา ทุกๆอย่างจะดีขึ้น!”
เด็กสาวพยักหน้า หลังจากต้องทุกข์ทรมานมาเป็นเวลาสี่วัน นางได้ถึงขีดจำกัดของนางแล้ว ในไม่ช้า นางได้ปิดตาหลับลงไปที่แขนของหลิงฮัน
หลิงฮันส่งตัวเด็กสาวให้กับหลิวอู๋ตงก่อนที่จะหันกลับไปมองเชิงเหวิงควิน สายตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ถึงแม้ฮูหนิวจะถูกมัดอยู่ที่หลังม้า แต่ด้วยการที่นางเติบโตขึ้นมาข้างกายพยัคฆ์ร้าย นางจึงมีสัมผัสที่ไวต่อจิตสังหารเป็นอย่างมาก ตอนนี้นางกำลังตื่นเต้นและชะโงกหัวขึ้นมาส่งเสียง ‘ฮู่ๆๆ’
“เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าสร้างปราณดาบขึ้นมาห้าเล่มได้อย่างไร!” เชิงเหวิงควินใช้ความพยายามทั้งหมดในการลุกยืนขึ้นมา จมูกของมันถูกบดขยี้ ปากด้านหนึ่งของมันบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง และทั่วทั้งใบหน้าของมันถูกปกคลุมไปด้วยเลือด
“เจ้าอยากจะตายแบบไหน?” หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม “เจ้าอยากจะถูกฉีกแขนฉีกขา หรืออยากจะถูกบดขยี้หัว? ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าเลือกความตายของตัวเอง!”
“เจ้าเด็กบัดซบ อย่าอวดดีไปนัก แม้เจ้าจะสร้างปราณดาบห้าเล่มได้ก็ไร้ความหมาย ต่อหน้าอำนาจที่ทรงพลังและเหนือกว่า จุดจบของเจ้าจะมีแต่ความตายเท่านั้น!” เชิงเหวิงควินพูดยั่วยุ “เมื่อท่านลุงสามของข้ามาถึง พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!”
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “พอข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกับข้ากำลังอยู่ต่อหน้านายน้อยจอมเสเพลที่ถูกตามใจและรู้แต่วิธีการใช้ตระกูลของตัวเองในการข่มขู่ผู้อื่น! ฮึ เมื่อเจ้าเดรัจฉานเฒ่านั่นมาถึง ข้าจะตัดหัวของมันทิ้งเอง!”
“ไร้สาระ... อ้าก!” เชิงเหวิงควินกรีดร้องอย่างเจ็บปวด มันถูกหลิงฮันเตะลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง
มันเต็มไปด้วยความโกรธและความอัปยศอย่างไม่อาจบรรยายออกมาได้ การที่ถูกคนอื่นมาเหยียบบนใบหน้านับว่าเป็นการถูกเหยียดหยามที่อัปยศที่สุดในโลก และคนที่กำลังเหยียบมันอยู่คือบุตรของศัตรูชั่วชีวิตของมัน แค่การที่มันไม่สามารถโค่นหลิงตงซิงได้ก็มากพอแล้ว แต่ตอนนี้บุตรของหลิงตงซิงเองก็มีความสามารถที่จะเหยียบย่ำใบหน้าของมัน... จะให้มันจะทนต่อไปได้อย่างไร?
ในตอนนั้นเอง หลังจากที่ได้ยินข่าว ชาวเมืองต่างก็เริ่มมามุงดูการแสดง พวกมันทุกคนรู้สึกราวกับกลายเป็นหิน เมื่อพวกมันเห็นหลิงฮันที่กำลังยืนเหยียบใบหน้าของเชิงเหวิงควินอย่างองอาจ
ก่อนที่เชิงจือเยว่จะปรากฏตัวออกมา ทุกคนในเมืองหมอกเมฆาเชื่อว่าหลิงตงซิงและเชิงเหวิงควินคือจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองนี้ เพราะทั้งสองอยู่ในระดับรวมธาตุขั้นเก้า และที่ไม่มีใครอื่นที่สามารถต่อกรกับทั้งสองได้
และตอนนี้ คนที่พวกมันเคยคิดว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุด กลับกำลังถูกหลิงฮันเหยียบอยู่ที่ใบหน้า พวกมันรู้สึกไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง
ศิษย์ของสำนักหมอกเมฆาหลายคนนึกถึงคำพูดที่หลิวอู๋ตงเคยพูดเอาไว้ ‘หลังจากนี้สามเดือน หลิงฮันจะกลายเป็นตัวตนที่พวกเจ้าทุกคนทำได้เพียงแหงนมอง’
เห็นได้ชัดแล้ว ตอนนี้เขามีความสามารถที่จะเหยียบย่ำเชิงเหวิงควิน ในหมู่พวกมันใครกันจะไม่แหงนมองเขา?
แต่ปัญหาก็คือตอนนี้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหมอกเมฆาคือเชิงจือเยว่ ที่มีพลังในระดับก่อเกิดธาตุ!
ไม่ว่าหลิงฮันจะทรงพลังแค่ไหน แต่เขาจะไปแข็งแกร่งกว่าระดับก่อเกิดธาตุได้อย่างไร?
“เขาจบแล้ว เมื่อเชิงจือเยว่มาถึง หลิงฮันจะต้องจบสิ้นแน่ๆ”
“เฮ้อ ช่างน่าเสียดายพรสวรรค์ของเขาจริงๆ ไม่งั้นแล้ว ในอนาคตเขาจะต้องสามารถกลายเป็นจอมยุทธในระดับห้วงจิตวิญญาณได้แน่นอน!”
“เจ้ากล้าพูดว่าระดับห้วงจิตวิญญาณงั้นรึ นั่นมันหมายถึงการที่จะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชาต้าหยวนเลยนะ!”
“ลองคิดดูสิ ตอนนี้หลิงฮันมีอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่เขากลับสามารถเหยียบย่ำเชิงเหวิงควินได้แล้ว พรสวรรค์ของเขาจะน่ากลัวขนาดไหนกัน?”
“ก็จริงของเจ้า”
ผู้ชมกระซิบพูดคุยกัน พวกมันทุกคนล้วนแต่คิดว่าหลิงฮันได้จบสิ้นแล้วที่กลับมาแส่หาความตาย
ความแข็งแกร่งของจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุได้ฝังลึกเข้าได้ดึงกระดูกของพวกมัน โดยเฉพาะเมืองเล็กๆอย่างเมืองหมอกเมฆานี้ สำหรับพวกมันแล้ว จอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุสามารถเปรียบได้ว่าเป็นพระเจ้า
“ฟุบ!” ในตอนนั้นเองได้มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากเมือง ร่างนั่นเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างมาก แม้แต่ความเร็วของม้าเท้าดำก็ไม่สามารถเทียบได้ ภายในชั่วพริบตา ร่างนั่นได้ปรากฏเข้ามาในระยะใกล้
มันคือเชิงจือเยว่
“เจ้าเด็กเปรต เจ้าคือหลิงฮันสินะ? เดรัจฉานที่กล้ามาสังหารหลานของข้า?” เชิงจือเยว่เหลือบมองมาที่หลิงฮัน สายตาของมันหนักแน่นราวกับจะกลืนกินหลิงฮันเข้าไป
“ข้าคือหลิงฮัน และวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!” หลิงฮันตอบกลับไป
“ฮ่าๆๆๆ ข้าคือจอมยุทธในระดับก่อเกิดธาตุ เจ้ามีความสามารถอันใดจะมาเอาชีวิตของข้า?” เชิงจือเยว่ไม่ได้รีบลงมือ นี่คือคนร้ายที่สังหารหลานของมัน มันอยากจะค่อยๆทรมานให้หลิงฮันตายไปอย่างช้าๆ
“งั้นหากพวกเราสู้ด้วยล่ะ?” จูเฮอซินและจางเหวยชางเดินออกมาข้างหน้า
“พวกเจ้าทั้งสองเป็น... อะไรกัน!” ในตอนแรกเชิงจือเยว่ไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อดวงตาของมันจ้องยังบุคคลทั้งสองที่พูดแทรกขึ้นมา สีหน้าของมันได้เปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงในทันที “ระดับก่อเกิดธาตุ!”
ไม่ใช่แค่ระดับก่อเกิดธาตุธรรมดา แต่ยังเป็นจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุที่ทรงพลังถึงสองคน!
ว่าไงนะ!
ชาวเมืองอ้าปากค้างด้วยความตะลึง ชายชราที่ดูธรรมดาสองคนนี้มีพลังในระดับก่อเกิดธาตุ? ไม่แปลกใจเลยที่หลิงฮันกล้าที่จะกลับมา นั่นเพราะเขาได้รับการช่วยเหลือจากจอมยุทธในระดับก่อเกิดธาตุสองคนนี้นั่นเอง
สีหน้าของเชิงจือเยว่กลายเป็นจริงจัง มันไม่คิดที่จะประมาทชายชราสองคนนี้ “พี่ชายทั้งสอง เจ้าเด็กนั่นสังหารหลานของข้า ไม่ว่ามันสัญญาที่จะให้ผลประโยชน์อันใดกับพวกท่าน ข้าจะมอบมันให้เป็นสองเท่า เพราะงั้นได้โปรดช่วยอย่าเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้เลย”
จูเฮอซินและจางเหวยชางแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะหัวเราะออกมา
มอบให้สองเท่า?
เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าครอบครองสูตรยาอยู่เท่าใดกัน? และเจ้ามีความเข้าใจในศาสตร์แห่งการปรุงยาขนาดไหนกันถึงได้กล้าโอ้อวดพูดสัญญาอะไรแบบนั้น?
“เจ้ากล้าดีอย่างไร! ปัญหาของสหายน้อยหลิงก็คือปัญหาของพวกเรา!” จางเหวยชางพูดออกมา “แซ่เชิง ถ้าเจ้ายอมแพ้แต่โดยดี ข้าสัญญาว่าจะขอความเมตตาจากสหายน้อยหลิงให้มอบความตายที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวดให้เจ้า!”
สหายน้อยหลิง?
“อึก!”
ทุกคนอ้าปากหายใจอย่างตกตะลึง จอมยุทธที่แข็งแกร่งในระดับก่อเกิดธาตุสองคนนี้เรียกหลิงฮันว่า ‘สหายน้อย’ และแสดงท่าทีออกมาว่าจะร่วมแบ่งปันปัญหาของหลิงฮัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบใดกัน?
โชคดีที่จูเฮอซินและจางเหวยชางไม่ได้แขวนตราสัญลักษณ์นักปรุงยาเอาไว้ ไม่เช่นนั้นชางเมืองคงจะตกตะลึงมากกว่านี้เป็นแน่ ที่รู้ว่าทั้งสองเป็นนักปรุงยาระดับดำขั้นต่ำที่มีสถานะสูงส่งยิ่งกว่าจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุมากนัก
“พี่ชายทั้งสองเอาจริงงั้นรึ?” เชิงจือเยว่พูดออกด้วยความน้ำเสียงทุ้มต่ำ มันเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุมาได้ ดังนั่นความมั่นใจของมันจึงมีไม่มาก ยิ่งกว่านั้นมันก็ไม่คิดจริงๆด้วยว่าจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุทั้งสองจะทุ่มสุดตัวเพื่อหลิงฮัน มันคิดไม่ออกว่าแม้แต่น้อย จะมีเหตุผลใดที่ทั้งสองคนต้องทำเช่นนั้น
“ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ” จากระยะทางที่ไกลออกไป ดินและฝุ่นได้ฟุ้งกระจายไปทั่ว จากนั้นได้มีกลุ่มคนมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
“น้องชายหลิง ข้านำคนของข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!” ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงมาจากม้าและพูดกับหลิงฮันพร้อมกับประสานมือคำนับ กลุ่มของมันได้มาขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
มันคือไป๋ลี่เถิงหยุน
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*