ตอนที่ 80 การกลับมาของตระกูลเชิง
จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ ตอนที่ 80 การกลับมาของตระกูลเชิง
ย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ณ เมืองมองเมฆา ที่พักตระกูลเชิง
กลิ่นอายที่ทรงพลังได้แพร่กระจายออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของที่พักตระกูลเชิง มันเป็นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้จิตใจของจอมยุทธระดับรวมธาตุขั้นเก้าอย่างเชิงเหวิงควินเกิดความกลัว
แต่เชิงเหวิงควินไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรแม้แต่น้อย แต่กลับกัน บนใบหน้าของมันแสดงออกถึงความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากจนมันเริ่มที่จะกระโดดโลดเต้นไปมา “ท่านลุงสามทะลวงระดับผ่านแล้ว! ฮ่าๆๆ ท่านลุงสามทะลวงระดับผ่านแล้ว! ตระกูลหลิง ก่อนหน้านี้พวกเจ้าทำตัวอวดดีนัก แต่พวกเจ้าคงไม่คิดหรอกว่าท่านลุงสามของข้าจะเก็บตัวเพื่อบ่มเพาะพลัง และสามารถทะลวงผ่านระดับก่อเกิดเกิดได้!”
สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และประกาศออกมา “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีตระกูลหลิงในเมืองหมอกเมฆา!”
“ฮ่าๆๆ!” เสียงหัวเราะดังขึ้น และชายชราตัวผอมบางคนหนึ่งได้เดินเข้ามาในห้องโถงหลัก เมื่อมันมาถึง ออร่าที่ทรงพลังได้แพร่กระจายออกมาจากร่างของมันอย่างต่อเนื่อง เพราะมันเพิ่งจะทะลวงระดับผ่าน ทำให้ยังไม่สามารถควบพลังได้อย่างสมบูรณ์
มันคือลุงสามของเชิงเหวิงควิน เชิงจือเยว่ มันคือจอมยุทธสติเฟื่อง เมื่อปีที่แล้วมันถูกเรียกว่าเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเชิง แต่มันไม่ได้มีความสนใจในอำนาจต่างๆในตระกูล และเก็บตัวอย่างสันโดษเพื่อทะลวงระดับก่อเกิดธาตุ ขนาดในตระกูลของพวกมันเอง ยังมีสมาชิกตระกูลหลายคนที่คิดว่ามันเสียชีวิตไปนานแล้ว
ด้วยความพยายามของมัน ในที่สุดมันก็ทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุได้สำเร็จ นี่คือระดับพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหมอกเมฆา ด้วยพลังระดับนี้ เพียงพอแล้วที่จะกำจัดศัตรูทุกคนทิ้ง
“คารวะท่านลุงสาม! ขอแสดงความยินดีด้วย!” เชิงเหวิงควินคุกเข่าข้างเดียว ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยดีใจ
“อืม เงยหน้าขึ้นได้!” เชิงจือเยว่สะบัดมือ และละสายตาออกไปจากเชิงเหวิงควิน “เรียกเซียวหยวนและคนอื่นๆมาหน่อย ข้าไม่ได้พบหน้าพวกนั้นมานานหลายปีแล้ว”
“ท่านลุงสาม เซียวหยวนเขา... เขาตายแล้ว!” เชิงเหวิงควินพูดด้วยความเศร้าโศก
“ว่าไงนะ!” เชิงจือเยว่ตบมือลงที่โต๊ะ “ปัง” โต๊ะที่ทำจากไม้จันทน์หอมอันงดงามกลายเป็นเศษซากในทันที ตาที่โกรธเกรี้ยวของมันเปิดกว้างและพูดออกมา “ใครสังหารหลานของข้า?”
เชิงเซียวหยวนเป็นหลานโดยตรงของมัน ด้วยการที่เชิงเซียวหยวนได้รับสืบทอดพรสวรรค์จากมันไป ทำให้ได้รับเลือกให้เป็นศิษย์ของนิกายหมาป่าหินผาที่แม้แต่เชิงเฮา และเชิงเซียงก็ไม่มีความสามารถเช่นนี้
“เจ้านั่นเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลหลิง หลิงฮัน!” เชิงเหวิงควินพูดออกมาทันที
“เพี๊ยะ!”
เชิงจือเยว่ยกมือขึ้นมาและตบไปที่เชิงเหวิงควิน “แล้วเจ้ามัวทำอะไรอยู่ ทำไมยังนั่งอยู่ที่นี่? ทำไมไม่นำหัวของเจ้าเด็กนั่นมาให้ข้า?”
เชิงเหวิงควินไม่กล้าที่จะโกรธใดๆ ต่อหน้าจอมยุทธในระดับก่อเกิดธาตุ มันไม่สามารถแม้แต่ยกนิ้วขึ้นมาแม้แต่นิ้วเดียว มันรีบคุกเข่าและพูด “ข้าจะไม่อยากแก้แค้นให้เซียวหยวนได้อย่างไร? เพียงแต่มีผู้อาวุโสจากนิกายหมาป่าหินผาสนับสนุนเจ้าเด็กนั่นอยู่ ข้าจึงไม่อาจแตะต้องมันได้!”
“ผู้อาวูโสจากนิกายหมาป่าหินผา?” ดวงตาของเชิงจือเยว่แคบลง ผู้อาวุโสทุกคนของนิกายหมาป่าหินผาล้วนแต่อยู่ในระดับก่อเกิดธาตุ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ตัวมันที่เพิ่งจะทะลวงผ่านระดับมาจะไปต่อกรได้
แต่ไม่นานมันก็เปล่งเสียงในลำคอและพูด “อย่างมาก เจ้าเด็กนั่นคงจะได้รับความชอบเล็กน้อยจากผู้อาวุโสคนนั้น ต่อให้ข้าสังหารมัน ผู้อาวุโสคนนั้นก็คงไม่คิดจะสู้เป็นตายกับข้า”
“มากับข้า พวกเราจะบุกไปยังที่พักตระกูลหลิงเดี๋ยวนี้เลย ในเมื่อมันกล้าที่จะสังหารหลานของข้า งั้นข้าก็จะสังหารสมาชิกทุกคนของตระกูลหลิงเป็นการแก้แค้น!”
เชิงเหวิงควินเต็มไปด้วยความดีใจ มันเคยกลัวว่าเชิงจือเยว่จะไม่ลงมือ แต่เพราะการตายของเชิงเซียวหยวน เชิงจือเยว่จึงเต็มไปด้วยความโกรธจนถึงขนาดไม่กลัวแม้กระทั้งผู้อาวุโสจากนิกายหมาป่าหินผา
ทั้งกระกูลเชิงได้เคลื่อนไหว ในขณะที่พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปยังที่พักตระกูลหลิง พวกมันทุกคนล้วนแต่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
การเคลื่อนพลอย่างเปิดเผยแน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจของตระกูลเล็กๆในเมือง เหล่าตระกูลต่างๆได้ออกมาเพื่อคอยสังเกตการณ์
“ตระกูลเชิงคิดจะทำอะไรกัน?”
“หรือว่าพวกมันคิดจะเริ่มสงครามกับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง?”
“นอกจากตระกูลหลิงแล้วยังจะมีตระกูลไหนอีกที่ตระกูลเชิงต้องเคลื่อนไหวอย่างใหญ่โตแบบนี้?”
“จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก อำนาจของตระกูลหลิงเองก็เทียบเท่ากับตระกูลเชิง และถ้าหากไฟแห่งสงครามระหว่างตระกูลทั้งสองถูกจุดขึ้น ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ตระกูลเชิงเองก็ไม่น่าจะทำอะไรโง่ๆเช่นนั้นไม่ใช่รึไง?”
“ไม่ ไม่ พวกเจ้าไม่รู้รึไงว่าสถานการณ์ของตระกูลเชิงในช่วงหลังๆนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่? ข้าได้ยินมาว่ารายได้หลักของพวกมันตอนนี้ตกเป็นของตระกูลหลิงแล้ว ตอนนี้พวกมันไม่สามารถแม้แต่จ่ายค่าจ้างให้กับคนรับใช้ได้ด้วยซ้ำ”
“ใช่แล้วๆ ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นนั้น พักหลังนี้ ผู้คุ้มกันและคนรับใช้หลายคนของตระกูลเชิงได้แอบหลบหนีออกมาอย่างลับๆ”
“พวกมันอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนั้นเชียว? ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้ตระกูลเชิงจะใช้ทุกอย่างที่มีออกมา ไม่ใช่นั้น ในอนาคตพวกมันจะต้องถูกลบทิ้งไปโดยตระกูลหลิงแน่นอน อย่างน้อยถ้าพวกมันเดิมพันในตอนนี้ โอกาสที่พวกมันจะชนะก็ยังมีอยู่”
เชิงเหวิงควินได้ยินการพูดคุยของคนรอบข้าง ใบหน้าของมันปรากฏรอยยิ้มที่เย็นยาขึ้นมา ใช้ทุกอย่างที่มี? จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ตอนนี้ฝ่ายของพวกมันมีจอมยุทธในระดับก่อเกิดธาตุอยู่ และพวกมันกำลังจะไปลบตระกูลหลิงให้หายออกไป!
ใช้ทุกอย่างที่มี? ตระกูลหลิงต่างหากที่จะต้องทำอย่างนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไร้ความหมาย เพียงหนึ่งนิ้วของจอมยุทธในระดับก่อเกิดธาตุก็เพียงพอแล้วที่จะกำจัดพวกตระกูลหลิงทั้งหมด
พวกมันเคลื่อนพลจากเมืองฝั่งตะวันออก และไปถึงทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของตระกูลหลิงอย่างรวดเร็ว
ด้วยความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น ทำให้ภายในตระกูลหลิงเกิดความไม่สงบ หลิงตงซิงเพิ่งจะเดินทางกลับมา แต่มันต้องเดินออกไปจากตระกูลอีกครั้งโดยที่มีสมาชิกตระกูลคอยตามหลังมา
“ผู้นำตระกูลหลิง ไม่ได้พบกันเสียนาน” เชิงเหวิงควินยกมือขึ้นและสมาชิกตระกูลของมันได้หยุดเดิน มันยิ้มไปทางหลิงตงซิง ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เพราะอีกไม่นานศัตรูของมันก็จะต้องคุกเข่ายอมจำนนต่อหน้ามัน
หลิงตงซิงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมาด้วยเจตนาร้ายแน่นอน! มันเร่งเสียงขึ้นและพูด “พี่ชายเชิงนำคนมาเยอะขนาดนี้ คิดจะมาจัดการแสดงอันใดรึ?”
“ฮ่าๆๆๆ!” เชิงเหวิงควินหัวเราะลั่นก่อนที่จะพูดด้วยเสียงเสียงอาฆาต “ใช่แล้ว ข้ามาที่นี่จัดการแสดง! หลิงตงซิง สั่งให้สมาชิกของตระกูลเจ้ายอมแพ้เดี๋ยวนี้ แล้วข้าลองคิดที่จะสังหารคนของเจ้าให้น้อยลง!”
“เชิงเหวิงควิน เจ้าบ้าไปแล้วรึไง?” หลิงตงซิงถามอย่างเย็นชา
“เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเล่น?” เชิงเหวิงควินหัวเราะ
“แล้วไม่ใช่รึไง?” หลิงตงซิงถามกลับ
“แน่นอนว่าไม่!” เสียงที่เย็นชาประกาศดังขึ้น และชายชราร่างสูงผอมเดินออกมาจากกลุ่มของสมาชิกตระกูลเชิง ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“หือ ชายชราคนนั้นเป็นใครกัน?” เหล่าคนที่มารวมกันเพื่อดูสถานการณ์ต่างก็สงสัยในตัวตนของชายชราปริศนา
“มีคนเช่นนั้นในตระกูลเชิงด้วยรึ? ดูท่าทางแล้วสถานะของมันคงไม่ต่ำกว่าเชิงเหวิงควินเป็นแน่”
“ข้านึกออกแล้ว คนคนนั้นคือเชิงจือเยว่!” ผู้เฒ่าคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ทุกๆคนต่างก็พูดกันว่ามันตายไปแล้ว ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะยังมีชีวิตอยู่!”
แน่นอนว่าหลิงตงซิงรู้ถึงตัวตนของเชิงจือเยว่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูแก่กว่าตอนที่มันเคยเห็นล่าสุดมากนักก็ตาม หลิงตงซิงยกมือประสานคำนับไปทางเชิงจือเยว่ เพื่อแสดงถึงความเคารพต่อคนที่อาวุโสกว่ามัน แต่เรื่องราวในตอนนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของตระกูลทั้งสอง ดังนั้นมันจึงไม่สามารถยอมได้ง่ายๆ “ถ้าตระกูลเชิงต้องการจะต่อสู้ ตระกูลหลิงของข้าก็ไม่กลัวที่จะตาย!”
“หึ เจ้าคิดรึว่าเจ้าคู่ควรที่จะยืนอยู่ในระดับเดียวกับตระกูลเชิงของข้า?” เชิงจือเยว่ยื่นมือออกไปเพื่อจะกดหลิงตงซิงให้คุกเข่าลง “ข้าจะกำราบเจ้าเป็นคนแรก!”
“เจ้าทำเกินไปแล้ว!” หลิงตงซิงยกฝ่ามือขึ้นมาตอบโต้ มันเคยถูกเรียกว่าเป็นคนที่อัจฉริยะที่สุดในเมืองหมอกเมฆา แน่นอนว่ามันจะต้องครอบครองพลังที่ไม่ธรรมดา เมื่อฝ่ามือของมันเคลื่อนไหว ได้ปรากฏภาพฝ่ามือทั้งสิบขึ้นมาและโจมตีออกไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
“หื่งห้อยจะมาส่องแสงสว่างกว่าดวงจันทร์ได้อย่างไร?” เชิงจือเยว่ยื่นนิ้วออกมา และปรากฏฝ่ามือขนาดใหญ่ขึ้นมากดร่างของหลิงตงซิงลงไป
“ปราณก่อเกิดควบแน่นขึ้นเป็นรูปร่างได้? ระดับก่อเกิดธาตุ!” หลิงตงซิงอุทานด้วยความตะลึง ใบหน้าของมันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าความมั่นใจของตระกูลเชิงมาจากไหน
เชิงจือเยว่ทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุแล้ว!
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*