DND.28 - ศึกใหญ่ที่ใกล้เข้ามา
องค์หญิงช่างโชคร้าย
จากสิ่งที่ดยุคทำ เซี่ยจิงหยูเห็นใจชายผู้นั้นเล็กน้อย
เขาหวังดีอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องอยากจะช่วยชีวิตองค์หญิงเอาไว้ หากไม่มีเขาองค์หญิงคงจะตายเพราะพิษไปแล้ว สิ่งที่ชายผู้นั้นทำลงไปดีงามเกินกว่าจะคิดว่าเป็นสิ่งผิด
เรื่องที่ดยุคกำลังตามล่าชายคนนั้นกระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
แต่หากคิดดีๆแล้ว จะมีพ่อคนไหนที่ได้รู้ว่าลูกสาวถูกล่วงเกินโดยชายแปลกหน้าแต่ไม่โกรธ?
เรื่องโล่งใจกับเรื่องที่เกิดกับนางเองในเทือกเขารัตติกาลเช่นกัน
นางโชคดีที่มีคนกล้าหาญมาช่วยนางได้ถูกเวลา เขาช่างเป็นผู้มีคุณธรรมยิ่ง ไม่ล่วงเกินนางแม้นางจะสภาพย่ำแย่ นางช่างโชคดีจริงๆ
“หลานจิงหยู ข้าได้ข้อมูลที่เจ้าตามหาแล้ว”
ตอนนั้นเองชายวันกลางคนเดินผ่านประตูเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เซี่ยจิงหยูตื่นเต้น
“ท่านลุง พบตัวผู้มีพระคุณของข้าจริงๆเหรอ?”
ชายวัยกลางคนผู้เป็นดยุคพยักหน้า
“ใช่แล้ว วันนี้มีเขี้ยวราชสีห์เพลิงขายในตลาด เราติดตามร่องรอยอยู่สองวันและพบว่าใครขายมัน”
เซี่ยจิงหยูตื่นเต้นมาก นางต้องการตอบแทนผู้มีพระคุณของนางต่อหน้า เพราะการช่วยเหลือของเขา โชคชะตาของนางจึงถูกช่วยเอาไว้
แม้ว่าชายคนนั้นจะปิดหน้า เซี่ยจิงหยูก็ฉลาดพอที่จะบอกได้ว่าแรงระเบิดทั้งสามเกิดจากเขี้ยวของราชสีห์เพลิง นางพบเบาะแสโดยไม่ตั้งใจ
ดยุคเซี่ยนหยูถอนหายใจ เขาพบข่าวของเซี่ยจิงหยูในทันทีแต่คนที่ฉวยโอกาสลูกสาวเขายังคงลอยนวล
“เก็บความตื่นเต้นไว้ก่อน หลานเอ๋ย แม้ว่าเราจะพบเขี้ยวราชสีห์เพลิง แต่คนที่ขายมันอาจจะไม่ใช่คนที่เจ้าตามหา และตัวเขาเองอาจจะทำเป็นผู้มีพระคุณเพราะหวังในความงามหรือความมั่งมีของเจ้า เราจะประมาทไม่ได้”
“เจ้ามีเบาะแสกับชายคนนั้นอีกไหม?”
“ข้ามีแต่สิ่งนี้ ชายผู้นั้นทิ้งไว้ให้ข้า”
ดยุคเซี่ยนหยูหน้านิ่งทันที
องค์หญิงบ่นพึมพำ
“ใครทำชุดเกราะนั่นกัน? มันน่าเกลียดจริงๆ”
ดยุคเซี่ยนหยูมองแปลกๆ และคิดอะไรขึ้นมาได้
“ให้ใครมาดูชุดเกราะนี่แล้วตรวจสอบเพิ่มกันเถอะ อาจจะได้อะไรก็ได้”
เซี่ยจิงหยูยินดีมาก
คนรับใช้คิดอะไรขึ้นมาได้ เขานำชุดเกราะไปเปรียบเทียบกับหนังอสรพิษที่เคยได้มาจากการสืบสวนคราวที่แล้ว จากนั้นเขาก็รีบรายงานดยุคทันที
“ฝ่าบาท! มันคือหนังอันเดียวกัน!”
ดยุคใช้เวลาทั้งเดือนเพื่อตามหาคนคนนี้ และในที่สุดเขาก็พบเบาะแสแล้ว
แม้ว่าคนรับใช้จะไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งดยุคและองค์หญิงต้องการจับชายคนนี้นัก ราวกับว่าเขาได้ทำความผิดร้ายแรงเกินจะยกโทษ
ดวงตาของดยุคเกิดประกายความโกรธ
“บอกทุกคน! ให้องครักษ์เกราะทมิฬทั้งหมดตามหาคนขายเขี้ยวราชสีห์เพลิง!”
“ครับท่าน!”
องครักษ์เกราะทมิฬรีบรวมตัวกันอย่างกระหายหมายจะล่าคนที่อยู่ในเมืองให้จงได้
ซือหยูที่ยังไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นหาวหวอดใหญ่
“ฮ่าๆๆๆ...สำเร็จเสียที!”
ชุดและเส้นผมของซือหยูปลิวไสว รังสีอันแข็งแกร่งแผ่กระจายรอบตัวเขา
คนรับใช้ที่ทำความสะอาดที่พักเริ่มตัวสั่น พวกเขารู้สึกกลัวความแข็งแกร่งของซือหยูที่ยากจะก้าวข้าม
พลังระดับสี่! ในที่สุดเขาก็มาถึงขอบเขตนี้ด้วยการดื่มไอหยกเพลิง!
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือเขาเริ่มเข้าใจภาพเขียนชายแก่บนกำแพงมากขึ้นแล้ว
สองวันที่ผ่านมาขณะที่เขากำลังฝึกฝน จิตใจของเขาจดจ่อไปที่ภาพเขียนนั้น
สองวันของซือหยูที่เทียบเท่าสี่สิบวันของคนอื่นทำให้เขาเข้าใจคัมภีร์สวรรค์มากขึ้น
แม้ว่าเขาจะเข้าใจ แต่เขาก็ยังใช้พลังของมันไม่ได้ เขาเชื่อว่าเมื่อเขาฝึกมันจนสำเร็จแล้วพลังของมันจะน่ากลัวมาก
ยิ่งไปกว่านั้นสองวันนี้ซือหยูยังสำเร็จวิชาวายุกระหน่ำถึงระดับสองแล้ว
ในตอนนี้เพิ่งการเตะธรรมดาจะทำให้เขาสร้างหมอกขาวอันเย็นเยือกออกมาได้ มันจะทำให้เขาสู้ระยะประชิดได้ดี
เขายังสำเร็จเงาเมฆาขั้นสูงสุดอีกด้วย เขาเข้าใจสิ่งที่ทั้งตำราเขียนเอาไว้แล้ว
ความเร็วที่เคยเร็วเท่าระดับสี่ขั้นสูง ตอนนี้เขาเร็วเท่ากับผู้มีพลังระดับห้า
เมื่อบรรลุขอบเขตระดับสี่ ร่างกายจะสร้างพลังปราณได้ ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่เขาพูดได้เต็มปากว่าเป็นของเขาเอง
การใช้พลังปราณร่วมกับพลังอื่นๆทำให้พลังเพิ่มระดับขึ้นหนึ่งขั้น
….
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง-
เสียงระฆังดังก้องในยามเช้า
การคัดเลือกศิษย์ทองคำมาถึงแล้ว!
เทียบกับการประเมินศิษย์ระดับเงิน การประเมินศิษย์ทองคำนี้นับว่าเป็นเรื่องหลักของสำนักเลยทีเดียว มีศิษย์ทองคำร้อยคนที่มีพลังอันแข็งแกร่งอยู่ในสำนักนี้
ไม่เพียงแค่อาจารย์ฟู่และอาจารย์เย่ที่มาเข้าร่วมวันนี้ ยังมีท่านปรมาจารย์ระดับเจ็ดมาเข้าร่วมด้วย!
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ศิษย์ทุกระดับต่างเข้ามายังลานประเมิน ซือหยูยืนขึ้น ชุดสีม่วงของเขาพริ้วไหวตามสายลม ดวงตาราวกับดาราของเขาเปล่งประกาย
“ฉินเฟิง! ข้า ซือหยู มาจัดการเจ้าแล้ว!”
การประเมินครั้งนี้ใช้ลานประลองเดียวกับของศิษย์ระดับเงิน และไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้
“ศิษย์ระดับเงินที่อันดับต่ำกว่า 100 ห้ามเข้า!”
ที่ทางเข้าของลานประลองมีผู้คุ้มกันสองคนที่มีพลังระดับสี่คอยประกาศกฎระเบียบ
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดแต่ศิษย์ระดับเงินก็ยังคงผิดหวังอยู่ดี ศิษย์ระดับเงินที่อันดับ 100 ขึ้นไปต่างแสดงสัญลักษณ์ ของตนอย่างภูมิใจ
ซือหยูเดินอย่างสง่างาม บรรยากาศความหรูหราและรูปโฉมอันงดงามราวกับตัวตนที่ถูกวาดในภาพเขียนเตะตาผู้คนที่ผมเห็น
ฝูงชนเผลอหลีกทางให้เขาโดยไม่รู้ตัวและมองเขาอย่างสงสัย
“แสดงตัวตนของเจ้ามา”
ผู้คุ้มกันทั้งสองพูด
ซือหยูหยิบสัญลักษณ์ของตนขึ้นมาแสดงเพียงครู่เดียวและเดินเข้าไปในโถงประลอง
ในเวลานี้แม้แต่ผู้คุ้มกันระดับสี่สองคนก็หยุดเขาไม่ได้อีกแล้ว
“เจ้าจำคนคนนั้นได้ไหม?”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด นั่นมัน….”
ชายทั้งสองไม่พูดต่อ พวกเขามิอาจเชื่อในสิ่งที่เห็นกับตาได้
ซือหยู ราชาระดับเงิน มีรูปลักษณ์เช่นนี้หรือ? ข่าวลือบอกว่าเขาเป็นคนแร้นแค้นไม่ใช่รึไง?
พวกเขามองหน้ากันไปมาราวกับได้เห็นผี ศิษย์ระดับเงินข้างนอกต่างตกใจไม่ต่างกัน
“นี่เจ้า ชายในชุดสีม่วงนั่นคือใครกันแน่? ข้าเห็นเขาถือสัญลักษณ์ศิษย์ระดับเงิน”
“ข้าก็เหมือนกัน แต่พวกเราไม่มีคนแบบนั้นอยู่ระดับเงินด้วยกันนะ”
เหล่าผู้คนเริ่มมองหน้ากันไปมา
ซือหยูเข้าไปยังลานประลอง ในโถงจุคนได้ 10,000 คน แต่วันนี้จะมีเพียง 200 เท่านั้นที่เข้ามาได้คือ ศิษย์ระดับเงินและทองคำ 100 อันดับแรก
ซือหยูมาถึงช้าเล็กน้อย ทุกคนไปนั่งอยู่ที่แถวหน้ากันหมดแล้ว
การทดสอบยังไม่เริ่ม มีเพียงผู้ตัดสินและศิษย์ทองคำที่เพิ่งเดินทางมาถึง คนที่มีตำแหน่งระดับสูงยังไม่มาถึง
ช่างบังเอิญที่ผู้ตัดสินยังคงเป็นเจียงซื่อฉี! พลังของเขายังคงอยู่ที่ระดับสี่ขั้นสูง
ซือหยูยังคงจำเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาในครั้งประเมินศิษย์ระดับเงินได้ เขาจำมันขึ้นใจ
“ข้าจะไม่มีวันลืมเรื่องที่ตาแก่นั่นทำเด็ดขาด!”
ซือหยูพูดอย่างเย็นชา
เจียงซือฉีมองผ่านผู้คนรอบๆ และพบว่าเหล่าศิษย์เริ่มมากันครบแล้ว
“หลังการคัดเลีอกศิษย์ทองคำ ศิษย์ระดับเงินจะมีสิทธิ์ประลองกับศิษย์ทองคำที่อันดับใกล้เคียงกันได้ และศิษย์ทองคำก็ท้าประลองศิษย์ระดับเงินได้เช่นกัน”
เขาเดินไปตามลานประลองที่เหมือนจะซ่อนกลไกบางอย่างเอาไว้ จากนั้นพื้นก็สั่นและมีเสาศิลาสามต้นที่สูงห้าเมตรค่อยๆผุดขึ้นมาจากพื้น ใครที่ยืนอยู่บนเสาศิลานั้นจะเห็นทั่วทั้งลานประลอง
“สามอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้นั่งบนเสาศิลา! ใครที่ได้นั่งจะมีศิษย์ได้เลือกคนที่อยากจะประลองด้วย!”
นั่นหมายความว่าหากใครที่ได้นั่งอยู่บนสุดของเสาศิลา เขาจะมีสิทธิ์ได้เลือกคนมาประลองด้วยก่อนในตอนที่การคัดเลือกศิษย์ทองคำจบลงแล้ว
หากซือหยูได้นั่งเก้าอี้นั่น เขาจะได้สิทธิ์ท้าประลองฉินเฟิง และไม่ต้องรอให้เขามาหาเองเลย
“ที่นั่งทั้งสามจะเป็นของผู้แข็งแกร่งที่สุด เริ่มได้!”
เจียงซื่อฉีประกาศ
ศิษย์ระดับเงินไม่กล้าขยับ พวกเขามองเหล่าศิษย์ทองคำที่เข้าชิงชัยกันอย่างนับถือ
ดวงตาซือหยูเป็นประกาย เส้นผมสีดำขลับของเขาร่ายรำบนเวหา ชุดสีม่วงของเขาโบยบินตามสายลม เหลือไว้เพียงเส้นแสงสีม่วงที่พุ่งผ่านผู้คนไป
“เร็วมาก! เขาเป็นใครกัน?”
“เร็ว! ดูนั่น! คนชุดสีม่วงนั่นใคร?”
ปั้ง ปั้ง -
เมื่อซือหยูไปที่ไหน ที่นั่นจะมีคนล้มลง เสียงร้องอย่างตกใจได้ยินไปทั่วโถงประลอง
ความเร็วของซือหยูอยู่ที่ระดับสี่ขั้นสอง ไม่มีใครเทียบเขาได้!
ชุดสีม่วงยังคงลอยละลิ่ว ซือหยูคือคนแรกที่ไปถึงเสาศิลาและนั่งเก้าอี้ของตัวเอง
“ใครหน้าไหนกันที่กล้าพอจะะขโมยที่นั่งข้า?”
เด็กหนุ่มร่างกำยำเงยหน้าขึ้นไปมอง
ใต้เสาศิลาของซือหยูเต็มไปด้วยศิษย์ที่กำลังโมโห แต่ละคนพยายามปินขึ้นมาและแย่งที่นั่งจากซือหยู
“ออกไป!”
ซือหยูเพียงมองและปล่อยพลังระดับสี่ออกมา
ระดับสี่งั้นเหรอ?
หนุ่มร่างกำยำล่าถอย เขาเป็นศิษย์ทองคำระดับห้าในสำนักที่มีพลังระดับสามขั้นสูง แต่เขารู้ดีว่าหากต้องเจอกับพลังระดับสี่แล้ว พลังของเขานั้นเทียบไม่ติดแน่นอน
พื้นที่รอบๆเสาศิลาของซือหยูเงียบลงทันที
ระดับสี่! เขามีพลังระดับสี่!
“เขาเป็นใครกันแน่? นอกจากฉินเฟิงกับฟางฉิงโจวที่เป็นศิษย์ทองคำ ยังมีคนที่สามที่มีพลังระดับสี่อีกเหรอเนี่ย?”
“ยังไงก็เหอะ เจ้าเคยเห็นคนคนนี้มาก่อนหรือไม่? เขาอยู่ในสำนักเราจริงรึ? ทำไมข้าไม่เคยเจอเขาเลย?”
เขามีพลังอันน่ากลัวประกอบกับรูปลักษณ์งดงามของขุนนาง ทั้งยังใจเย็น เหตุใดจึงไม่มีใครเคยพบยอดคนเช่นนี้มาก่อน?
ศิษย์ระดับเงินคนอื่นมองไปรอบๆ และพบว่าศิษย์ทองคำคนอื่นเคยพบหน้ามาก่อน แต่พวกเขาไม่อาจระบุตัวตนที่อยู่บนเสาศิลานี้ได้
เจียงซื่อฉิงนั่งอยู่ท่ามกลางศิษย์ระดับเงิน มืของนางลูบคางและมองที่พื้นอย่างเซื่องซึม
เมื่อไหร่ที่นางมองขึ้นไป นางจะเขินอายก้มลงมา นางผิดหวังมากที่สองวันก่อนนางมิอาจลืมเงาสีม่วงนั่นไปได้
นางมิอาจลืมเลือนดวงตาอันกว้างใหญ่คู่นั้น
“ข้าจะได้คุยกับเขาอีกไหมนะ? แค่ครั้งเดียวก็ยังดี จะได้ขอบคุณเขา”
เจียงซื่อฉิงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
เมื่อได้ยินความวุ่ยวายรอบๆ นางก็มองไปตามทิศทางนั้น
นางเห็นชายคนนั้นอีกครั้ง
ความสูง รูปร่างอันงดงามราวกับอยู่ในภาพเขียนที่และดวงตาคู่นั้นที่สลักอยู่ในใจนาง
“คุณชายคนนั้น!”
เจียงซื่อฉิงอุทานและปิดปาก ดวงตานางเป็นประกาศอย่างตื่นเต้น
“ใช่เขา! เขาจริงๆด้วย!”
ในสองวันที่ผ่านมานางตั้งหน้าตั้งตาจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง หลายครั้งที่นางมองไปยังที่ที่นางได้เจอกับเขา
หัวใจของนางมิอาจถูกห้ามให้สั่นไหวได้อีกแล้ว
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา