GE22 ปีศาจสาวดวงจิตแรกเริ่มขอความเมตตา
“เหตุใดเจ้าไร้เหตุผลเช่นนี้?! เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าเมตตาเจ้าแล้ว?” ปีศาจสาวกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ
‘แม้ผู้คนยังรู้จักอาย แต่เหตุใดศิษย์อาจารย์คู่นี้ถึงได้ไร้ยางอายนัก’
“ข้าจะบอกเจ้าให้ วันนี้คือวันสำคัญกับเด็กนั่นมาก หากมันทำไม่สำเร็จ จิตใจของมันอาจถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนไปตลอดชีวิต ปีศาจทมิฬคือตัวตนที่ดื้อด้านโดยสมบูรณ์ ‘หยุนโร่วเวย’ เอ๋ย...เจ้าต้องสู้กับเด็กนั่น ไม่ต้องยั้งมือ มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ชายของเจ้า มันเป็นเพียงเด็กที่ข้าเก็บมาเท่านั้น... หากมันแพ้ก็ปล่อยให้มันตายอยู่ที่นี่... เพราะนี่คือเส้นทางที่มันต้องประสบ!” คำกล่าวของหานหยวนจี๋ราวกับไร้หัวใจ
“ฮึ่ม นิกายปีศาจทมิฬของพวกเจ้ามักทำอะไรตามใจอยู่เสมอ แต่คำกล่าวของเจ้ากลับไม่ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจ... แต่ช่างเถอะ ข้าจะยายามไม่ฆ่ามัน ข้าจะสั่งสอนให้มันรู้จักยอมแพ้เอง!”
***
กลิ่นหอมสดชื่นลอยออกมาจากวิหารกล้วยไม้ ภายในผงหอมมีสตรีที่งดงามในชุดคลุมยาวอยู่
นางหยุดยืนกลางนภาอย่างสงบ ดวงตาคู่งามของนางดูละเอียดอ่อนราวกับสลักขึ้นจากหยก ผมเขียวยาวพริ้วไหวไปตามสายลม แววตาสุกใสราวกับหมู่ดวง จมูกโด่ง ใบหน้าละเอียดอ่อนงดงาม
เอวของนางคอดกิ่ว เรียวขาขาวยาวราวกับหยก ข้อมือสวมใส่กำไลที่มีกระดิ่งขนาดเล็กประดับ เมื่อต้องแสงจันทร์และสายลม ยิ่งขับส่งให้นางดูงดงาม เสียงกระดิ่งกังวานไพเราะ
สิ่งที่น่าดึงดูดที่สุดคืออาภรณ์ที่ย้อมด้วยสีเขียวของนาง ประดับด้วยเครื่องตกแต่งงดงามมากมาย... หยุนโร่วเวย นามของนางประกอบด้วยคำว่าหญ้า ดังนั้นเครื่องประดับอาภรณ์ของนางส่วนใหญ่จึงเป็นพืชหญ้านานาชนิด นอกจากนี้ ปีศาจต้นไม้ที่ปรากฏก่อนหน้ายังกำเนิดขึ้นมาจากส่วนหนึ่งของเครื่องประดับอาภรณ์นาง
ดวงตาคู่งามของนางจับจ้องหนิงฝานด้วยแววตาที่เผยถึงเจตนาสังหารราวกับนางคือทวยเทพ
แม้แววตาของนางจะเผยเจตนาสังหาร แต่กลับมีครู่หนึ่งที่เผยแววตาซับซ้อน ซึ่งแปรเปลี่ยนเร็วเกินไปที่ระดับการบ่มเพาะอย่างหนิงฝานจะตามได้ทัน
ร่างกายของหนิงฝานสั่นเทาราวกับต้องสายฟ้าฟาด เขาไม่อาจขยับเคลื่อนไหวตามใจปรารถนาและเริ่มหวาดกลัว
หนิงฝานสัมผัสกับแรงกดดันที่ไม่ธรรมดา ที่แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกยังไม่อาจรับมือได้ นับประสาอะไรกับหนิงฝาน...
‘นี่มัน...’
แต่ก่อนที่หนิงฝานจะมองพลังของนางออก จู่ๆสร้อยหยินหยางกลับมีความเคลื่อนไหวและสลายพลังของนางไป
เมื่อพลังสลาย...การเคลื่อนไหวของหนิงฝานก็กลับคืนอีกครั้ง
หานหยวนจี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ แต่หยุนโร่วเวยยังไม่สังเกตุเห็น
หากในอนาคตหนิงฝานย่อมรับมือกับพลังของนางได้ แต่ยามนี้เขาต้องเพิ่งพาสร้อยหยินหยางเพื่อรับมือ
หยุนโร่วเวยก้าวเข้าใกล้หนิงฝานทีละก้าว หนิงฝานได้กลิ่นหญ้าที่ลอยออกมาจากตัวนางอย่างเบาบาง หนิงฝานตกใจแต่ยังแกล้งทำเป็นว่ายังอยู่ภายใต้แรงกดดันของนาง
หนิงฝานไม่อยากให้นางรู้ว่าเขาเคลื่อนไหวได้ เขารู้ว่านางตั้งใจใช้พลังลึกลับสยบเขาไว้ เขาจึงรอให้นางเข้าใกล้มากกว่านี้ จากนั้นจึงฉวยโอกาสใช้ ‘ดรรชนีคลายหยิน’ กับนาง!
หากหนิงฝานสัมผัสนางได้แม้เพียงปลายนิ้วก็ถือว่าแผนการของเขาสำเร็จ
และเมื่อนั้นปีศาจเฒ่าหานย่อมพึงพอใจ
นางเหยียบย่างนภาเข้าหาหนิงฝานอย่างนุ่มนวลพลางสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
“ช่างคุ้นเคย... ความสงบเช่นนี้ช่างคุ้นเคย แต่สายเลือดที่เจ้ามีกลับไม่ใช่... ไม่ใช่...”
นางหยุดยืนเบื้องหน้าหนิงฝานก่อนค่อยๆยกนิ้วที่เรียวงามของนางสัมผัสกับ ‘ชีพจรเทียนหลิง’ ของหนิงฝาน หากนางถ่ายพลังเข้าไปแม้เพียงนิด หนิงฝานได้ตายอย่างแน่นอน!
แต่ขณะที่นางยังไม่ทันได้กล่าวจบ นางก็หยุดอธิบาย
“กลับไปเถอะ ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า... วันนี้เจ้ายังไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า...” นางกล่างอย่างตรงไปตรงมาไร้ซึ่งการเหยียดหยาม
แต่ในชั่วพริบตานั้น แววตาของหนิงฝานเป็นประกายราวกับหมาป่าผู้หิวโหย
“ข้าไม่สน!” หนิงฝานใช้นิ้วแตะที่ข้อมือของหยุนโร่วเวยอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานที่เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณจะสามารถสลัดหลุดจากสัมผัสเทพของนางได้
แม้นางจะโกรธที่ร่างกายของนางถูกสัมผัส แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจคือผลที่ตามมาของการสัมผัสเมื่อครู่
ทันทีที่นิ้วของหนิงฝานสัมผัสกับผิวของนาง เขาโคจรพลังจากสร้อยหยินหยางเข้าไปในเส้นชีพจรปีศาจ เปลี่ยนหยางให้เป็นหยิน แล้วโคจรพลังหยินไปยังผิวกายของนาง
ใบหน้าที่งดงามของนางแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง สับสน และหวาดกลัว
‘หนิงฝานหลุดจากการสะกดของของสัมผัสเทพได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้เยาว์ขอบเขตประสานวิญญาณจะสามารถต้านทานสัมผัสเทพได้ ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำก็ไม่อาจทำได้’
หลังจากที่หนิงฝานสัมผัสข้อมือนาง นางกลับฉุกคิดบางอย่างได้
นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกบุรุษสัมผัส... ใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อ นางรู้สึกมึนชาเริ่มหัวใจไปจนถึงสมอง ทำให้ใบหน้าที่งดงามแดงก่ำจนไม่อาจควบคุม
สตรีผู้สังหารคนราวกับผักปลาแต่ยามนี้กลับดูไม่ต่างไปจากสาวน้อยนางหนึ่ง
ไม่นานนางก็พบว่าความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับนางยังไม่จบเพียงเท่านั้น นิ้วของหนิงฝานแฝงด้วยปราณหยินที่พิเศษเฉพาะที่แทรกเข้าไปในเส้นชีพจรของนาง ทำให้ร่างกายของนางเริ่มอ่อนแรงไร้กำลัง ลมหายใจถี่กระชั้น และไม่สามารถใช้ปราณของตนได้
‘เป็นไปได้อย่างไร... ปราณของข้า นี่มันทักษะเย้ายวน! เด็กนั่น... หรือเด็กนั่นต้องการทำอะไรบางอย่างกับข้า?’
ยามนี้หยุนโร่วเวยลืมเลือนไปว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มและหนิงฝานเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ นางเริ่มหวาดกลัวบางสิ่งที่เป็นไปตามสัญชาตญาณของสตรี
ไม่นานนางก็สงบใจได้ แม้ปราณหยินที่ผสานเข้าในเส้นชีพจรของนางจะทำให้ปราณของนางปั่นป่วน แต่นางยังคงในบังคับร่างกาย หากนางทนได้อีกสักนิดนางก็จะสามารถสั่งสอนบทเรียนให้แก่หนิงฝานที่กล้ากระทำกับนางแบบนี้
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หนิงฝานฉวยโอกาสกอดนาง มือข้างหนึ่งสัมผัสที่เอว อีกข้างกำคอของนางไว้เพื่อไม่ให้นางขับปราณหยินของเขาออกมา
หนิงฝานใช้ข้อศอกคลึงสัมผัสหน้าอกที่อ่อนนุ่มของนางทำให้ร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรงมากขึ้น
‘บัดซบ ทักษะเย้ายวนกำลังทำให้ข้า...ทำให้ข้าร้อนผ่าวและอึดอัดอะไรเช่นนี้? ทนไม่ได้... ทนไม่ได้ ร้อนเหลือเกิน’
นางซุกร่างเข้ามาที่แผ่นอกของหนิงฝานและเริ่มเคลื่อนไหว และหนิงฝานก็เริ่มกอดนางแน่นขึ้น
“อย่าขยับ อย่าขัดขืน หากเจ้ายอมแพ้ข้าจะเมตตาเจ้า...” หนิงฝานข่มขู่นาง แต่เขาไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของสตรีผู้งดงามในอ้อมกอดได้ ยามนี้หนิงฝานหวังเพียงว่าดรรชนีคลายหยินจะทำให้นางยอมรับความพ่ายแพ้
“หากข้าไม่ยอม...เจ้าจะทำ...กับข้า เจ้า...มันไร้ยางอาย... ปล่อยข้า...อย่าสัมผัสข้า” แววตาของนางเริ่มพร่ามัว ร่างกายของนางเริ่มไวต่อการสัมผัสของหนิงฝานราวกับจะสูญเสียสติ
ดรรชนีคลายหยินคือทักษะเย้ายวนของจักรพรรดิสวรรค์ มันย่อมทรงพลัง หากหนิงฝานบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม เพียงสัมผัสเดียวหนิงฝานสามารถทำให้สตรียอมปลดเปลื้องอาภรณ์และมอบกายให้
น่าแปลกที่ร่างกายของสตรีนางนี้ไวต่อความรู้สึกอย่างน่าประหลาด เพราะหลังจากนางอยู่ในอ้อมกอดของหนิงฝาน นางกลับตกอยู่ความควบคุมโดยสมบูรณ์ นางต้องการขับปราณหยินออกจากร่างแต่ยามนี้ร่างกายของนางกำลังถูกหนิงฝานสัมผัส ทำให้ร่างกายของนางไม่ยอมฟังคำสั่ง
อย่าว่าแต่ขับปราณหยินออก นางไม่มีแม้แต่แรงที่จะผลักหนิงฝานออกด้วยซ้ำ
“เจ้าบังอาจ...บังอาจ...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ นี่มันทักษะเย้ายวนอะไรกัน อ้า!! เมตตาข้าด้วย” หน้าอกของนางสะท้อนขึ้นลงตามการสัมผัสของหนิงฝาน แต่นั่นกลับทำให้นางสัมผัสถึงความรู้สึกที่รื่นรมรย์
นางอยากตายด้วยความคับข้องใจที่กำลังประสบ นางไม่สามารถสลัดความรู้สึกเหล่านี้ไปได้ ‘เด็กเจ้าชู้... มันมาเพื่อทำลายวิหารของข้า ข้าอุตส่าห์ปล่อยมันไปแต่มันกลับกล้าล่วงเกินข้า’
“ข้าขอร้อง... ปล่อยข้าไปเถอะ...” นางหลับตาพร้อมปรากฏหยาดน้ำตาที่เย็นราวกับน้ำแข็งหยดลงที่ฝ่ามือของหนิงฝาน
‘เหตุใด เหตุใดข้าไร้กำลังเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา? เหตุใดข้าใช้ปราณไม่ได้?’
‘ไร้สาระสิ้นดี! ข้าเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม แต่ยามนี้กลับต้องร้องขอความเมตตาจากบุรุษในขอบเขตประสานวิญญาณ’
ความคิดของนางปั่นปั่นสับสนจากสัมผัสของหนิงฝาน ยิ่งนานไปร่างกายของนางก็ยิ่งแปลก นางสัมผัสได้ว่าหากไม่เร่งผละออกจากหนิงฝานและขับปราณหยินออก นางกลายเป็นสตรีและทาสสวาทของหนิงฝาน
อานุภาพของดรรชนีน่าสะพรึงกลัว ทักษะเย้ายวนนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
“เด็กน่ารังเกียจกลับกล้าทำกับข้าเช่นนี้ หากข้ารอดจากเจ้าไปได้... ข้าจะสังหารเจ้า สังหารเจ้า อื้ม... ร้อนมาก ว่างเปล่า...”
***
“ข้าเพียงทำตามประเพณีของนิการปีศาจทมิฬ! รีบส่งสมบัติมาให้ข้าแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป...” หนิงฝานกล่าวกระซิบที่ข้างหูของนาง ทำให้นางแตกตื่นมากขึ้น เจตนาสังหารที่ปรากฏเมื่อครู่ของนางกำลังค่อยๆหายไปอย่างช้าๆจนไม่เหลือ
‘ย่อมได้ ย่อมได้ แค่เพียงเมตตาต่อข้า’
นางวางนิ้วที่เรียวงามของนางลงบนแผ่นอกหนิงฝานก่อนกล่าวอย่างรักใคร่และรุ่มหลง “ปล่อยข้า... ข้ายอมแพ้ ในเมื่อเป็นประเพณีของนิกายปีศาจทมิฬเจ้า ข้าจะมอบสมบัติให้... มันอยู่ในวิหารกล้วยไม้ เจ้าสามารถนำสิ่งที่เจ้าพึงพอใจออกไปได้... ข้าให้เจ้า...อื้ม~~ ข้าให้เจ้า”
นางแค่อยากหลุดจากอ้อมกอดของหนิงฝาน เรื่องสมบัติไม่ใช่สิ่งสำคัญของนาง
“เช่นนั้นข้าต้องขออภัยด้วย...” หนิงฝานปล่อยนางอย่างรวดเร็ว เพราะหากเขาไม่ปล่อยเขาคงไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก เพราะสตรีนางนี้ช่างเย้ายวนอย่างที่สุด
หนิงฝานเร่งกลับไปข้างกายหานหยวนจึ๋ด้วยความระมัดระวัง เพราะบางทีหากนางฟื้นคืนปราณ นางอาจจู่โจมหนิงฝานทันที
หากเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มหรือแก่นทองคำที่เป็นบุรุษ หนิงฝานจะไม่มีโอกาสชนะ
หากเป็นสตรีที่ไม่ไวต่อสัมผัส ต่อให้หนิงฝานลอบจู่โจมด้วยทักษะเย้ายวนก็ยากที่เอาชนะนาง
โชคดีที่ร่างกายของหยุนโร่วเวยนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป และบังเอิญที่ดรรชนีคลายหยินทรงอานุภาพ ทำให้หนิงฝานไม่กลัวที่จะลอบจู่โจมนาง
นับเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุดของหนิงฝานที่ได้รับชัยชนะด้วยวิธีการที่น่ารังเกียจ แต่ชัยชนะก็คือชัยชนะ และหนิงฝานก็คือผู้บ่มเพาะฝ่ายอธรรม
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของหยุนโร่วเวยนับว่าน่าอนาถ เพราะแม้เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำที่มีแผนการการชั่วร้ายยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม
ทันทีที่หยุนโร่วเวยหลุดจากอ้อมกอดของหนิงฝาน นางเร่งถอยห่างด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวอย่างรวดเร็ว
ด้วยไม่มีการเล้าโลมขัดขวางจากหนิงฝาน นางจึงขับปราณหยินออกจากร่างได้ทั้งลมหายใจของนางเริ่มกลับสู่สภาพเดิมอย่างช้าๆ
นางจ้องมองหนิงฝานด้วยแววตาซับซ้อน ภายในใจของนางเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคือง
‘แม้ข้าอยากสังหารมัน... แต่ดูเหมือนข้าจะทำไม่ได้ บุรุษชั่วร้าย! เจ้ากล้าล่วงเกินข้า’
‘หนิงฝานได้เรียนรู้สิ่งที่ชั่วร้าย เขาไปฝึกฝนทักษะเย้ายวนที่น่าสะพรึงกลัวนี้มาจากที่ใด? เหตุใดเขาถึงได้ชั่วช้าเลวทราม ในประวัติของนิกายปีศาจ ไม่เคยมีปีศาจทมิฬเช่นนี้ปรากฏมาก่อน... ชั่วช้า... เป็นโจรที่ชั่วช้า...’
แววตาของหยุนโร่วเวยซับซ้อนจนทำให้หานหยวนจี๋ที่มองอยู่รู้สึกตกตะลึง
ชายชราดูแคลนหนิงฝานเกินไป ชายชราคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะมีอำนาจในการสะกดข่มสตรีเช่นนี้
‘ยอดเยี่ยม... ทักษะเย้ายวนอันใดที่หนิงฝานใช้? เขาสยบสตรีได้ในครั้งเดียว สมแล้วที่เป็นศิษย์ของบิดา!’ ขณะคิดสีหน้าตกตะลึงของชายชราได้แปรเปลี่ยนเป็นภาคภูมิ
‘เมื่อ 40 ปีที่แล้วข้าได้มาที่นี่เพื่อทำลายนิกายของนาง แต่นางปฏิเสธที่จะมอบสมบัติให้อย่างหนักแน่น ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก แต่วันนี้ แม้ข้าไม่ต้องลงมือแต่นางกลับยอมสยบด้วยแผนสกปรกของหนิงฝานและยอมโอนอ่อนมอบสมบัติให้กับหนิงฝานด้วยตัวของนางเอง’
‘หนิงน้อย นี่เจ้ากำลังท้าทายสวรรค์ อา... ขอบเขตประสานวิญญาณเอาชนะขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม แม้จะเอาชัยได้ด้วยวิธีสกปรกแต่ยังนับว่าน่าอัศจรรย์!’
ผ้าคลุมอำพรางและหยกสวรรค์ 1 แสนก้อน หลังจากหยุนโร่วเวยมอบทั้งสองสิ่งให้หนิงฝาน นางก็เร่งกลับไปยังวิหารกล้วยไม้ทันที นางกลัวสายตาของหนิงฝาน
‘ผ้าคลุมอำพราง’ คือสมบัติระดับสูงที่ใช้ปิดบังใบหน้า แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงยังไม่อาจจดจำคนผู้นั้นได้
หนิงฝานส่ายหน้าและพยายามลบเลือนเงาร่างของหยุนโร่วเวย ไม่นานเขาก็จ้องมองชายชราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าชนะ... เราจะไปนิกายเทียนหลีโม่เดี๋ยวนี้หรือไม่?” เหตุที่หนิงฝานเสี่ยงลงมือกับหยุนโร่วเวยก็เพราะเหตุผลง่ายๆเช่นนี้ เขาต้องการเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการช่วยหนิงกู่จากนิกายเทียนหลีโม่
“ย่อมได้ เราจะไปนิกายเทียนหลีโม่กัน! เพราะหากข้าไม่พาเจ้าไป เจ้าคงเกลียดข้าไปตลอดชีวิต! คาดไม่ถึงว่านางจะยอมมอบผ้าคลุมหน้าของนางให้เจ้า... ผ้าคลุมหน้าของนางนั้น ไม่ว่าเป็นผู้ใดในนิกายเทียนหลีโม่ก็ไม่อาจจดจำเจ้าได้... ไปเถอะ ไปนิกายเทียนหลีโม่กัน!”
แล้วสายรุ้งสีก็วาบผ่านท้องฟ้ายามราตรีมุ่งตรงไปยังนิกายเทียนหลีโม่ ระหว่างทางหนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์พานพบนิกายต่างๆมากมาย ชายชราข่มขู่และทำลายนิกายเหล่านั้นกระทั่งชิงสมบัติมาได้มากมายนับไม่ถ้วน
หลังจากหนิงฝานและหานหยวนจี๋จากไป สตรีนางหนึ่งในวิหารกล้วยไม้ได้นั่งเหม่อมองดวงจันทร์ที่งดงามพลางขมวดคิ้วราวกับครุ่นคิด
“บุรุษชั่วช้า... เจ้าเรียนรู้ในสิ่งที่ชั่วร้าย... แต่ช่างเถอะ อนาคตข้างหน้าเราอาจไม่ได้พบกันอีก ฮึ่ม... เป็นบุรุษที่น่าโมโหเสียจริง!” นางแค่นเสียงเบาๆ นิ้วมือที่เรียวงามขดพัน ข้อมือสั่นเทาทำให้กระดิ่งที่อยู่ข้อมือนางเปล่งเสียงไพเราะ
***
แคว้นเยว่... ภูเขาหลี่หาน... นิกายเทียนหลีโม่ วันนี้คือวันที่ 9 ของงานประลองนิกายเทียนหลีโม่
งานประลองจะเริ่มขึ้นตอนรุ่งเช้าที่ยอดเขาของนิกายเทียนหลีโม่ ใกล้ๆกับบริเวณนั้นมีวังที่ประดับด้วยหยกจำนวนมาก หมอกเซียนลอยวน เมฆสีแดงที่ต้องแสงตะวันลอยอยู่บนท้องฟ้า
เส้นสายรุ้งสีดำลอยลงมายังภูเขาของนิกายเทียนหลี่โม่อย่างเงียบงัน
“โชคดีที่วันนี้นิกายเทียนหลีโม่มีงานประลอง มันง่ายให้เราลงมือมากขึ้น แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าเมื่อเข้าไปในนิกายเทียนหลีโม่แล้วเจ้าห้ามก่อเรื่อง ก่อนที่เจ้าจะทำอะไรต้องบอกข้าก่อน” ชายชรากล่าวเตือน...
ฝากกด LIKE แฟนเพจด้วยนะครับ ผู้ใหญ่บ้านเล่าสู่ฟัง