DND.26 - การข่มเหงของพวกตาขาว
เขามองไปยังกลุ่มจอมยุทธยืนล้อมเป็นวงกลม มีคนกำลังต่อสู้อยู่ตรงมุมร้านจนร้านปั่นป่วนไปหมด แต่ดูเหมือนว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้มาบ้างแล้ว
“เจ้าของร้าน ท่านไม่กลัวร้านพังรึไง?”
ซือหยูพูดติดตลก ดูจากขนาดร้านแล้วมันก็ควรจะมีผู้สนับสนุนอันแข็งแกร่ง น่าแปลกที่คนพวกนี้กล้าก่อเรื่อง
“มันอยู่ที่ว่าใครจะทำร้านพังต่างหาก”
เจ้าของร้านถอนหายใจ
“พวกเขาเคยมาที่นี่แล้ว หนึ่งในนั้นเป็นศิษย์ทองคำอันดับสามของสำนัก กำลังประลองกับองครักษ์เกราะขาวของวังเซี่ยนหยู”
เจ้าของร้านส่ายหัว
“องครักษ์เกราะขาวในวังเซี่ยนหยูอย่างน้อยก็มีพลังระดับสี่ ศิษย์ทองคำจะไปสู้ได้ยังไง? ดูนั่นสิ...ตามที่ข้าพูดเลย”
ในวังเซี่ยนหยูจะแบ่งองครักษ์เป็นเกราะทมิฬและเกราะขาว ซือหยูเคยเจอองครักษ์เกราะทมิฬมาก่อนแล้ว แต่ละคนมีพลังระดับห้า องครักษ์เกราะขาวมีพลังระดับสี่ที่เป็นกำลังสำคัญในเขตเซี่ยนหยู
เสียงครวญครางดังตามมากับเสียงคนล้มลงพื้น
“ศิษย์ทองคำของสำนักน่ะเหรอ...ไม่คณามือข้าหรอก”
องครักษ์เกราะขาวยืนกอดอกยืนพูดอยู่ตรงนั้น ข้างเขาคือหลีหมิงห่าวที่ใบหน้ายิ้มแย้ม เขามองคนที่ล้มอยู่บนพื้นด้วยความเย็นชา
“ลู่ฉวน ตอนที่ข้าถูกไล่ออกจากกลุ่ม ข้าคิดว่าเจ้าจะได้อะไรดีๆ แต่เจ้าก็ไม่ได้อะไรมากเลยนะ”
ลู่ฉวนที่อยู่บนพื้นบาดเจ็บอย่างหนัก มีเลือดไหลมาจากมุมปากของเขา เขาทำได้แค่หัวเราะแห้งๆเพราะไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว
เขาเพิ่งกลับมาจากเขารัตติกาล เมื่อมาถึงที่ร้านเขาได้พบกับหลีหมิงห่าวที่มากับลูกพี่ลูกน้องหลีจิ้นฉางโดยไม่คาดคิด หลีหมิงห่าวเจ็บใจเพราะพลาดสมบัติในถ้ำไป เขาจึงให้หลีจิ้นฉางช่วยแก้แค้น
หลีจิ้นฉางมีพลังระดับสี่ ลู่ฉวนจะสู้ได้อย่างไร?
ลู่ฉวนทนเจ็บอยู่เงียบๆ เขาลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขากำหมัดแน่นและเดินฝ่าฝูงชนออกไป
ตอนนั้นเองเขาได้เจอซือหยูที่อยู่ด้านนอกกลุ่มคน เขาสะดุ้งและรีบส่งสายตาให้ซือหยูรีบออกไป เขาเจ็บปวดเพราะหลีหมิงห่าวมาก่อนแล้ว ตอนนี้จะเป็นซือหยูงั้นหรือ?
“เฮ้ย! ซือหยู! เจ้าก็อยู่นี่ด้วยเรอะ!”
โชคไม่ดีที่สายตาเฉียบคมของหลีหมิงห่าวพบซือหยู
“ลูกพี่ นั่นคือมันอีกคน!”
หลีจิ้นฉางเดินมาหาซือหยูด้วยสายตาเฉียบคม เขาหรี่ตา
“เจ้าสินะที่ทำร้ายหลีหมิงห่าว? ดี! ข้า..หลีจิ้นฉาง ขอประลองกับเจ้า! เตรียมสู้ซะ!”
ซือหยูทำทีเป็นไม่ได้ยินและเดินกลับอย่างใจเย็น เขาไม่สนใจการต่อสู้อันไร้ความหมาย พวกที่ยืนดูอยู่ต่างส่ายหัว
“หลีจิ้นฉางรังแกคนเกินไปแล้ว ระดับสี่ท้าระดับสาม รังแกฝ่ายเดียวชัดๆ”
“เพราะพวกเขาไม่มีคนสนับสนุนต่างหาก พวกเจ้าคิดว่าหลีจิ้นฉางจะกล้าสู้กับฉินเฟิงหรือฟางฉิงโจวไหมล่ะ?”
หลีจิ้นฉางยังคงไม่ขยับไปไหนแม้จะได้ยินเสียงกระซิบรอบข้าง เมื่อเห็นซือหยูไม่สนใจเขา เขาก็ฉวยโอกาสทันที!
“จะสู้ไม่สู้ก็เรื่องของเจ้า! ถ้าเจ้าไม่สู้ ข้าก็จะสู้อยู่ดี!”
มือของหลีจิ้นฉางกลายเป็นกรงเล็บที่เข้าฉีกกระชากแผ่นหลังของซือหยู
ซือหยูขมวดคิ้ว คนคนนี้คือตัวอย่างของพวกที่ชอบรังแกคนอย่างขี้ขลาดได้อย่างดีทีเดียว เขาถึงกับกล้าทำหน้าด้านลอบโจมตีเช่นนี้!
ซือหยูแตะปลายเท้าใช้เงาเมฆาทันที
หลีจิ้นฉางเกือบจะโจมตีโดนอยู่แล้วและซือหยูก็หลบโดยที่ไม่หันมามองด้วยซ้ำ ร่างของเขาลอยขึ้นราวกับเงาของเมฆขาว เขาเพียงพุ่งไปข้างหน้าและหลบอย่างง่ายดาย
หลีจิ้นฉางไม่เชื่อสายตาตัวเอง จริงอยู่ที่เขาใช้พลังเพียงสามส่วน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงหลบมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้?
“ดูเหมือนเจ้าจะมีอะไรดีสินะ ไม่เลว งั้นข้าจะไม่ออมมือ”
หลีจิ้นฉางยิ้มอย่างเย็นชา
“หมัดภูผา!”
หลีจิ้นฉางปล่อยพลังภายในระดับสี่ออกมา พลังที่มองไม่เห็นทำให้คนที่ยืนมองต่างถอยคนละก้าว
“หลีจิ้นฉางมันป่าเถื่อนจริงๆ ฉวยโอกาสใช้พลังขนาดนี้!”
“เขาใช้พลังไม่เต็มที่ก็ชนะลู่ฉวนได้ ตอนนี้เขาปล่อยพลังออกมาหมดเลย ซือหยูแย่แน่”
หมัดภูผาเป็นวิชาบ่มเพาะพลังระดับกลาง หมัดจะปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเงาลางๆ มันแข็งแกร่งและทรงพลัง แรงดันของมันทำให้อากาศรอบๆสั่นสะเทือน
ซือหยูเตะเท้าซ้ายสวนกลับไป ขาของเขาที่เปลี่ยนแปลงจากไขหยกเพลิงปลดปล่อยพลังอันเหลือเชื่อออกมา
พวกเขาทั้งสองกระเด็นถอยคนละสามก้าว ใบหน้าซือหยูยังคงเรียบเฉยและใจเย็น แต่ฝั่งหลีจิ้นฉางต้องแอบกลั้นใจและสะบัดมือที่ถูกแรงปะทะจนชา!
“พลังกายกับวิชาขาดีนี่!”
ที่สำคัญที่สุดคือซือหยูใช้เพียงพลังกาย...เขายังไม่ใช้วิชาบ่มเพาะอะไรเลย!
หลีหมิงห่าวหน้าซีดอย่างไม่เชื่อสายตา ซือหยูป้องกันพลังระดับสี่ได้ยังไง?
ลู่ฉวนไม่เชื่อสายตาเช่นกัน ซือหยูไปมีพลังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
พวกเขารู้ว่าหลีจิ้นฉางกับฉินเฟิงมีพลังระดับเดียวกัน!
“เจ้าเป็นราชาระดับเงินจริงๆงั้นเรอะ?”
หลีจิ้นฉางยังคงไม่เชื่อ ศิษย์ระดับเงินจะเคี้ยวยากขนาดนี้ได้ยังไง?
ซือหยูถามอย่างไม่ใสใจ
“ไม่สู้ต่อรึ?”
หลีจิ้นฉางหน้าซีดและกลายเป็นแดงก่ำ เขาเอาแต่ใจ หยิ่งผยอง และบังคับให้อีกฝั่งต้องสู้ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“เจ้าหนู อย่างเพิ่งดีใจไปหน่อยเลย! เจ้ายังไม่รู้จักพลังของระดับสี่!”
หลีจิ้นฉางเยาะเย้ย จากนั้นก็มีพลังบริสุทธิ์ไหลรอบแขนทั้งสองข้างของเขา
ลู่ฉวนชักสีหน้าทันที
“ซือหยู! รีบหนีเร็ว! เขากำลังจะใช้พลังปราณ เจ้าสู้ไม่ได้หรอก!”
พลังปราณเกิดขึ้นเมื่อบรรลุขอบเขตระดับสี่แล้วเท่านั้น เมื่อถึงระดับสี่จอมยุทธจะบ่มเพาะพลังปราณได้ มันเป็นพลังอันบริสุทธิ์และรุนแรง พลังปราณคือความต่างระหว่างระดับสี่และระดับสามอย่างแท้จริง
“หมัดภูผา!”
วิชาเดิมที่ใช้พลังปราณร่วมด้วยทรงพลังกว่าเดิมหลายเท่า
อากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภาพรอบๆเริ่มเลือนลาง แต่ซือหยูยังคงมิเกรงกลัวสิ่งใด
“วายุกระหน่ำ!”
เขาเตะขาขวาอันเยือกเย็นออกไป ความเย็นนั้นทำให้รู้สึกได้ถึงคมมีดที่รายล้อม ลมเย็นพุ่งตรงไปก่อนที่ขาจะยืดสุดเสียอีก! หมอกขาวอันเยือกเย็นเปล่งประกายออกมาจากขาซือหยู
ปั้ง-
อีกครั้ง ชายทั้งสองถอยกลับคนละก้าว ซือหยูยังคงผ่อนคลาย
แต่หลีจิ้นฉางต่างออกไป ทุกคนเห็นหมัดที่เยือกแข็งของเขา ความเย็นนั้นป้องกันการไหลเวียนของโลหิต นั่นหมายความว่าพลังปราณจะไหลเวียนไม่ได้ด้วย หลีจิ้นฉางกลัวจนตัวสั่น
“ไม่สู้ต่อรึ?”
ซือหยูถามอีกครั้งอย่างร่าเริง
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าเรอะ?”
“หมัดภูผา!”
“วายุกระหน่ำ!”
หนึ่งกระบวนท่า สองกระบวนท่า สามกระบวนท่า! สี่กระบวนท่า ห้ากระบวนท่า หกกระบวนท่า! หลังจากเวลาผ่านไป พวกเขาโจมตีแลกกันกว่า 100 กระบวนท่า!
“ซือหยูนั่นเป็นราชาระดับเงินจริงๆเหรอ? แข็งแกร่งจนใกล้ราชาทองคำด้วยซ้ำ!”
“ซือหยูยังห่างไกลกับราชาทองคำ แต่เขาเทียบได้กับอันดับสองฉินเฟิง”
หลังจากถูกซือหยูเตะเข้าที่อก เขาก็กระเด็นลอยไปกระแทกกับพื้น หลีจิ้นฉางกระอักเลือดออกมาอย่างน่ากลัว เมื่อมองเลือดที่ออกมาเขาก็พบหมอกเย็นลอยขึ้น! ร่างทั้งร่างโดยเฉพาะหมัดของเขาเย็นและซีด เขาตัวสั่นอย่างคุมไม่อยู่
ใบหน้าของหลีจิ้นฉางหวาดกลัว แต่ละครั้งที่ถูกวิชาขาของเขาโจมตีจะทำให้ตัวเย็นลงเรื่อยๆ เวลาผ่านไปร่างกายของเขาจะเริ่มช้าลงและแพ้ในที่สุด
ซือหยูใช้พลังไปเล็กน้อย ร่างกายอันแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าคนธรรมดาแล้ว นั่นทำให้เขามีคลื่นพลังกายอย่างไม่จำกัด
ซือหยูส่ายหัว
“องครักษ์เกราะขาวทำได้แค่นี้รึ? ยังเทียบกับราชาระดับเงินไม่ได้เลย”
หลีหมิงห่าวที่หวาดกลัวค่อยๆเดินไปข้างหลังหลีจิ้นฉาง เขาพยุงตัวหลีจิ้นฉางและรีบวิ่งหางจุกตูดออกไป
ซือหยูแกร่งเกินไปแล้ว! แกร่งจนหลีหมิงห่าวไม่คิดจะแก้เค้น! ซือหยูเดินออกไปเหลือไว้แต่เพียงผู้คนที่หวาดกลัว
ในร้านอาหาร ชายหนุ่มดวงตากลมโตกับอีกคนที่มีผมสีเงินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
“ฮ่าๆๆ เฉาลี่ เราเจอกับเจ้าเด็กระดับเงินในห้องตำราอีกรอบแล้วนะ พลังเขาเพิ่มขึ้นมากทีเดียว”
“มันก็แค่ขยะ ไม่มีค่าให้ข้าขยับนิ้วด้วยซ้ำ”
ซือหยูไปร้านตีเหล็กและผิดหวังที่พบว่าหัวลูกศรทั้งหมดทำจากเหล็กธรรมดา เขาที่มีเงิน 5,000 ตำลึงเงินนับมั่งคั่งกว่าคนอื่นมากนัก
ซือหยูที่ไม่มีอะไรจะซื้อมองดูตัวเอง แม้ว่าชุดหลวมๆของเขาจะสะอาดแต่มันก็ถูกทำมาอย่างลวกๆ แม้ร่างกายจะสะอาดแต่ผิวก็ดูไม่สะอาด มันคล้ำและหยาบ ผมของเขาแทบจะไม่ได้ทำความสะอาด มันแห้งและชี้ฟู เขาดูเหมือนกับเด็กยากจน
ในชีวิตก่อนของซือหยู เขาเป็นผู้จัดการที่แต่งตัวดีเสมอ เขามีรสนิยมดีและพิถึพิถัน
แต่เมื่อมาอยู่ต่างโลก เขาเป็นคนยากจนที่ทำได้เพียงอดทน มันไม่ง่ายสำหรับซือหยูที่มีชีวิตดีมาโดยตลอดเลย
แต่ตอนนี้เขามีเงินแล้ว ถึงเวลาต้องแต่งตัวให้ดีกว่านี้สักหน่อย เขาทิ้งชีวิตเมื่อก่อนและเปลี่ยนแปลงจากภายใน เขาไม่ถูกเรียกว่าไร้ค่าอีกแล้ว และภายนอกเองก็ต้องเปลี่่ยนไปด้วย
ในโลกใบนี้มีร้านเสริมความงามที่บริการครบทุกอย่าง
“ท่านคะ เรามีซีรั่มวิญญาณสามแบบที่จะช่วยบำรุงผิว ราคามันสูงสักหน่อย ที่ถูกที่สุดคือหยดละหนึ่งตำลึงเงิน ท่านจะรับกี่หยด….”
หนึ่งตำลึงเงินนั้นเพียงพอที่จะใช้จ่ายตลอดเดือน ไม่มีใครคิดจะซื้อซีรัมวิญญาณที่ราคาแพงเช่นนี้นอกจากพวกคนรวย
“กี่หยดงั้นเหรอ? อืม...ไปเอาถังมา ข้าจะอาบมัน!”
ซือหยูเอียงคอ
“อ๊ะ! ถัง? โอ๊ะ ค่ะ กรุณารอสักครู่ค่ะท่าน ข้าจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้ ท่านคะ นี่ซีรัมวิญญาณที่ใช้กับเส้นผม ลองดู….”
“เอามาให้หมด!”
“อ๊ะ!! ได้ค่ะ กรุณารอหน่อยค่ะท่าน!”
“ท่านคะ ชุดของเราทำจากไหมคุณภาพดีที่สุด….”
“ไม่มีดีกว่านี้แล้วรึ?”
“อ๊ะ! มีค่ะ ข้าจะรีบไปที่ร้านในเมืองของเราเดี๋ยวนี้ มันเป็นผ้ากันฝุ่นสีม่วง”
หลังจากครึ่งวัน
“ท่านคะ กระจกอยู่ทางนี้ค่ะ”
สาวใช้ลืมตากว้างและมองซือหยูอย่างตกตะลึง เขาเปลี่ยนไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ตอนที่เขาเข้ามา นางคิดว่าเขาเป็นแค่คนจนที่ไม่ค่อยมีเงิน แต่ตอนนี้เขาดูราวกับเป็นตัวตนสูงส่งเหนือทั้งมวล ความแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเช่นนี้ทำให้นางที่ทำการค้าแบบนี้มานานต้องตกใจ ไม่เคยมีใครเลยที่จะเปลี่ยนไปมากราวกับคนละคนได้อย่างเขา
ติชมให้กำลังใจ กดไลค์แฟนเพจมาคุยกันได้เลยจ้าาา