ตอนที่ 5 ลูกของคนอื่น
ตอนที่ 5 ลูกของคนอื่น
ตั้งแต่เด็ก หวังลิ่งทำตัวเองให้ไม่เป็นที่สนใจและหลบเลี่ยงการเป็นเป้าสายตามาโดยตลอด
แน่นอนว่ามันย่อมมีที่เขาไม่สามารถเลี่ยงได้ ดั่งเช่นการสอบนี้ แม้แต่เขาไปฝึกควบคุมคลื่นพลังวิญญาณของตนเองเพื่อที่จะไม่ให้มันทำลายเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหาทางสักเพียงใด สุดท้ายเขาก็ลงเอยอยู่ที่ห้องพิเศษ
มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ยังไง?
ณ เวลาอาหารเย็น หวังลิ่งเคี้ยวอาหารอย่างเหม่อลอย เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ทำไมการที่จะเป็นนักเรียนที่ไม่ดีถึงยากขนาดนี้?
เขาไม่คาดหวังว่าพ่อแม่ของเขาจะเข้าใจความลำบากของเขา
พ่อแม่ของของเขาอ่านจดหมายที่เขียนว่าห้องพิเศษที่เขาได้รับมา พวกเขาไล่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ตกหล่น
หลังจากที่ชายวัยกลางคนทรงผมสลิค-แบ็ค* ไว้หนวดเล็กๆ ถอดแว่นกรอบสีดำของเขาออกแล้วนำมาแตะไว้ที่คางมองมาทางหวังลิ่ง “หวังลิ่งเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
*สลิค-แบ็ค ผมสั้นปาดหลัง
หวังลิ่งไม่อยากจะฟังพ่อเขาพูดเลย พ่อของเขาซึ่งยังไม่สำเร็จขั้นแรกเริ่มลมปราณ แต่เขาก็วางตะเกียบลงตามที่พ่อเขาบอก
เขาพอจะเดาได้ว่าพ่อเขาจะพูดอะไร มันก็คงไม่พ้น “ลูกทำให้พ่อผิดหวังจริงๆ”
และเป็นไปตามที่คาด
“ลูกทำให้พ่อผิดหวังจริงๆ!”
พ่อของหวังลิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่เขาจับหนวดของเขาแล้วพูด “แค่ทำให้การสอบมันแย่นิดหน่อยทำไม่ได้รึยังไง ลูกได้เกรดดีๆมาตลอด มันทำให้พ่อแม่อึดอัดใจรู้ไหม”
หวังลิ่งไม่มีคำที่จะพูดเขากรอกตา มันไม่ใช่ว่าเขาอยากจะทำมันให้ออกมาดีสักหน่อย เหมือนอย่างวันนี้มันเป็นเรื่องที่เขาทำอะไรไม่ได้
“ลูกน่าจะรู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่ยังไม่สำเร็จขั้นแรกเริ่มลมปราณเลย ตอนนี้มีข่าวลือเต็มไปหมด” ถึงจุดนี้พ่อของเขาหยุดพูดแล้วเอามือปิดหน้าตัวเอง “ไม่ใช่แค่เขาพูดว่าพ่อกับแม่เก็บลูกมาเลี้ยง ยังมีบางคนว่าพ่อนั้นมีชู้”
หวังลิ่งไม่มีคำพูดใดๆ
“คราวหน้าอย่าพยายามทำข้อสอบ ถ้าเป็นไปได้ก็ส่งกระดาษเปล่าและไม่ต้องไปฟังแม่เรื่องฝึกฝนมันช่วยอะไรไม่ได้”
“...”
หวังลิ่งนั่งฟังเงียบๆ เขาไม่เคยพยายามทำข้อสอบอะไรเลยสักข้อสอบ
พ่อของหวังลิ่งถอนหายใจ “ถ้าลูกยังได้เกรดดีๆอีก พ่ออาจจะต้องทำโทษลูก”
หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อเขา เขาเริ่มไม่พอใจและเผลอทำตะเกียบในมือหัก
“....”
เมื่อพ่อของเขาเห็นตะเกียบหักคามือหวังลิ่ง “ให้ตายสิ พ่อพึ่งซื้อตะเกียบที่ทำมาจากเหล็กดำสวรรค์ชั้นเก้าเมื่อสองวันก่อน นี่ลูกทำมันหักอีกคู่แล้ว”
“ช่างมันเถอะคุณ... หลิงหลิงยังคงไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้ ทำไมคุณถึงเอาเรื่องนี้มาพูดตอนกำลังกินอาหารกัน” กลับกันกับพ่อของหวังลิ่ง แม่ของเขาเลี้ยงดูเขาแบบปล่อยไปตามธรรมชาติ
“เราจำเป็นต้องสอนให้หลิงหลิงควบคุมพลังของเขา และที่สำคัญเขากินข้าวได้ก็ดีแล้ว ก็แค่ตะเกียบหักไปอีกคู่...สินค้าสมัยนี้คุณภาพมีแต่แย่ลง” แม่ของเขาถอนหายใจ เพราะรายจ่ายของบ้านเพิ่มขึ้น
เขามีพลังวิญญาณสูงตั้งแต่เด็ก หลังจากเขาหักกระบี่เล่มนั้นตอนอายุเพียง1ขวบ พ่อและแม่ของเขาก็เปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านแทบจะทุกชิ้น เพราะกลัวว่าหวังลิ่งจะทำมันพังหากเขาไม่ระมัดระวัง -ถ้าหากมันไม่ได้ทำมาจากหยกดำ หรือเหล็กดำหรือเพชรดำ
หลังจากที่เขาเห็นตะเกียบที่ทำจากเหล็กดำหัก ในใจพวกเขาเต็มไปด้วยหลายอารมณ์ เมื่อตอนพวกเขาสอนหวังลิ่งให้ใช้ตะเกียบ ตะเกียบจะนวนกว่า1000คู่ต้องสังเวยให้กับการสอนครั้งนั้น
หรืออาจจะเรียกได้ว่า“ตัวปัญหา”
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากนักเพราะในชีวิตเขามันมีปัญหาเกิดขึ้นเยอะมากจนเขาเริ่มจะชินกับมัน
หลังจากที่เขาสำเร็จระดับพลังขั้นสูงที่หลายคนต่างฝันถึง แล้วยังไงต่อ?
หาเงินจากการแสดงข้างถนน?
แน่นอนว่าหวังลิ่งสามารถทำลายภูเขาทั้งลูกได้ แต่มันก็ไม่มีภูเขาสักลูกให้เขาทำลาย ทุกวันนี้ทรัพยากรธรรมชาติถูกปกป้องโดยรัฐบาล ทำลายภูเขา1ลูกก็เข้าคุกไปเลย3ปีอย่างต่ำ หรืออาจจะถูกประหารชีวิต!
พลังที่สามารถทำลายทุกสิ่ง? พลังที่จะครองโลก?
แน่นอนหวังลิ่งมีพลังที่จะทำมันทั้งหมด แต่เขาชอบที่จะอยู่บ้านอ่านหนังสือการ์ตูนมากกว่า
พลังเวทหรือพลังวิญญาณหรือแม้กระทั่งควบคุมกาลเวลาเปิดประตูมิติ?
แน่นอนว่าหวังลิ่งสามารถเปิดประตูกาลเวลาได้ แต่ถ้าหากเขาโดนผู้ควบคุมกาลเวลาจับได้หล่ะ บ้านที่ดินและทรัพย์สินของครอบครัวเขาอาจจะโดนยึดไปและทำให้มีสถานะยากจนในทันที
การที่สำเร็จวิชาขั้นสูงๆมันไม่ได้สะดวกสบายเหมือนอยากที่ทุกคนคิด
ถ้าหากเขาเป็นจักรพรรดิของผู้ฝึกตนแล้วไง? เขาก็ยังคงต้องเจอกับปัญหาน้อยใหญ่ทุกวันอยู่ดี ต้องคอยระวังไม่ให้เดือดร้อนถึงพ่อและแม่ของเขา
หวังลิ่งมองอาหารที่ยังคงเต็มโต๊ะ เขาตักข้าวคำสุดท้ายใส่ปากแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เหนื่อยใจจริงๆ”
จากเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา เขาควรจะหยุดกินอาหารแต่มันก็ทำไม่ได้ เพราะยังไงเสียเขาก็ยังจำเป็นต้องดูดซึมพลังวิญญาณจากธรรมชาติ
สำหรับเขาการกินข้าวมันเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้
…………..
หลังจากเขากลับเข้าห้องนอน การนอนบนเตียงเป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุด มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวยามค่ำคืนผ่านเพดานสกายไลท์ (Skylight)**
**เพดานสกายไลท์ : เพดานกระจกสามารถมองทะลุดูดาวได้
มันเป็นช่วงเวลาเดียวที่เสียงรบกวนภายในหูของเขาจะเบาลง แม้ว่าเขาจะกันเสียงจากทักษะอ่านใจของเขาได้ไม่หมด แต่มันก็เป็นเพียงเสียงเหมือนคนบ่นเบาๆภายในหูเขาเท่านั้น
เปรียบเทียบกับเมื่อตอนกลางวันเขาว่าตอนนี้ก็ถือว่าเงียบสงบแล้ว
หลายๆครั้งที่เขาสงสัยว่า เขาอาจจะมาจากโลกอีกโลกหนึ่งหรือเปล่า แต่หลักฐานจากDNAก็ชี้ชัดว่าเขานั้นเป็นลูกแท้ๆของพ่อและแม่ของเขา
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกสำหรับเขาไม่ใช่การที่ไม่เติบโตหรือพลังไม่เพิ่ม แต่กลับเป็นพลังที่เพิ่มขึ้นของเขามันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย
...........
เมื่อตอนที่เขายังเด็ก หวังลิ่งพยายามที่จะวัดจุดสิ้นสุดระดับพลังของเขาว่าอยู่ขั้นไหน แต่มันไม่เป็นผลเมื่อเขาโตขึ้นเขาก็รู้ว่ามันไม่มีขีดจำกัดสำหรับเขา
ด้วยอัตราการสำเร็จระดับขั้นพลัง1ขั้นในทุกๆ2ปี เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่ มันน่ากลัวสำหรับเขามาก
แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขากลัวอีกเรื่องก็คืออนาคตในโรงเรียน
ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขา?
เขาวางแผนจะเข้าโรงเรียนอย่างเงียบๆ แต่เพราะเหตุการณ์บ้าบออะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้ทำให้เขาได้เข้าห้องพิเศษ
และ ซุนหรง เขาคิดว่าเธอจะเป็นตัวปัญหาสำหรับเขาในอนาคต
อย่างแรกเขาไม่อยากจะพบเธอบ่อยๆ แต่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขาลุกขึ้นนั่ง เกาหัว แล้วจึงเอื้อมไปหยิบถุงขนมจากลิ้นชัก
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็ช่าง...
เขาก็ตัดสินใจแกะห่อขนมบะหมี่ก่อนที่จะกินมัน เพื่อลบเรื่องวุ่นวายใจทั้งหมดทิ้งไป