ตอนที่ 204 น้อยเนื้อต่ำใจ
ตอนที่ 204 น้อยเนื้อต่ำใจ
หุบเขาโอสถราชันย์ !! หยางไค่ทราบดีว่ามันเป็นสถานที่แห่งนี้ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจที่วิเศษ หุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยนักปรุงยาจำนวนมาก การบ่มเพาะพลังของผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในหุบเขาโอสถราชันย์ไม่ได้อยู่ในเขตแดนระดับสูง ความแข็งแกร่งของพวกเขาไมได้สูงส่ง แม้แต่พละกำลังในการต่อสู้ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับสำนักนิกายหรือพรรคต่างๆที่มีความยิ่งใหญ่ในอันดับ 1 ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในระดับที่ 2 เท่านั้น
แต่ความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ของพวกเขา กลับมีมรดกและการสืบทอดที่นานยิ่งกว่าสำนัก นิกาย พรรค หรือตระกูลต่างๆ ที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ว่ากันว่าหุบเขาโอสถราชันย์สืบทอดกับมาหลายพันปี ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ทำให้มหาอำนาจในสถานที่ต่างๆต่างสูญสิ้นและถูกกลบฝังจากแม่น้ำที่ไหลวนออกไปอย่างไม่สิ้นสุด แต่หุบเขาโอสถราชันย์กลับดำรงอยู่อย่างอมตะโดยไม่สูญสิ้นตามกาลเวลา
สำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 8 ในเมืองหลวงยังไม่กล้าที่จะประมาทการดำรงอยู่ของหุบเขาโอสถราชันย์ เพราะทุกๆปีจะมีจอมยุทธุ์จำนวนมากมายจากใต้หล้านำพาสมบัติล้ำค่าหรือวัตถุดิบที่น่าอัศจรรย์ไปยังหุบเขาโอสถราชันย์เพื่อให้พวกเขาปรุงกลั่นให้เป็นโอสถวิเศษ หุบเขาโอสถราชันย์จึงมีความสัมพันธุ์ที่ซับซ้อนกับสำนัก นิกาย พรรค ตระกูลที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าอย่างยิ่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใครก็ตามที่คิดจะรุกรานหุบเขาโอสถราชันย์ นั้นหมายความว่าเขากำลังสร้างศัตรูกับผู้คนทั่วยุทธภพ
แม้มีเรื่องราวว่า เคยมีประมุขแห่งนิกายที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เดินทางไปยังหุบเขาโอสถราชันย์เพื่อให้ยอดนักปรุงยาที่แข็งแกร่งปรุงยาให้แก่เขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาถูกปฏิเสธ ทำให้ประมุขแห่งนิกายอับอาย เขาจึงลงมือฆ่ายอดนักปรุงยาผู้นั้นด้วยความเกรี้ยวโกรธ
เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์ที่วุ่นวายอย่างใหญ่หลวง เพียงแค่หุบเขาโอสถราชันย์เรียกใช้งานสำนัก นิกาย พรรค ตระกูลที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ต่างให้การช่วยเหลือจน นิกายที่ยิ่งใหญ่นั้นได้ถูกทำลายในคำคืนเดียวจนหมดสิ้น
แม้ว่าเรื่องเล่าอาจไม่เป็นความจริง แต่ข่าวสารที่แพร่สะพัดออกมา ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหุบเขาโอสถราชันย์มีอิทธิพลต่อผู้คนในใต้หล้ามากแค่ไหน
ทะเลสาบโอสถหมื่นปี เป็นสถานที่ต้องห้ามของหุบเขาโอสถราชันย์ มีเรื่องราวว่าทะเลสาบโอสถหมื่นปีจะมีเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นอยู่เสมอ นักปรุงยาจำนวนมากต่างได้รับความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนักที่ลึกซึ้งจากผู้อาวุโสในหุบเขาโอสถราชันย์
เมื่อตำราสีดำที่ไร้ซึ่งอักขระได้แสดงอักขระเช่นนี้ออกมา ทำให้หยางไค่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตำราสีดำกำลังกล่าวบอก หรือว่าตำราสีดำต้องการให้ตนเองเดินทางไปยังหุบเขาโอสถราชันย์ ทะเลสาบโอสถหมื่นปีเพื่อค้นบางสิ่งบางอย่าง?
แม้ว่าจะมีการคาดเดาเช่นนี้ แต่หยางไค่มั่นใจว่าตนเองจะไม่ไปยังหุบเขาโอสถราชันย์ ทะเลสาบโอสถหมื่นปีในเวลานี้
ประการแรกเขาไม่ทราบวิธีการปรุงกลั่นยา เมื่อเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้นเขาต้องถูกไล่ออกมาอย่างแน่นอน ประการที่ 2 เขาต้องการบ่มเพาะพลังของตนเองให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ จากนั้นจึงหาวิธีที่ปลอดภัยในการเดินทางเข้าสู่หุบเขาโอสถราชันย์ ทะเลสาบโอสถหมื่นปี
เมื่อเขาเก็บตำราสีดำที่ไร้ซึ่งอักขระเข้าไป หยางไค่พลิกฝ่ามือ เขาปลดปลอ่ยพลังลมปราณเพื่อดูดถุงผ้าที่อยู่บนพื้น
ถุงผ้านี้เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าที่หายไปเมื่อ 300 ปีก่อนของสำนักที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในท้องทะเลอันไกลพ้น ในเวลานี้มันตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องลองใช้มันดูสักครั้ง
ก่อนหน้าที่เขาอาศัยอยู่ในเกาะซ่อนเร้น หยางไคต้องการที่จะหลอมละลายสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งเพื่อใช้มัน แต่เพราะตอนนั้นร่างกายของเขาอยู่ในท้องทะเล เขากลัวว่าเขาจะแตะต้องตราประทับที่ผนึกสมบัติวิเศษจนทำให้มันสำแดงอำนาจเฉพาะตัวของมันออกมาจนสำนักนิกายพรรคต่างๆในท้องทะเลอันไกลพ้นสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของมัน
แต่ในตอนนี้มันแตกต่างกัน ตนเองกลับมายังสำนักหลิงเซี่ยว ระยะห่างของมันห่างจากท้องทะเลหลายหมื่นหลายพันลี้ แม้ตราประทับที่ผนึกมันเอาไว้จะถูกสัมผัส มันก็มิอาจที่จะส่งสารไปยังสำนัก นิกายหรือพรรคต่างที่ห่างไกลได้ ทำให้เขาไม่ต้องกังวลถึงปัญหาต่างๆที่จะตามมา
สมบัติวิเศษมี 3 ชิ้น นอกเสียงจากตราประทับขนาดใหญ่ที่ต้องใช้วิถีจิตที่แข็งแกร่งในการเคลื่อนไหวมัน สิ่งที่เหลือคือกระบี่เล่มหนึ่งและบุพผาโลหิตพันปีที่สามารถหลอมละลายมันได้
กระบี่มีความยาวประมาณ 3 ฉื่อ ตัวกระบี่มีสีแดงสดราวกับว่ามีโลหิตกำลังไหลเวียนอยู่ภายใน มันให้ความรู้สึกที่ดำมืด นอกจากนั้นในบางครั้งหยางไค่ยังได้ยินเสียงร้องที่โหยหวนดังออกมาจากกระบี่ กลิ่นอายแห่งจิตวิญญาณที่ชั่วร้ายแพร่สะพัดออกมาอย่างต่อเนื่อง มันรบกวนจิตใจของผู้คนอย่างน่าหวาดกลัว หากผู้ครอบครองมันมีจิตใจที่ไม่แข็งแกร่ง ผู้ครอบครองอาจจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนกลายเป็นมารปีศาจจากเสียงร้องที่โหยหวนเหล่านี้
***1 ฉื่อ = 10 นิ้วจีน = 22.7 23.1 เซนติเมตร***
กระบี่เล่มนี้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ชั่วร้ายของนิกายซิ่วหล่อ กระบี่มารโลหิต !!
หยางไค่จ้องมองมันด้วยความรู้สึกดีใจ เพราะเขารู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้คล้ายคลึงและมีความสนิทสนมกับตัวเขา กลิ่นอายแห่งจิตวิญญานที่ชั่วร้ายคล้ายคลึงกับกลิ่นอายแห่งปีศาจของเคล็ดวิชาความอดทนที่ไร้พ่ายของเขา เพราะความคล้ายคลึงเช่นนี้ ทำให้เขาและกระบี่มารโลหิตไม่มีความห่างเหินที่มากเกินไป
สมบัติเช่นนี้ช่างวิเศษนัก มันเป็นสมบัติวิเศษในขั้นฟ้าสวรรค์ระดับสูง และยังเป็นกระบี่แห่งการฆ่า เมื่อกระบี่อยู่ในมือของเขา พลังแห่งการโจมตีจะระเบิดออกมาอย่างแข็งแกร่ง
หยางไค่วางกระบี่มารโลหิตลง เขาหยิบบุพผาโลหิตพันปีสีแดงก่ำ เมื่อมองออกไปราวกับว่าบุพผาโลหิตพันปีเต็มไปด้วยความน่าลุ่มหลิงแห่งกลิ่นอายปีศาจที่มิอาจเทียบเทียม ทุกๆกลีบของมันคล้ายคลึงกับดาบที่แหลมคม ทุกบริเวณทุกอณูของมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งปีศาจที่อันตราย
แม้มันจะถูกเศษฝุ่นเกาะมากว่า 300 ปี มันก็มิอาจที่จะทำลายกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่รุนแรงของบุพผาโลหิตพันปีนี้
มันเป็นสมบัติวิเศษในการฆ่า !! ที่ผ่านมาพรรคบุพผาโรยราคงใช้สมบัติวิเศษชิ้นนี้ในการฆ่าศัตรูที่มากมาย จนทำให้บุพผาโลหิตฟันปีมีสีแดงก่ำที่เสมือนโลหิตเช่นนี้
สมบัตวิเศษทั้ง 2 ชิ้นค่อนข้างยอดเยี่ยม ราวกับว่ามันถูกสร้างมาเพื่อตัวเขาเอง หยางไค่มองไปที่ชิ้นนี้ มองไปที่ชิ้นนั้น เขาลำบากใจในการเลือกอย่างมาก
เมื่อครุ่นคิดสักครู่ หยางไค่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาตัดสินใจที่จะหลอมละลายสมบัติวิเศษทั้ง 2 ชิ้น มันแค่สูญเสียพลังลมปราณและเวลาที่มากขึ้นก็เท่านั้น
เมื่อตัดสินใจ เขากำลังจะลงมือ ก้อนกรวดได้หล่นลงมาจากด้านบนของปากถ้ำ
หยางไค่เงยหน้ามอง มุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันรื่นรมย์ จวนถ้ำของตนเอง มีเพียงคนสองคนที่รู้ คนแรกคือซู่เหยียน อีกคนคือเซี่ยหนิงฉาง
ซู่เหยียนเพิ่งกลับไปได้ไม่นาน นางคงไม่กลับมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องเดาว่าใครกำลังเข้ามา
เป็นอย่างที่เขาคาดคิด หลังจากนั้นเซี่ยหนิงฉางบินลงมาจากหน้าผาและเข้ามายังจวนถ้ำ แต่หยางไค่ยืนขวางอยู่บนปากถ้ำ จึงทำให้ทั้งคู่เกือบจะชนกัน
หยางไค่ถอยหลัง และดึงนางเอาไว้ ทำให้นางเข้ามายังจวนถ้ำได้อย่างปลอดภัย เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวถามด้วยความอบอุ่น : ศิษย์พี่ตัวน้อย ท่านมาแล้ว !
ดวงตาของเซี่ยหนิงฉางเริ่มเอ่อล้นด้วยน้ำตา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสุขและความดีใจที่มิอาจปิดบัง แม้ว่าใบหน้าของนางจะปกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้า บนหน้าผากของนางยังคงมีอัญมณีสีน้ำเงิน เมื่อได้ยินหยางไค่กล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาและไพเราะเช่นนี้ นางกระพริบตา จนน้ำตาไหลออกมา
หลายเดือนก่อน ในขณะที่เขาเดินจากไปเขาไม่กล่าวล่ำลาแม้แต่คำเดียว แต่ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับหนึ่งให้แก่นาง !! ในตอนนี้เขากลับมา เขาก็ยังไม่กล่าวต่อนางเช่นเดิม หัวใจของเขาช่างโหดร้ายเหลือเกิน
เมื่อมองเห็นดวงตาที่แดงก่ำของนาง หยางไค่ไม่กล้าที่จะกล่าวพร่ำสิ่งใดออกไป เขากลัวว่าคำกล่าวของเขาจะทำให้ศิษย์พี่ตัวน้อยต้องร้องไห้อีกครั้ง
เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากลับมาแล้ว ? หยางไค่หันเหความสนใจของนางทันที
ซู่เหยียนบอกข้า เซี่ยหนิงฉางสูดลมหายใจเข้าไป นางพยายามอย่างสุดกำลังในการอดทนต่อความรู้สึกขมขื่นในจิตใจ นางกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา : หากนางไม่กล่าวบอกข้า ข้าจะไมมีทางรู้เลย
ข้ากำลังเตรียบมจะไปบอกท่าน หยางไค่กล่าวด้วยความรู้สึกผิด
จริงเหรอ !? เซี่ยหนิงฉางเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาประกายด้วยความดีใจ
แน่นอน หยางไค่พยักหน้าอย่างจริงจัง
ศิษย์พี่ตัวน้อยเป็นสตรีที่ง่ายต่อการปลอบโยน เพียงคำพูดสองสามคำก็สามารถทำลายความผิดหวังและความน้อยเนื้อต่ำใจของนางได้ ซึ่งเหลือเพียงความรู้สึกแห่งความสุขและความปลาบปลื้ม
ถือว่าเจ้ายังมีมโนธรรม เซี่ยหนิงฉางกล่าวด้วยความน่ารัก
ข้ายังนำของขวัญมาให้แก่เจ้า หยางไค่กล่าวอย่างจริงจัง
ไม่จำเป็น แม้จะเป็นเช่นน้ แต่เซี่ยหนิงฉางยังคงยิ้มอย่างสดใจ ดวงตาของนางยิ้มจนกลายเป็นดั่งจันทร์เสี้ยวที่งดงาม มันเต็มไปด้วยความหอมหวานและความพึงพอใจ
ของขวัญอะไร ? นางกล่าวถามด้วยความอยากรู้
หยางไค่หัวเราะ เขาลุกยืนขึ้นและเดินไปยังถุงผ้าขนาดใหญ่ เขาเปิดถุงผ้าออก ก่อนจะถือสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมาด้วย : สมุนไพรบางอย่าง !
มันมากมายเช่นนี้ !! เซี่ยหนิงตกใจ นางเดินก้าวไปข้างหน้า เพียงแค่นางกวาดสายตามอง นางก็สามารถระบุชื่อของสมุนไพรเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว
ในการบ่มเพาะพลังของเจ้า เจ้าต้องใช้สมุนไพรเหล่านี้ไม่ใช่หรือไง ดูซิว่าเจ้าต้องการสิ่งใด เจ้าก็เอาไปตามที่เจ้าต้องการ หยางไค่กล่าวด้วยความใจกว้าง ในใจของเขารู้สึกผิด ในการออกเดินทางในครั้งนี้เขาไม่คิดที่จะให้นำพาของขวัญให้แก่ซู่เหยียนและเซี่ยหนิงฉาง มันเป็นเรื่องที่น่าละอายและไม่สมควรอย่างยิ่ง
ข้าไม่ต้องใช้สมุนไพรเล่านี้ เซี่ยหนิงฉางตรวจสอบสมุนไพรเหล่านั้น นางเงยหน้าขึ้นและกล่าว : ข้าจะช่วยเจ้าปรุงกลั่นมันให้เป็นโอสถวิเศษ
มันจะเป็นภาระให้แก่ท่านเปล่าๆ สมุนไพรจำนวนมากเช่นนี้ หากเจ้าปรุงกลั่นมันให้เป็นโอสถวิเศษคงต้องใช้เวลาหลายวัน
มันไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าเลย เซี่ยหนิงฉางยิ้มอย่างอ่อนโยน : การปรุงยาของข้าก็คือการฝึกฝนวิชายุทธุ์ของข้า นอกจากนั้นมันยังมีความก้าวหน้ายิ่งกว่าการฝึกยุทธุ์ในเวลาโดยปกติทั่วไป ยิ่งข้าปรุงกลั่นสมุนไพรที่อยู่ในระดับสูงมากเท่าใด มันจะยิ่งส่งผลดีต่อตัวข้า ศิษย์น้องเจ้านำสมุนไพรที่มากมายกลับมา มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับข้า
ท่านไม่ได้โกหกข้า ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัย
ข้าไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน เซี่ยหนิงฉางกล่าวด้วยเสียงที่ล้อเลียนเล็กน้อย
อะแฮ่ม !! ข้าก็ไม่ได้โกหก หยางไค่แสดงสีหน้าที่อึดอัดใจ : เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องรบกวนศิษย์พี่ตัวน้อยอีกครั้ง
อืม เจ้าฝึกฝนวิชายุทธุ์ของเจ้าต่อไป ข้าจะปรุงกลั่นสมุนไพรเหล่านี้ให้เป็นโอสถวิเศษ เซี่ยหนิงฉางแสดงออกด้วยความดีใจ
หยางไค่จ้องมองนางสักครู่ และพบว่านางคุ้นเคยกับสมุนไพรเหล่านี้อย่างยิ่ง นางได้จำแนกแยกแต่ละชนิดของยาอย่างรวดเร็ว
หยางไค่อมยิ้มเล็กน้อย เขาเดินไปยังปากถ้ำ และเริ่มจัดการกับเรื่องของตนเอง
ภายในจวนถ้ำ เซี่ยหนิงฉางกระแอ่มเบาๆ สองมือของนางปรุงกลั่นสมุนไพรเหล่านี้อีกครั้ง นางเริ่มปรุงกลั่นสมุนไพรเหล่านี้ให้เป็นหยดวารีโอสถ จากนั้นจงค่อยๆจึงค่อยๆปรุงกลั่นให้มันเป็นเม็ดโอสถวิเศษอีกครั้ง
หยางไค่กำลังใช้พลังลมปราณในการหลอมละลายกระบี่มารโลหิตด้วยความตั้งใจ
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป โอสถวิเศษที่เซี่ยหนิงฉางปรุงกลั่นเริ่มมีจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ สมุนไพรจำนวนมากที่อยู่ในถุงผ้าเริ่มลดลง เมื่อนางปรุงกลั่นโอสถจนเหน็ดเหนื่อย นางได้หยุดพัก และจ้องมองแผ่นหลังของผู้ที่อยู่บนปากถ้ำ นางมีความสุขกับการปรุงกลั่นโอสถเหล่านี้อย่างยิ่ง
ทุกๆ วัน เซี่ยหนิงฉางต้องออกจากจวนถ้ำ 1 ครั้ง เพราะนางเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าของเม้งวู่หยา หากนางหายตัวไปดูไม่บอกกล่าว เม้งวู่หยาต้องออกตามหานาง และต้องเกิดเรื่องที่วุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน
เวลาล่วงเลยไปกว่า 5 วัน กระบี่มารโลหิตค่อยๆเชื่อมต่อกับจิตวิญญานของเขา
หยางไค่สัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งและความชั่วร้ายของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ไม่น่าแปลกที่มันเป็นสมบัติวิเศษที่อยู่ในระดับฟ้าสวรรค์ แม้มันจะเป็นกระบี่เพียงเล่มเดียว แต่มันกลับช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของหยางไค่ถึงหลายระดับขั้น
กระบี่มารโลหิต เขาได้เก็บมันเข้าไปในร่างกายและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากที่ใช้เวลาหายวันในการหลอมละลายมัน มันส่งผลกระทบต่อร่างกายของหยางไค่อย่างมาก หยดน้ำพลังลมปราณหยางที่อยู่ในจุดตันเถียนเริ่มลดน้อยลงอีกครั้ง
หยางไค่ต้องหาทางเติมเต็มหยดน้ำพลังลมปราณหยางของเขา
เขาเงยหน้ามอง ก่อนจะกางเพลิงปีกอัคคีโลกันย์ของเขาและปิดออกไป แต่ผ่านไปได้สักครู่เขาได้บินกลับมา พร้อมกับต้นหญ้าจิตวิญญานสองต้น
เมล็ดที่เขาได้ปลูกเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน เป็นเมล็ดต้นหญ้าจิตวิญญานที่เขาซื้อมาจากหล่างฉู่วเต่ ต้นหญ้าจิตวิญญานสองต้นสุกหง่อมอย่างเต็มที่ หยางไค่ยื่นต้นหญ้าจิตวิญญานให้แก่หยางไค่ เพื่อให้นางปรุงกลั่นเป็นโอสถให้แก่เขา ก่อนที่เขาจะกลืนมันลงไป ซึ่งทำให้หยดน้ำพลังลมปราณหยางของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
เมื่อมีหยดน้ำพลังลมปราณหยางที่เพียงพอ หยางไค่เริ่มหลอมละลายบุพผาโลหิตพันปีอีกครั้ง
หลายวันผ่านไป ในที่สุดบุพผาโลหิตพันปีของพรรคบุคผาโรยราได้ผสานเข้าสู่ร่างกายภายในของเขา
เขาได้รับสมบัติวิเศษสองชิ้นในครั้งเดียว ทำให้ความแข็งแกร่งของหยางไค่มีความก้าวหน้าอย่างมาก แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้พลังอำนาจของสมบัติทั้งสองชิ้นได้อย่างเต็มที่ แต่เพียงแค่เขาใช้พลังลมปราณในการหล่อเลี้ยงพวกมัน สักวันหนึ่งมันต้องแสดงพลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของมันออกมาอย่างแน่นอน
สมุนไพรที่เขานำกลับมาถึงเซี่ยหนิงฉางปรุงกลั่นจนกลายเป็นโอสถวเศษทั้งหมด โอสถชนิดต่างๆ ถูกบรรจุในขวดยาหลายสิบขวด
โอสพที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดคือโอสพขั้นปฐพี แต่มันยังมีโอสถในระดับฟ้าสวรรค์ที่มีค่ามากมายมหาศาล
โอสถเหล่านี้ล้วนเป็นโอสถที่สามารถกลืนกินได้ หากว่าหยางไค่ได้กลืนกินมันทั้งหมด เขาคาดเดาว่าเขตแดนของเขาต้องมีความก้าวหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่ามันมีจำนวนที่มากเกินไป หากกลืนกินมันเข้าไปในครั้งเดียว ต้องใช้เวลาในการหลอมละลายอย่างมาก
ดังนั้นหยางไค่จึงไม่คิดที่จะกลืนกินมันในตอนนี้
หลังจากที่กลับมายังสำนักเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน เขาต้องออกไปสำรวจสถานการณ์รอบๆสำนักว่าเป็นเช่นไร ตระกูลที่มีอำนาจทั้ง 3 ต่างพำพักอยู่ในสำนักหลิงเซี่ย คุณชายของตระกูลทั้ง 3 กำลังคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับซู่เหยียน หยางไค่จะนั่งเฉยโดยไม่สนใจได้อย่างไร
เพราะนางเป็นสตรีของเขา !!