ตอนที่ 203 กลับสู่สำนักหลิงเซี่ยว
ตอนที่ 203 กลับสู่สำนักหลิงเซี่ยว
ในตอนนี้ซู่เหยียนเปรียบดั่งอัญมณีสีขาวบริสุทธุ์ที่ล้ำค่า กลิ่นอายของนางถูกชะล้างจนขาวสะอาดบริสุทธุ์ไร้ฐิติ ไม่ว่าใครที่จ้องมองนางคนผู้นั้นจะก่อเกิดความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตนและความรู้สึกละอายใจโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าที่มีเสน่ห์และงดงาม ผิวขาวเนียนละเอียดดุจหิมะ ราวกับนางเซียนที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ ร่างกายทุกส่วนของนางเปล่งประกายกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความสูงส่งที่มิอาจพรรณนาได้
แม้ว่านางจะเคยเป็นของเขา แม้ว่าเขาจะเคยล่วงเกินร่างกายอันสง่าของนาง แต่เมื่อพวกเขาได้พบเจอในครั้งนี้ หยางไค่รู้สึกว่าเขากำลังอยู่ในความฝันที่ไม่เป็นความจริง
มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความสง่างามและปราณจิตเย็นที่บริสุทธุ์ของซู่เหยียนไม่ส่งผลกระทบต่อหยางไค่แม้แต่น้อย
ความรู้สึกแห่งความไคร่ความที่หยางไค่ยับยั้งเป็นเวลานาน ได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง หยางไค่เดินเข้าไป 2 ก้าว เขาสวมกอดไปที่เอวอันบอบบางของนางอย่างไม่เกรงใจ และกำลังจะก้มหน้าประทับรอยจูบที่โหยหาเป็นเวลานาน
แต่ซู่เหยียนเอื้อมมือปิดกั้นเขาเอาไว้และกระซิบเบาๆ : ไปด้านล่างดีกว่า !!
ทันทีที่กล่าวจบ หยางไค่กระโดดลงสู่เบื้องล่างของคุกคุมขังมังกรโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเพลิงปีกอัคคีโลกันย์ของหยางไค่กางออก เขาบินเข้าไปยังจวนถ้ำอันสงบเงียบของเขาในทันที
ดวงตาที่งดงามของซู่เหยียนกระพริบไปมา นางจ้องมองไปยังปีกอันสง่างามของหยางไค่ด้วยความตื่นตะลึง
เมื่อเข้าสู่จวนถ้ำ หยางไค่เก็บเพลิงปีกอัคคีโลกันย์ เขาโยนถุงผ้าลงบนพื้น หยางไค่กอดรัดเอวของซู่เหยียน มุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความหมายอย่างลึกซึ้ง เขาก้าวถอยหลังและค่อยๆดึงนางไปยังทิศทางของเตียงหินอย่างรวดเร็ว
หัวใจของซู่เหยียนราวกับลูกกวางน้อยที่วิ่งไปมาอย่างไม่หยุดนิ่ง แม้จะผ่านเรื่องราวเช่นนี้ถึง 2 ครั้ง แต่เมื่อหวนคิดกลับไปมาทำให้นางรู้สึกละอายใจและอับอายอย่างยิ่ง นางทนต่อความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้นางจึงซบหน้าลงไปยังอ้อมกอดของหยางไค่
เมื่อมาถึงด้านขวาของเตียงหิน หยางไค่ค่อยๆวางนางลงไป
ซู่เหยียนเงยหน้ามองหยางไค่ด้วยความอาจหาญ ทำให้ใบหน้าของนางแดงก่ำ
หยางไค่โน้มตัวลงจูบซู่เหยียนอย่างดูดดื่ม ลมหายใจของพวกเขาเริ่มหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งขึ้น ร่างกายของคนผู้หนึ่งร้อนเร่าดั่งเปลวเพลิง ร่างกายของคนผู้หนึ่งเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็ง ร่างกายทั้งสองต่างโหยหาความปรารถนาซึ่งกันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงการเคลื่อนไหวเบาๆดังขึ้น หยางไค่พยายามปราบปรามอารมณ์ความปรารถนาที่บ้าคลั่งของเขา เขาค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อของซู๋เหยียน เผยให้ร่างกายที่ปราณีตและทรวงอกปถุมทันที่งดงามของซู่เหยียนอย่างช้าๆ
เสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสองปลิวว่อน ผมเผ้าเริ่มยุ่งเหยิง หยางไค่พลิกตัวและกดทับร่างกายของซู่เหยียนในทันที
ในค่ำคืนที่ฝนพร่ำ ซู่เหยียนหอบหายใจระรัว ร่างกายของนางอ่อนล้าดั่งดินโคลนที่อ่อนนุ่ม แต่หยางไค่กลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับนักรบที่ถือหอกเข้าสู่สนามรบอย่างกล้าหาญ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพละกำลังที่ไม่สิ้นสุด จิตวิญญาณของเขาตื่นตัวอยู่เสมอ เขาปะทะกับร่างกายของนางซ้ำไปซ้ำมาอย่างบ้าคลั่ง
ซู่เหยียนต้องเคลื่อนไหวปราณจิตเย็น เพื่อระงับความอับอายในจิตใจ ในเวลานี้ร่างกายที่ขาวดั่งหิมะของนางได้กลายเป็นสีแดงระเรื่อๆ ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง เหงื่อที่หอมตลบอบอวลไหลออกมาอย่างไม่หยุด ก่อให้เกิดเป็นกลิ่นกายที่น่าหลงใหลอย่างมิอาจควบคุมได้
นี่ ทำเช่นนี้ได้ไหม ? ซู่เหยียนกัดฟัน นางปราบปรามความละอายใจของนาง และทำตามความต้องการของหยางไค่อย่างเชื่อฟัง นางทำท่าทางที่หยางไค่ต้องการบนเตียงหินด้วยความอับอายอย่างยิ่ง
ดีมาก !! หยางไค่พยักหน้าอย่างดุเดือด ร่างกายที่หยาบกร้านของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
ในค่ำคืนแรกที่หยางไค่กลับมาถึงหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ย หยางไค่และซู่เหยียนระเบิดอารมณ์ความปราถนาที่โหยหาของตนเองตลอดทั้งคืน
หยางไค่หวนคิดถึงภาพจิตรกรรมที่แขวนอยู่หอนางโลมเชียนจิง หลังจากนั้นเขาค่อยๆ ปฏิบัติตามท่าร่วมรักเหล่านั้น เขาค่อยๆลองมันไปที่ละท่วงท่าอย่างต่อเนื่อง โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างและปล่อยกายและใจไปตามอารมณ์
ในทีแรกเขาอาจจะยังไม่ชำนาญ แต่ผ่านไปได้สักพัก ท่วงท่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดสำหรับเขา ความหวานแห่งการเคลื่อนไหวที่หนักหน่วงพุ่งทะยานเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง ท่วงท่าเหล่านี้น่าหลงใหล และให้ความรู้สึกที่อิ่มอกอิ่มใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ซู่เหยียนไม่เคยทราบว่าการสอดประสานรวมเป็นหนึ่งระหว่างสตรีและบุรุษยังมีท่วงท่าที่มากมายหลากหลายเช่นนี้ ท่วงท่าที่หลากหลายและไม่ซ้ำกัน ราวกับทักษะการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์จำนวนมากมาย ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยรูปแบบและความรู้สึกที่ลึกลับและหอมหวานอย่างไม่สิ้นสุด ทุกครั้งที่หยางไค่เปลี่ยนแปลงท่วงท่าในการสอดประสานมันให้ความรู้สึกที่น่าทึ่งและทำให้นางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
แต่เพราะท่วงท่าที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างไม่ซ้ำกัน ทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง
แต่เมื่อหยางไค่ปฏิบัติท่วงท่าแห่งการสอดประสานและเปลี่ยนแปลงท่วงท่าไปมาหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็พบว่าเขาชื่นชอบท่วงท่าที่เขาและซู่เหยียนพบเจอในขณะกำลังร่วมรักอยู่ในถ้ำสวรรค์แห่งนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
นั้นคือให้ซู่เหยียนหันไปข้างหน้า โดยที่แผ่นหลังที่ขาวนวลเนียนของนางอยู่ตรงหน้าของตนเอง
เพราะในท่วงท่านี้ เขามองเห็นตราประทับหงสาเมฆาเยือกเย็นที่ราวกับมันมีชีวิตและกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นหลังที่ขาวดั่งหิมะของซู่เหยียน
เมื่อมองไปยังตราประทับนี้ เขายังมองแห่งแผ่นหลังที่สง่างามเอวที่เรียวเล็กและสะโพกที่โค้งมน มันให้ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและแรงกระตุ้นแห่งความปรารถนาอย่างน่าอัศจรรย์
เขารู้ดี ในเมื่อแผ่นหลังของซู่เหยียนมีตราประทับนี้ แผ่นหลังของเขาก็ต้องมีตราประทับแห่งมังกรเพลิงเช่นเดียวกัน มันเป็นมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ที่พวกเขาทั้งสองได้รับจากถ้ำสวรรค์
หลังจากที่ทั้งสองร่วมรักกันในท่วงท่านี้ พวกเขาจึงเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง
ร่างกายของพวกเขาทั้งสองสอดประสานรวมเป็นหนึ่งอย่างแนบแน่น พวกเขาหมุนเวียนเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง เป็นเวลากว่า 1 วัน ไม่ว่าจะเป็นหยางไค่หรือซู่เหยียน ต่างรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของตนเองมีความก้าวหน้า แม้มันจะก้าวหน้าไม่มาก แต่ประโยชน์ที่พวกเขาได้รับ คือพลังลมปราณภายในร่างกายบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึงทำให้พลังลมปราณของพวกเขาถ่ายทอดให้แก่กัน มันยังมีความเติบโตก้าวหน้า เมื่อเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่งมีการเติบโตและก้าวหน้า ความบริสุทธุ์ของพลังลมปราณจะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
หลังจากที่เสร็จสิ้นการฝึกฝนเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง หยางไค่ไม่สามารถปราบปรามความต้องการที่น่าหลงใหล เขาได้รุกล้ำซู่เหยียนอีกรอบ .
ซู่เหยียนสวมใส่เสื้อผ้าให้แก่หยางไค่อย่างอ่อนโยน ดวงที่งดงามของนางเผยให้ความพึงพอใจ ในเวลานี้นางค่อนข้างหวาดกลัวหยางไค่ หยางไค่ในตอนนี้เปรียบดั่งอาวุธแห่งการต่อสู้ที่ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย มันดุดันและพุ่งกระแทกเข้ามาอย่างหนักหน่วง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำให้นางอ่อนล้าไร้ซึ่งกำลังที่จะต่อต้าน
หากว่านางยังไม่สวมใส่เสื้อผ้าของหยางไค่ให้เรียบร้อย นางกลัวว่านางคงไม่อาจหนีรอดไปจากกรงเล็บอันแข็งแกร่งของหยางไค่
เมื่อทั้งสองสวมใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อย ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงและโอบกอดซึ่งกันและกัน
พวกเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวคำว่ารักออกมา แต่พวกเขาต่างสัมผัสและรู้สึกที่ความรักที่อยู่ในหัวใจของกันและกัน
ใช่แล้ว การคาดเดาของเจ้าเกิดขึ้นจริง !! ซู่เหยียนที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของหยางไค่กล่าวอย่างฉับพลัน
การคาดเดาในเรื่องใด ? หยางไค่กล่าวถามขณะที่ใช้นิ้วมือของเขาแหย่เล่นกับเส้นผมของนาง เพื่อสมผัสกับความเงียบสงบหลังจากที่พายุฝนผ่านไป
หลายเดือนก่อน เจ้าเคยกล่าวไว้ว่า การปรากฏตัวของถ้ำสวรรค์ จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ?
มีคนภายนอกเข้ามา ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัย
ใช่ สำนักทั้ง 8 ในเมืองหลวงยังไม่มีสำนักไหนส่งคนเข้ามา แต่สำนักหรือนิกายอื่นๆ ที่มีได้รับข่าวการปรากฏตัวของถ้ำสวรรค์ ต่างส่งยอดฝีมือออกมาเป็นจำนวนไม่น้อย ในเวลานี้พวกเขากำลังรวบรวมศิษย์สาวกที่เคยเข้าไปยังถ้ำสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สาวกแห่งสำนักหลิงเซี่ย นิกายโลหิตและหอวายุพิรุณ หลายวันที่ผ่านไป ศิษย์สาวกต่างถูกเรียกตัวไปเป็นจำนวนมาก
คนที่มายังสำนักหยุนเซี่ยเป็นใคร ? หยางไค่กล่าวถาม ความสงสัยได้ก่อเกิดขึ้นในหัวใจ ไม่น่าแปลกในขณะที่เขากลับมายังสำนัก เขาจึงรู้สึกว่ามีจิตวิญญาณของผู้ที่อยู๋ในเขตแดนเทพสวรรค์พุ่งผ่านร่างกายของเขาเป็นจำนวนมาก ที่แท้เป็นยอดฝีมือของสำนักที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่นั้นเอง
ตระกูลต่งแห่งเมืองซวนโจว ตระกูลไป๋แห่งเมืองหยุนโจว หุบเขาจื่อเหว่ย สำนักที่มีอำนาจทั้ง 3 สำนักแห่งเมืองฉวนโจว และยังมีสำนัก นิกาย พรรคต่างที่มีอำนาจต่างหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านวู่เหมยเป็นจำนวนมาก
ตระกูลต่ง ? จิตใจของหยางไค่สั่นไหวเล็กน้อย
พวกเขาเปิดข้อแลกเปลี่ยนเช่นไร ? หยางไค่กล่าวถาม ซู่เหยียนเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดใน 3 สำนัก นางเป็นผู้ต้องสงสัยที่สมควรจะได้รับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์มากที่สุด สำนักที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ต้องเรียกต้องการตัวนางอย่างแน่นอน ดังนั้นข้อเสนอที่พวกเขามอบให้คงไม่น้อยอย่างแน่นอน
ภายใน 2 ปี พวกเขารับประกันว่าข้าจะบรรลุไปยังเขตแดนเทพสวรรค์ พวกเขาจะมอบโอสถวิเศษหรือสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ที่พวกเขาครอบครองให้แก่ข้าตามความต้องการ สถานะของข้าเทียบเท่าผู้อาวุโสในสำนักหยุนเซี่ย !!
การแลกเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่!! หยางไค่หัวเราะเบา : แล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการ ?
ข้าต้องแต่งงานกับพวกเขา !
เป็นเช่นนี้ .?
ข้าไม่มีวันยอมตกลง ซู่เหยียนซุกเข้าไปในอ้อมกอดของหยางไค่ : แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยว่าข้าจะได้รับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ แต่พวกเขาไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทำสิ่งที่ล่วงเกินข้า แต่ว่าหลายวันที่ผ่านมาพวกเขาอาศัยอยู่ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวเสมอมา
บุตรชายของตระกูลทั้ง 3 ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ต่างมารวมตัวอยู่ที่นี้ ? หยางไค่หัวเราะอย่างเย็นชา ต้องการสตรีที่งดงาม พวกเขาจึงต้องให้เด็กหนุ่มอายุน้อยออกหน้า เพื่อเอาชนะหัวใจของนาง แต่คนเหล่านี้คงตัดสินใจผิดพลาด ซู่เหยียนเป็นคนของนางตั้งแต่แรก และยังมีความสัมพันธุ์ที่มิอาจตัดขาดกันได้ แม้ไม่มีความสัมพันธุ์ที่พันธนาการนางเอาไว้ จากนิสัยของซู่เหยียนนางก็ไม่มีทางที่จะตกลงปลงใจอย่างแน่นอน
ปราณจิตเย็น ไม่มีสิ่งใดที่สามารถรบกวนจิตใจของนางได้ แล้วสิ่งที่ไร้ประโยนชน์ที่พวกเขาเสนอมาให้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของนางได้อย่างไร ?
อืม ซู่เหยียนพยักหน้า นางมือยื่นจับแก้มของหยางไค่ : เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้ามีแค่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น !
ข้าไม่เคยกังวล หยางไค่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข : หากพวกเขากล้าที่จะทำร้ายเจ้า ข้าจะตัดมือของพวกมันซะ !
หบังจากที่เงียบเป็นเวลานาน หยางไค่ขมวดคิ้วและกล่าว : แม้กระนั้นมันก็ทำให้ข้าหงุดหงินใจ พวกคนบัดซบ ! กล้าที่จะล่วงเกินสตรีที่ดงามของข้า !!
ซู่เหยียนยิ้มออกมาด้วยความสุข จิตใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อ่อนหวาน
แม้ว่านางจะเป็นคนที่ไม่ขวนขวายหาสิ่งใด แต่เมื่อเห็นหยางไค่หึงหวงนางเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกมีความสุขเล็กๆ
เมื่อฟ้าสวรรค์ ซู่เหยียนได้แยกออกจากเขา
หยางไค่เริ่มตรวจสอบสิ่งที่เขาสะสมและนำกลับมา ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังจวนถ้ำของเขา เขาสังเกตว่าจวนถ้ำของเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น้อย
เมื่อตอนที่เขาเดินจากไป จวนถ้ำแห่งนี้เป็นเพียงถ้ำที่เยือกเย็นและมืดมิดเท่านั้น แต่ในตอนนี้ จวนถ้ำแห่งนี้ราวกับเป็นจวนใหม่ของเขา ไม่เพียงมีโต๊ะเก้าอี้ ยังมีกระถางดอกไม้จำนวนมาก บนกำแพงยังแขวนตัวอักษรภาพวาดเป็นจำนวนมาก ทุกพื้นที่ต่างเต็มไปด้วยของตกแต่งจำนวนมาก
แม้แต่บนเตียงหิน ยังมีผ้านวมที่อบอุ่น เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาคอยแต่หมกมุ่นกับซู่เหยียนจึงไม่ได้สังเกตุเห็น
สิ่งเหล่านี้ ..น่าจะเป็นสิ่งที่เซี่ยหนิงฉางและซู่เหยียนทำให้เขา
การเปลี่ยนแปลงของจวนถ้ำนับว่าไม่เลว
เมื่อเดินออกไปประตูถ้ำ โสมปีศาจหยินหยางกำลังแสดงสีหน้าที่โศกเศร้า ราวกับว่าเขาถูกกักขังอยู่ในคุกที่แสนจะโดดเดี่ยว ทำให้มันเกรี้ยวโกรธอย่างมาก
ในค่ำคืนที่หยางไค่กลับมา โสมปีศาจหยินหยางได้กล่าวต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น แต่เขาไม่ตอบกลับมัน ทำให้มันแสดงสีหน้าที่หดหู่ใจเช่นนี้
โสมปีศาจหยินหยางได้รับการดูแลอย่างดี ในบริเวณนี้เต็มไปด้วยพลังหยางที่เข้มข้น เพียงแค่ซู่เหยียนถ่ายทอดพลังลมปราณให้แก่มันก็เพียงพอแล้ว
หยางไค่ยิ้มด้วยความสุขใจ เขาก้มตัวลงและให้ถ่ายทอดหยดน้ำพลังลมปราณหยางให้แก่มันสองหยด ทำให้โสมปีศาจหยินหยางเริงร่าขึ้นมาในทันที
ในขณะเขานั่งลงข้างโสมปีศาจ ความคิดอ่านทางจิตวิญญานของเขาเคลื่อนไหว ตำราสีดำได้ปรากฏในมือของเขาอีกครั้ง
หลายวันที่ผ่านไป ทุกครั้งที่เขาบรรลุเขตแดนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนขนาดใหญ่หรือเขตแดนขนาดเล็ก หยางไค่จะตรวจสอบตำราสีได้ที่ไร้ซึ่งอักขระตลอดเวลา เพื่อหวังว่าตนเองจะได้พบกับความลับใหม่ที่ซ่อนอยู่ในตำราสีดำเล่มนี้
แต่ทุกครั้งที่เขาตรวจสอบ ความหวังของเขาได้ถูกทำลายไปทุกๆครั้ง และเมื่อมันเป็นเช่นนี้ มันจึงทำให้ความกระตือรือร้นแห่งความหวังลดน้อยลง
ตำราสีดำให้ความช่วยเหลือแก่เขาอย่างมากมาย แม้ว่าหลังจากนี้เขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเพิ่มเติมจากตำราสีดำ หยางไค่ก็เชื่อมั่นว่าเขาจะเติบโตก้าวหน้าและแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนี้ ทำให้อารมณ์ที่หงุดหงิดของเขาผ่อนคลายลง การฝึกฝนด้วยตนเองย่อมดีกว่าการขอร้องอ้อนวอนผู้อื่น ตำราสีดำให้สิ่งมหัศจรรย์ที่มากแก่เขา หากตนเองไม่ตั้งใจและขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาต้องเสียเปล่าอย่างแน่นอน
ในครั้งนี้เขาตรวจสอบมันด้วยความเคยชิน หยางไค่ไม่หวังว่าตนเองจะได้รับสิ่งวิเศษอีกครั้ง เขาพลิกไปยังหน้าที่ 5 ของตำราสีดำ ก่อนจะถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปยังตำราสีดำ
ในครั้งนี้มันแตกต่างกับความพยายามในครั้งก่อนๆที่ผ่านมา ในครั้งนี้ตำราสีดำกลับมีปฏิกิริยาตอบสนอง
หืม ? สีหน้าของหยางไค่แสดงออกด้วยความตื่นตะลึง เขาจ้องมองมันด้วยสายตาที่เบิกโพลงแต่ก็ยังถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปอย่างไม่หยุด
ชั้นระลอกๆ ของคลื่นแสงแผ่กระจายไปทั่ว แสงประกายสีทองเปล่งออกมาจากตำราสีดำ แต่ในครั้งมันไม่เหมือนที่ผ่านมา แสงสีทองไม่ได้พุ่งออกมาจากตำราสีดำ แต่มันเชื่อมต่อกับเป็นรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับค่ายกลที่ซับซ้อน
หลังจากนั้นไม่นาน อักขระสีทองได้ปรากฏขึ้น
หุบเขาโอสถราชันย์ ทะเลสาปโอสถหมื่นปี !!
หลังจากนั้น อักขระเหล่านี้ได้จางหายไป แสงสีทองจากตำราสีดำค่อยๆ จางหายไปเช่นเดียวกัน
หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น ในครั้งนี้แตกต่างกับครั้งก่อนๆ ตำราสีดำไม่ได้ให้สมบัติล้ำค่าแก่เขา แต่มันให้ชื่อสถานที่แห่งหนึ่งแก่เขา