ตอนที่ 183 จิตใจแห่งอสรพิษ
ตอนที่ 183 จิตใจแห่งอสรพิษ
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าการค้นพบเกาะซ่อนเร้นจะทำให้ชื่อเสียงของสำนักหยุนเซี่ยดังก้องไปทั่วอาณาจักร แต่ไม่คิดว่าในตอนนี้เรือมังกรขนาดใหญ่ได้ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าผู้รอดชีวิตจะได้รับสมบัติวิเศษจากเกาะซ่อนเร้นแห่งนี้ แล้วพวกเขาจะกลับไปบังเกาะหยุนเซี่ยอย่างไรเพราะเรือมังกรได้ถูกทำทลายไปแล้ว ?
เมื่อไร้ซึ่งเรือขนาดใหญ่ที่มั่นคง แม้แต่ยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนเทพสวรรค์ ก็อย่าหวังว่าจะสามารถกลับไปยังเกาะหยุนเซี่ยที่มีระยะห่างหลายพันหลายหมื่นลี้จากเกาะซ่อนเร้นแห่งนี้ไปได้
จิตใจของศิษย์สาวกทั้ง 3 แห่งสำนักหยุนเซี่ยก่อกำเนิดความรู้สึกที่เศร้าโศกเสียใจ พวกเขาทั้ง 3 ล้วนเป็นศิษย์รุ่นใหม่ พวกเขาไม่เคยประสบกับภัยพิบัติที่ทุกข์ทรมาณเช่นนี้
ในวันนี้พวกเขาถูกสัตว์อสูรใต้ท้องทะเลโจมตี พวกเขามองเห็นผู้อาวุโสและศิษย์สาวกในสำนักตายไปกับตา ชีวิตของมนุษย์เปรียบดั่งมดตัวน้อยที่อ่อนแอ หากว่าพวกเขาไม่โชคดี พวกเขาคงกลายเป็นอาหารของสัตว์อสูรดั่งเช่นคนอื่นๆ แม้จะโชคดีที่สามารถหนีเอาชีวิตรอดออกมา แต่ในตอนนี้กลับถูกขังอยู่ในเกาะซ่อนเร้นที่โดดเดี่ยว ไร้ซึ่งหนทางในการกลับไปอย่างถิ่นกำเนิดเดิม จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกเศร้าโศก
ศิษย์พี่ชิงไม่ต้องกลัว ข้าจะหาหนทางในการพาพวกพวกเจ้ากลับไปให้ได้ ! เมียวหลิงกล่าวคำพูดที่เกี่ยวพ้อสตรี แม้ว่าภายในจิตใจของเขาจะตื่นตระหนก
แต่ในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความเศร้าโศกมันเป็นเวลาที่เหมาะสมในการแสดงความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง โดยกล่าวปลอบโยนทุกคนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ยู่เอ้วชิงอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ตอนแรก เมื่อได้ยินเมียวหลิงกล่าวโอ้อวด นางจะจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและแสดงสีหน้าที่เมินเฉย : เจ้ามีความสามารถอะไรที่จะพาข้าออกจากที่นี้? เจ้าสามารถสร้างเรือขนาดใหญ่ที่สามารถต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูรหรือไง ?
ไม่สามารถ เมื่อเมียวหลิงถูกกล่าวถาม สีหน้าของเขาจึงแสดงออกมาด้วยความอึดอัดใจ
แล้วเจ้าสามารถบินผ่านระยะทางหลายพันหลายหมื่นลี้ที่ยาวไกลนี้ไหม? ยู่เอ้าชิงกล่าวถามอย่างบีบบังคับอีกครั้ง
ไม่ ..สามารถ
ถ้าเจ้าไม่สามารถก็หุบปากของเจ้าซะ !! ความโกรธเคืองที่ยู่เอ้าชิงกดทับมันเอาไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ระเบิดออกมาทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะพวกเขากำลังตกอยู่ในความลำบากในเกาะซ่อนเร้นแห่งนี้ นางคงจะลงมือโจมตีเมียวหลิงตั้งแต่แรก
จางยู่วที่อยู่ตรงนั้รีบตัดบทการสนทนานของพวกเขาอย่างรวดเร็ว : ศิษย์พี่ชิงอย่าเกรี้ยวโฏรธไปเลย เมียวหลิงเพียงแค่พยายามจะปลอบโยนพวกเรา
ฮึ่ม !! ยู่เอ้าชิงสะบัดผมของนางละหันหน้าเดินไปยังชายหาด ระหว่างที่นางเดินไปนางได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน : ไร้ซึ่งความสามารถยังจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือหญิงงาม ไม่เจียมตัว !
จางยู่วรีบวิ่งตามไปอย่างกระชั้นชิด
เมียวหลิงมีเจตนาดีที่จะปลอบโยนนาง แต่กลับถูกตอกกลับด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันและดูหมิ่นทำให้สีหน้าของเขาบูดเบี้ยวด้วยความอับอาย เขากล่าวสบทพึมพำอย่างแผ่วเบา สายตาประกายด้วยความโกรธแค้น เขาหันหน้าจ้องมองหยางไค่ รังสีอำมหิตแห่งความต้องการฆ่าพุ่งพรวดออกมา ดูเหมือนเขาต้องการระบายอารมณ์แห่งความเกรี้ยวโกรธไปยังรางกายของหยางไค่
พาเขาไปกับพวกเรา! คำสั่งที่เย็นชาของยู่เอ้าชิงดังแว่วมาจากด้านหน้า
เมียวหลิงรีบตอบรับ และจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่เกลียดชัง ก่อนจะผลักหยางไค่ให้เดินตามพวกนางไป
พวกเขาทั้ง 4 เดินไปยังทิศทางหนึ่งของชายหาด แม้ว่ายู่เอ้าชิงไม่ได้กล่าวว่านางกำลังจะทำอะไร แต่หยางไค่ทราบดีว่านางกำลังมองหาศิษย์สาวกที่กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณเกาะซ่อนเร้นจากการหลบหนีจากการโจมตีของสัตว์อสูร
นี้คือวิธีการที่ถูกต้องในช่วงเวลาที่วิกฤติเช่นนี้ ในตอนนี้พวกเขาอยู่ตามลำพังโดยไร้ซึ่งการปกป้องจากผู้อาวุโส ดังนั้นพวกเขาจึงต้องค้นหาศิษย์สาวกคนอื่นๆ เพือรวมตัวกับพวกเขา
แต่หลังจากที่พวกเขาเดินค้นหาบนชายหาดตลอดทั้งวัน พวกเขาค้นพบผู้รอดชีวิตเพียง 4 คนเท่านั้น 2 ใน 4 คนเป็นศิษย์สาวกแห่งสำนักหยุนเซี่ย และ 2 คนที่เหลือเป็นคนสามัญทั่วไป และไม่รู้ว่าคนอื่นๆกระจัดกระจายไปยังแห่งหนใด
ในตอนนี้พวกเขามีทั้งหมด 8 คน แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาไมได้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด เพราะศิษย์สาวกทั้ง 5 แห่งสำนักหยุนเซี่ยล้วนเป็นศิษย์รุ่นใหม่ทั้งหมด
ศิษย์สาวก 2 คนที่พวกเขาพบเจอเป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง ชายมีชื่อว่า จี่หยวน หญิงมีชื่อว่าหล่อเชียงเชียง ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองไม่สูงมาก น่าจะอยู๋ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียนหรือเขตแดนผสานลมปราณแรกเริ่มเท่านั้น
เมื่อไม่พบผู้อาวุโสคนอื่นๆ จิตใจของยู่เอ้าชิงเริ่มตื่นตระหนกและวุ่นวายอย่างยิ่ง ในศิษย์สาวกทั้ง 5 แห่งสำนักหยุนเซี่ยเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดโดยอยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 6 ศิษย์สาวกที่เหลือต่างอ่อนแอกว่านางทั้งสิ้น นอกจากนั้นในสำนักหยุนเซี่ยนางยังมีฐานะที่สู่ง ศิษย์สาวกทั้ง 4 จึงค่อนข้างเคารพนางและให้นางเป็นผู้นำของพวกเขาในเวลานี้ พวกเขาทั้งหมดต่างคาดหวังว่านางจะสามารถค้นพบหนทางอันสว่างที่จะนำพาพวกเขาออกไป ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาระแห่งความกดดันที่กดทับมายังจิตใจของนางไปได้
ในยามค่ำคืน คนสามัญทั่วไปถูกศิษย์สาวกแห่งสำนักหยุนเซี่ยสั่งการให้ไปเก็บฟื้น พวกขได้ก่อกองไฟอยู่บนชายทะเล และพวกเขากำลังชุมนุนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
บางคนเสนอให้พวกเขาค้นหาผู้อาวุโส และมีคนอื่นๆเสนอให้พวกเขารออยู่ที่นี้จนกว่าจะพบเจอกับคนอื่นๆ
ในท้ายที่สุดยู่เอ้าชิงจึงกล่าวออกมา : ในเมื่อมาถึงเกาะซ่อนเร้น พวกเราไม่ควรละทิ้งโอกาสในครั้งนี้ พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางเข้าสู๋เกาะซ่อนเร้นเพื่อสำราวจเกาะซ่อนเร้น ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะพบกับท่านอาจารย์ทั้งสอง แม้ว่าจะไม่พบเจอ หากว่าพวกเรามีโอกาสและโชคชะตาที่หนำหนุน พวกเขาอาจจะสามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และกลับไปถึงเกาะหยุนเซี่ยโดยสวัสดิภาพ
ทุกคนต่างรู้สึกว่าคำกล่าวของยู่เอ้าชิงสมเหตุสมผลมากที่สุด นอกจากนั้นในเกาะซ่อนเร้นอยังซุกซ่อนสมบัติวิเศษ สิ่งของล้ำค่า และโชคชะตาอันวิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขายอมรับในข้อเสนอนี้
หยางไค่อยู่รอจนกระทั่งพวกเขาปรึกษาหารือจนเสร็จสิ้น เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าเวทนา : ยอดฝีมือทั้ง 3 เมื่อพวกท่านเดินทางเข้าสู่เกาะซ่อนเร้น พวกท่านไม่นำพาพวกเราทั้ง 3 เข้าไปได้หรือไม่ ? พวกเราเป็นชาวประมงที่อาศัยอยู่ในริมทะเล หากพบเจอกับภัยอันตรายภายในเกาะซ่อนเร้นพวกเราไม่สามารถต่อสู้รับมือเช่นพวกท่าได้ พวกเราจะกลายเป็นภาระของพวกท่าน ..
คนสามัญทั้ง 2 ต่างมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัยหยางไค่ แต่พวกเขาไม่มีความกล้าเฉกเช่นหยางไค่ที่จะกล่าวความต้องการของพวกเขาออกมา เมื่อได้ยินดังนี้ พวกเขาต่างจ้องมองไปยังยู่เอ้าชิงเพื่อด้วยความหวังอย่างเงียบๆ
พวกเขาทราบดี อำนาจใจการตัดสินอยู่ในมือของนาง
จางยู่วขมวดคิ้ว นางพยักหน้าและกล่าว : อืม พาพวกเจ้าเข้าไปคงจะเป็นภาระและความยุ่งยากให้แก่พวกเรา
เดิมทีนางคิดว่ายูเอ้าชิงยินยอมที่จะปล่อยให้คนสามัญทั้ง 3 อยู่ที่นี้ต่อไป แต่ไม่คิดว่ายู่เอ้าชิงจะส่ายหัวอย่างช้าๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม : คนของสำนักหยุนเซี่ยเป็นคนนำพาพวกเจ้าเข้ามา การทิ้งพวกเจ้าไว้ที่นี้ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะพบเจอกับภัยอันตราย ติดตามพวกเราไปเป็นหนทางที่ดีที่สุด ไม่แน่ว่าพวกเจ้ายังมีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดกลับไป
สารเลว !! หยางไค่กล่าวสาปแช่งอยู่ในใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ายู่เอ้าชิงกำลังวางแผนไร ? หน้าตาที่งดงามของนาง แต่มีใจคอโหดเหี้ยมไร้ความปราณี คงไม่มีเจตนาดีต่อพวกเขาอย่างแน่นอน
แม้ว่าในจิตใจของเขาจะคิดเช่นนี้ แต่ปากของเขายังคงกล่าวขอบคุณต่อเจตนาที่ดี
เป็นเช่นนี้ก็ดี เพราะหยางไค่ไม่คุ้นชินและไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเกาะหยุนเซี่ย การติดตามพวกเขาเข้าไปสำรวจสถานการณ์ที่อยู่ภายในก็มิใช่เรื่องที่เสียหาย
เพราะหากพบเจอกับอันตราย เขาจะได้หาลู่ทางในการหลบหนีออกไป
ในยามค่ำคืน ศิษย์สาวกทั้ง 5 ต่างเฝ้ามองท้องฟ้าที่มืดมัวโดยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
วันรุ่งขึ้น พวกเขาทั้ง 8 เดินทางเข้าไปยังเกาะซ่อนเร้นเพื่อสำรวจสิ่งต่างที่อยู่ภายในทันที
เมื่อเข้าสู่เกาะซ่อนเร้น ยู่เอ้าชิงเผยตัวตนที่แท้จริงของนาง นางสั่งการให้คนสามัญทั่วไปคนหนึ่งเดินอยู่หน้าสุด ส่วนคนที่เหลือเดินตามหลังไป
แม้ว่าคนสามัญคนนี้จะหวาดกลัวอย่างสุดขีด แต่ภายใต้การบังคัญของยู่เอ้าชิงเขาต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก
ในตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจว่าทำไมยู่เอ้าชิงยืนยันที่จะนำคนธรรมาสามัญเหล่านี้เข้ามาด้วย เพราะนางต้องการใช้พวกเขาเป็นผู้เบิกทางในเกาะซ่อนเร้นแห่งนี้
พวกเขาเดินทางอย่างยาวนาน ยิ่งเดินยิ่งลึก รอบบริเวณถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เก่าแก่ที่เติบโตอย่างเด่นตระหง่าน เสียงสายลมพัดโชยเข้ากับกิ่งไม้ต้นไม้ที่อยู่รอบข้างก่อกำเนิดเสียงดังที่ทำให้จิตใจของพวกเขาหวาดกลัว คนธรรมดาสามัญที่เดินนำทางอยู่หน้าสุดหวาดกลัวอย่างสุดขีด แข็งขาของเขาอ่อนแรงจนทรุดลงไปที่พื้นและร้องไห้อ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
ศิษย์สาวกแห่งสำนักหยุนเซี่ยไร้ซึ่งเหตุผล พวกเขาบีบบังคับคนสามัญผู้นั้นอย่างไม่หยุด ผ่านไปเป็นเวลานาน คนผู้นั้นจึงรวบรวมความกล้าและก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
จนกระทั่งเวลาเที่ยงวัน ด้านหน้าของพวกเขาปรากฏต้นไม้ขนาดใหญ่ กิ่งที่ห้อยลงมาจากต้นของมันเต็มไปด้วยผลไม้สีแดงเป็นจำนวนมาก ไม่มีใครรู้ว่ามันคือผลไม้ชนิดใด แต่กลิ่นที่โชยออกมาหอมหวานอย่างน่าดึงดูด
คนผู้หนึ่งทั้งเหนื่อยและหิวโหย เมื่อเขามองเห็นผลไม้ที่มากมายเช่นนี้ เขาจึงกลืนน้ำลายหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว
หล่อเซียงเซียงเอื้อมมือไปเด็ดมันมาหนึ่งลูก ในขณะที่นางกำลังจะกินมา ยู่เอ้าชิงตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น : หยุดก่อน !!
หล่อเซียงเซียงหยุดการกระทำของตนเอง และหันมองไปที่ยู่เอ้าชิงด้วยความสงสัย : มีอะไรหรือเปล่า ?
เมื่อเห็นสีหน้าที่เย็นชาของนาง นางเอื้อมมือไปหยิบผลไม้ลูกนั้นมา ดวงตาที่งดงามของนางจ้องมองไปยังคนธรรมดาสามัญทั้ง 3
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง ทุกคนต่างทราบดีว่านางกำลังวางแผนอะไร
ในสถานการณ์ที่ไม่ทราบว่าผลไม้นี้มีพิษหรือไม่ วิธีการที่ดีที่สุดคือการหาคนทดสอบมัน คนธรรมดาสามัญทั้งสองแสดงสีหน้าที่หวาดกลัวในทันที พวกเขาทั้งสองไม่กล้าจ้องมองหน้า หยางไค่ก็แสร้งทำเหมือนพวกเขา
แต่ยู่เอ้าชิงกลับจ้องมองไปที่หยางไค่ นางเดินเข้าไปหาหยางไค่และยื่นผลไม้สีแดงให้แก่หยางไค่และกล่าวกล่าวออกคำสั่ง : กินมัน !
หยางไค่อดกลั้นต่อความโกรธโดยไม่แสดงออกมา เขาจ้องมองผลไม้ที่อยู่ในมือนำมันขึ้นมาดม ความรู้สึกของเขาบ่งบอกว่ามันไม่มีพิษ แต่มีสิ่งต่างๆมากมายที่อยู่ในโลกโดยไม่แสดงพิษร้ายของมันในทันที แล้วใครจะสามารถบอกได้ว่ามันมีพิษหรือไม่มีพิษ ?
กินได้ ไม่มีพิษ เสียงของมารปฐพีดังขึ้นมา : เด็กสาวคนนี้ไม่ทราบว่าสิ่งไหนเป็นของดีหรือไม่ดี
เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามันคือผลไม้ชนิดนี้คือผลไม้อะรไ ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความไม่วางใจ
อือ
หากมารปฐพีไม่กล่าวบอกแก่เขา เขาจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาและมันคงจะวุ่นวายอย่างแน่นอน แต่เมื่อมารปฐพีกล่าวว่ามันไม่มีพิษ มันก็คงกินได้ เพราะตนเองก็หิวอยู่บ้าง
แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันไร้ซึ่งยาพิษ แต่เขายังคงแสดงสีหน้าที่ลังเลใจ เขาจ้องมองไปยังผลไม้สีแดงที่อยู่ในมือของเขา ราวกับว่ามันมีพิษที่ร้ายแรง จากคำสั่งที่บีบบังคับของยู่เอ้าชิง หยางไค่จึงต้องกัดกินมันไปหนึ่งคำ
รสชาติที่อ่อนหวานละเอียดอ่อนราวกับน้ำผึ้งและลูกพลับที่สุกหง่อม
กินอีก. ยู่เอ้าชิงกล่าวพูดอย่างเย็นชา
มารปฐพี ถ้าหากข้าสามารถฆ่่าหญิงสาวคนนี้ เจ้าต้องทรมาณจิตวิญญานของนางให้สาสม หยางไค่กล่าวออกคำสั่งให้แก่มารปฐพีอย่างโหเหี้ยม
น้อมรับคำสั่ง ! มารปฐพีตอบรับด้วยความมุ่งร้าย
พวกเขาทั้ง 7 รอหยางไค่กัดกินผลไม้ลูกนั้นจนหมด โดยที่พวกเขาไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พวกเขาต่างเฝ้ามองปฏิกิริยาของหยางไค่
หลังจากที่พวกเขารอไปกว่าครึ่งชั่วยาม เมื่อเห็นว่าหยางไค่ไม่เป็นไร ยู่เอ้าชิงจึงกล่าวออกมาด้วยความโล่งอก : ทุกคนกินได้ พวกเราจะพักผ่อนอยู่นี้สักครู่ และจะเดินทางต่อไปอีกครั้ง
เมื่อได้ยินดังนี้ เมียวหลิงและจี่หยวนรีบวิ่งไปเด็ดผลไม้ แต่ศิษย์สาวกหญิงทั้ง 3 ยังไม่ได้ลงมือเด็ดผลไม้แต่ยืนอยู่ข้างๆแทน แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เมียวหลิงและจี่หยวนเด็ดผลไม้กลับมาอย่างมากมายและแจกจ่ายให้แก่หญิงสาวทั้ง 3
เมียวหลิงยังคงกล่าวคำชื่นชม : เป็นเพราะความสามารถของศิษย์พี่ชิง หากไม่ได้ศิษย์พี่ชิงคอยเป็นผู้นำในการกล่าวตักเตือน พวกเราคงมีชีวิตได้ไม่นาน
จางยู่วก็กล่าวเช่นเดียวกัน : ใช่ ๆๆ ข้าได้ยินชื่อเสียงที่ร่ำลือของศิษย์พี่ชิงมานาน ในวันนี้ข้าได้เห็นกับตาของตนเอง มันสมคำร่ำลือจริงๆ
เมื่อได้ยินเสียงชื่นชมอย่างมากมาย ใบหน้าที่เย็นชาของยู่เอ้าชิงเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนหวานเล็กน้อย
ในขณะที่ศิษย์สาวกแห่งสำนักหลิงเซี่ยวทั้ง 5 คนกำลังกินผลไม้ หยางไค่และคนธรรมดาสามัญทั้ง 2 ต่างกินผลไม้สีแดงอย่างไม่หยุดปาก
ต้นไม้ต้นนี้ผลิผลไม้สีแดงค่อนข้างมาก แต่พวกเขาทั้ง 8 ทั้งกินและนำติดตัวกลับไป ทำให้ผลไม้สีแดงของต้นไม้นี้หายไปในพริบตาทันที
หลังจากที่กินจนอิ่ม พวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง แต่โชคดีที่หยางไค่ทดสอบกินผลไม้สีแดง ดังนั้นในการเดินทางครั้งนี้ เขาไม่ได้ถูกสั่งให้เดินนำ แต่เป็นคนธรรมดาสามัญอีกคนที่ต้องเดินนำทาง
หลังจากที่เดินไปได้ไม่นาน จี่หยวนได้ชี้ไปยังด้านข้างอย่างกะทันหัน : ดูทางโน้น ดูสิ ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังประกายแสงสว่างที่วาวโรจน์ของมัน !!
กลุ่มคนทั้งหมดต่างหันไปยังทิศทางที่เขาชี้ และพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างในกอหญ้ากำลังประกายแสงสว่างของมันออกมาอย่างงดงาม
ไปดูกันว่ามีอะไรซ่อนอยู่ ? ยู่เอ้าชิงกล่าวตะโกน
ยู่เอ้าชิงดำเนินการอย่างระมัดระวังเขาออกคำสั่งให้คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งเดินนำไปทดสอบว่าเกิดอะไรขึ้น โดยที่ตนเองยืนอยู่ตรงที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน !!