ตอนที่ 176 ความอับอายของมารปฐพี
ตอนที่ 176 ความอับอายของมารปฐพี
พลังลมปราณที่ดุดันพุ่งออกไปพร้อมกับหมัดเปลวเพลิงผลาญสุริยัน หยางไค่ม้วนตัวกลับไปและหลบหนีจากการโจมตีของงูยักษ์ที่พุ่งเข้ามา
งูยักษ์หมุนร่างกายกลับมา ในขณะที่มันเลื้อยคลาน บริเวณตำแหน่งที่หยางไค่โจมตีก่อเกิดเสียงปะทะที่ดังสนั่นหวั่นไหวถึง 3 ครั้ง ทันใดนั้น ชิ้นเนื้อหนังของงูยักษกระเด็นกระซ่านออมา พลังลมปราณหยางที่ร้อนแรงกำลังระเบิดอยู่ภายในเนื้อหนังของงูยักษ์ ซึ่งทำให้เนื้อหนังของมันที่ถูกโจมตีเกิดรอยไหม้จนกลายเป็นแผลเหวอหวะ โลหิตสีแดงสดไหลออกมาในทันที
งูยักษ์เจ็บปวดทุกข์ทรมาณอย่างสาหัส มันดิ้นทุรุนทุรายราวกับว่าร่างกายของมันถูกฟาดด้วยแส้ยาวที่แข็งแกร่งจนยอดเขาคลุ้งคละไปด้วยเศษฝ่นตลบขึ้นมาจากพื้นดิน
หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น เขาพบว่าตนเองประเมินความแข็งแกร่งของงูยักษ์ตังนี้มากเกินไป
เมื่อสักครู่ที่เขามองเห็นงูยักษ์ตัวนี้ เขาคิดว่าอย่างน้อยที่สุดมันต้องเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่ 5 หรือขั้นที่ 6 (เขตแดนลมปราณแท้จริงและเทพสวรรค์) แต่ไม่คิดว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขาจะทำให้งูยักษ์ตนนี้ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้
มันไม่ใช่สัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่ 5 หรือ 6 มันเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่ 4 เท่านั้น (เขตแดนผสานลมปราณ) หรือเทียบเท่ากับผูฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณ
น่าเสียดายที่มีรูปร่างที่ใหญ่โตและน่าหวาดกลัวเช่นนี้
เมื่อจิตใจเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น สองเท้าของหยางไค่เคลื่อนไหวด้วยท่าร่างอีกครั้ง เขาสบโอกาสในขณะที่งูยักษ์กำลังพุ่งม้วนกลับมาโจมตีออกไปอีกครั้ง มันทำให้การเคลื่อนไหวของงูยักษ์ดุดันยิ่งขึ้น แต่มันแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันไม่อยากนั่งรอความตาย มังสะบัดหางที่ใหญ่ยักษ์ของมันและเหวี่ยงพุ่งไปยังที่หยางไค่
หากไร้ซึ่งท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหว การโจมตีของงูยักษ์ในครั้งนี้คงสร้างปัญหาให้แก่หยางไค่ไม่น้อย แต่เพราะมีท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหว จึงสามารถหลบหนีการโจมตีของเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนเองไม่ได้ผล งูยักษ์ขู่ฝ่อด้วยความดุดัน มันอ้าปากและพ่นหมอกสีโลหิตออกมา หากไม่ใช่เพราะหยางไค่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เขาต้องถูกหมอกพิษสีโลหิตครอบคลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างแน่นอน
สีหน้าของหยางไค่เย็นยะเยือก เขาไม่หวาดกลัวงูยักษ์ตนนี้ แต่เพราะหมอกพิษสีโลหิตที่มันพุ่งออกมาได้สร้างปัญหาให้แก่เขา แต่มันเป็นเพียงปัญหากเล็กน้อย ตราบใดที่หมอกพิษสีโลหิตไม่สัมผัสถึงร่างกายของตนเอง งูยักษ์ตนนี้ก็ไม่สามารถสร้างอันตรายให้เขาได้แม้แต่น้อย
ในขณะที่หยางไค่กำลังต่อสู้กับงูยักษ์อยู่ด้านนอก มารปฐพีที่อยู่ในเข็มสลายวิญญานซึ่งมันพุ่งเข้าสู่ภายในร่างกายของงูยักษ์ก็ไม่ได้อยู่เฉย แม้ว่าตอนนี้มารปฐพีไม่สามารถแสดงอำนาจพลังที่แท้จริงของตนเองออกมาได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน อัวยวะภายในเป็นสิ่งที่อ่อนแอที่สุด แม้ว่าเข็มสลายวิญญาณจะไม่ใช่อาวุธที่แหลมคม แต่มันก็ยังเป็นอาวุธลับชนิดหนึ่งเช่นเดียวกัน
ร่างกายภายในของงูยักษ์ได้รับบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมาณทำให้มันไม่สามารถต่อสู้กับหยางไคได้อีกต่อไป ร่างกายที่ยาวเยื้อยของมันหดตัวลงและยืดตรงออกไปเป็นบางครั้ง นอกจากนั้นมันยังกระตุกและกลิ้งไปมาอยู่บนยอดเขาหลายครั้ง
หยางไค่เฝ้ามองด้วยสายตาที่นิ่งสงบ โดยที่เขาไม่ต้องลงืมือโจมตีอีกต่อไป
งูยักษ์มีความแข็งแกร่งที่ค่อนข้างน้อย แต่พลังชีวิตของมันกลับยืนยาวอย่างยิ่ง มารปฐพีเคลื่อนตัวอยู่ภายในร่างกายของมันกว่าครึ่งชั่วยาม มันจึงหยุดการดิ้นรนและตายอยู่บนยอดเขาแห่งนี้
ท้องของงูยักษ์มีการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องข้า ทันใดนั้นมารปฐพีและเข็มสลายวิญญาณได้ลอยออกมา ปรากฏตรงหน้าของหยางไค่ พวกเขาทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกัน โดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน
นายน้อย .หากมีเรื่องเช่นนี้ในครั้งต่อไป กล่าวบอกแก่ข้าก่อน เพื่อให้ข้ามีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจในการรับมือและโจมตี มารปฐพีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกบีบบังคับเช่นนี้ เขาถูกหยางไค่โยนเข้าไปยังร่างกายภายในของสัตว์อสูรอย่างกะทันหัน หากจิตใขจของเขาอ่อนแอ เขาคงตื่นตระหนกจนจิตวิญญานแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
อืม หยางไค่พยักหน้าอย่างจริงจัง
มารปฐพีไม่กล้ากล่าวพูดอีกต่อไป
หยางไค่ถามกลับไป : เจ้าไม่รู้สึกว่าสัตว์อสูรตัวนี้มีอะไรที่ผิดแปลกไป?
มันผิดแปลกอย่างไร? มารปฐพีกล่าวถามอย่างรอบคอบ
ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับที่ ต่ำมาก !! มันต่ำกว่าที่ข้าคาดคิดไว้ !!
มารปฐพีกล่าวตอบด้วยเสียงหัวเราะ : นายน้อย งูยักษ์ตัวนีกลืนกินลูกแก้วชีพโลหิตแดง ร่างกายของมันจึงกลายเป็นเช่นนี้ มันจึงมีความสามารถเพียงเท่านี้ นอกจากนั้นระหว่างทางที่เจ้าเดินทางเข้ามา เจ้าเคยพบเห็นร่องรอยของสัตว์อสูรชนิดอื่นหรือไม่ ?
หยางไค่ส่ายหัวอย่างช้าๆ
มันเป็นเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เดิมทีงูยักษ์ตัวนี้เป็นเพียงงูตัวเล็กๆตัวหนึ่ง แต่หลังจากที่มันกลืนกินลูกแก้วชีพจรโลหิตแดง โชคดีที่มันไม่ตาย มันจึงเติบโตกลายเป็นสัตว์อสูร อาจจะกล่าวได้ว่า มันเป็นสัตว์อสูรในสถานที่แห่งนี้เพียงตัวเดียว
งูสามัญแต่กลายเป็นงูยักษ์ขนาดใหญ่เช่นนี้ ? หยางไค่กล่าวด้วยความตื่นตะลึง : ยอดเยี่ยม
หยางไค่ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ก่อนจะกล่าวด้วยความตื่นเต้นและดีใจ : งูเล็กยังสามารถกลืนกินลูกแก้วชีพจรโลหิตแดง หากข้ากลืนกินมันคงไม่เกิดปัญหาอื่นๆตามมา
ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากนายน้อยยังไม่วางใจ นายน้อยลองกินดวงจิตสัตว์อสูรที่อยู่ภายในของสัตว์อสูรตัวนี้เพื่อเป็นการทดสอบ
เป็นข้อเสนอที่ดี หยางไค่พยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อมาถึงด้านหน้าของงูยักษ์ หยางไค่ฉีกร่างกายของมันให้แยกออก ก่อนจะนำดวงจิตสัตว์อสูรของมันออกมา
ตั๋นที่อยู่ในร่างกายของมันมีขนาดเท่าไข่ของนกพิราบภายในของมันยังซ่อนเร้นพลังของลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงอีกด้วย
เมื่อกล่าวเตือนให้มารปฐพีปกป้องร่างกายของเขา หยางไค่เช็ดลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงบนเสื้อผ้าของเขา และกลืนกินมันเข้าไปโดยตรง
ยุทธุ์หยางเริ่มเคลื่อนไหว หยางไค่รู้สึกอย่างรวดเร็วว่ามีพลังบางอย่างกำลังแพร่กระจายเข้าไปยังผิวหนังโลหิตของเขาโดยตรง นอกจากนั้นพลังที่แพร่กระจายยังซ่อนเร้นกลิ่นอายแห่งปีศาจที่ชั่วร้ายไม่น้อย
มันต้องเป็นกลิ่นอายแห่งปีศาจน้อยที่ตายอยู่ในยอดเขาแห่งนี้
ทันใดนั้น ร่างกายของหยางไค่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงที่เข้มข้น มันประกายสดใสดั่งสีโลหิต ราวกับว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังแห่งปีศาจที่ชั่วร้าย
แม้ว่าภายนอกของเขาจะน่าหวาดกลัว แต่ภายในร่างกายของเขาไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย หยางไค่รู้สึกเพียงว่าจิตวิญญานของเขาถูกพลังลึกลับกระตุ้นจนมั่นสั่นไหวแต่มันก็ได้สงบลงอย่างรวดเร็ว พลังลมปราณหยางที่อยู่ในเส้นชีพจรมลมปราณเป็นพลังแห่งดาวข่มของกลิ่นอายแห่งปีศาจ เขาจึงไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
กลิ่นอายแห่งปีศาจถูกเผาทำลายจากพลังลมปราณหยางที่เคลื่อนไหวไปมา ซึ่งทิ้งไว้เพียงแก่นแท้ของพลังแห่งลูกแก้วชีพจรโลหิตแดง
พลังจากลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงที่เขาได้รับ มันใช่ประเภทพลังลมปราณหยาง ดังนั้นจึงไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำพลังลมปราณหยาง และมันยังไม่ถูกดูดซึมจากกระดูกทองคำ แต่มันกลับซึมซับเข้าสู่ดโลหติและผิวหนังของหยางไค่ ทำให้เนื้อหนังทุกอนุขุมขนของเขาเต้นกระตุกไปมาด้วยความปิติยินดี ผิวหนังทั่วร่างกายต่างสั่นไหวไปมาอย่างไม่หยุด
ดวงจิตสัตว์อสูรเพียง 1 ลูก ต้องใช้เวลากว่า 1 วันในการสกัดกลั่นมันจนสำเร็จ หยางไค่ลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองสั่นไหวดั่งสายฟ้า หยางไค่รู้สึกว่าร่างกายของตนเองแตกต่างจากเดิมมาก
มันไม่ทำให้เขตแดนของตนเองแข็งแกร่งขึ้นและไม่ได้ทำให้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขามีความว่องไวมากขึ้น แต่มันทำให้ร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างกายของเขาแข็งงแกร่งมากกว่าในตอนที่ยังไม่ได้หลอมรวมดวงจิตสัตว์อสูรของเจ้างูยักษ์ โลหิตและพลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกยพุ่งพลุกพล่านอย่างแข็งแกร่ง ราวกับว่าไม่ต้องเคลื่อนไหวพลังลมปราณก็สามารถต่อสู้โดยมือเปล่า
นายน้อยท่านรู้สึกอย่างไร? มารปฐพีถามกล่าวอย่างแผ่วเบา
ก็ยังดี ประโยชน์ที่สูงสุดของลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงคืออะไร ?
เพราะลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงก่อกำเนิดจากกายของปีศาจน้อยที่ตายไป มันอาจทำให้เขตแดนของนายน้อยก้าวข้ามไปอีก 1 ขั้น แต่ประโยชน์สูงสุดของมันคือสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย
แต่เจ้ากล่าวว่ามันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่อำนาจพลังและเขตแดนล่ะ ?
มารปฐพีกล่าวด้วยความเร่งรีบ : นายน้อย ความเข้าใจของท่านค่อนข้างตื้น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นไมได้หมายถึงอำนาจพลังและเขตแดนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ร่างกายที่แข็งแกร่ง พลังลมปราณที่บริสุทธิ์ คือหลักฐานที่มั่นคงของวิชายุทธุ์และเคล็ดวิชายแห่งการต่อสู้ เมื่อมีร่างกายที่แข็งแกร่ง มันจะส่งเสริมให้ความก้าวหน้าของทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกาย ซึ่งสามารถยกระดับอำนาจพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เฉกเช่นนายน้อยในตอนนี้ นายน้อยมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งและเขตแดนของนายน้อยต้องมีความก้าวหน้าที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน
หยางไค่อึ้งไปชั่วขณะเขาขบคิดอยู่สักครู่ก่อนจะกล่าวตอบ : อืม เจ้ากล่าวไม่ผิด แต่เพราะความเข้าใจของข้าค่อนข้างตื่น
นายน้อยอายุยังน้อย จึงคิดไม่ถึงเท่านั้นเอง มารปฐพีไม่กล้ากล่าวคำพูดที่ไม่ควรกล่าว
หยางไค่จ้องมองไปยังลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงทั้ง 3 หยดที่เหลือ เขาไม่ลังที่จะยืนมืออกไปแตะลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงหยดแรก
ราวกับว่าลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงมีจิตวิญญาณ ในขขณะที่สมผัสมัน มันกลับไปกระโดดเข้าสู่ร่างกายภายในของหยางไค่ในทันที
พลังที่รุนแรงและแข็งแกร่งกว่าเมื่อสักครู่ระเบิดและแพร่กระจายอยู่ในร่างกายภายในของเขา หยางไค่ทนต่อพลังที่รุนแรงนี้ไม่ได้ เขาคำรามออกมาด้วยเสียงที่ดังสนั่น และรีบนั่งขัดสมาธิหลับตาเพื่อสกัดพลังแห่งลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงนี้ ทันที
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา หยางไค่ไม่ทำสิ่งใด เขาสกัดกลั่นพลังแห่งลูกแก้วชีพจรโลหิตแดงเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่กลิ่นอายแห่งโลหิตของก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนนั้น ยังถูกหยางไค่ดูดซึมจนสะอาดสะอ้าน
ความแข็งแกร่งและความมีชีวิตชีวาของร่างกายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับครึ่งเดือนก่อน ไม่ว่าจะเป็นความว่องไวของร่างกาย และพละกำลังของหมัดที่พุ่งออกไป ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นและแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนั้นเขตแดนของตนเองยังก้าวข้ามไปอีก 1 ขั้น จนตนเองอยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียนขั้นที่ 3
หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน จากการแนะนำจากมารปฐพี หยางไค่จึงใช้มือขยับก้อนหินขนาดใหญ่นั่นออกไป โดยไม่ได้ใช้พลังลมปราณ เขาใช้เพียงแต่พละกำลังของร่างกาย ก็สามารถยกหินที่มีน้ำหนัก 3000 จินได้อย่างง่ายดาย
ภายใต้ก้อนหินขนาดใหญ่ มีหลุมใต้ดินแห่งหนึ่งที่หนาวเย็น ภายในหลุมใต้ดิน เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งพลังชั่วร้ายที่แข็งแกร่ง มันก็คือต้นกำเนิดของกลิ่นอายแห่งปีศาจที่ทำให้เกาะครึ่งซีกขวาแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งปีศาจที่ชั่วร้าย
หลังจากที่พบเจอหลุมใต้ดินกว่า 1 วัน กลิ่นอายแห่งปีศาจที่ชั่วร้ายเหล่านี้จึงได้พัดโชยไปยังร่างกายของหยางไค่
มารปฐพีหัวเราะอย่างแปลกประหลาด : กระจอก !! วิธีการที่ข้าเคยใช้เจ้าก็ยังกล้าที่จะนำออกมาใช้ ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง !!
คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่ดุดันที่มารปฐพีเคยกล่าวต่อหยางไค่เมื่อครั้งที่พบเจอกันครั้งแรก ในตอนนี้ มารปฐพีต้องการครอบครองกายของหยางไค่ ในเวลานั้นไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการใด ก็ไม่สามารถครอบครองกายของหยางไค่ แต่กลับกัน เขากลับถูกควบคุมจากหยางไค่
ในขณะที่กล่าว มารปฐพีได้แปรเปลี่ยนเป็นหมอกสีดำทะมึนและพุ่งเข้าไปในทันที
หมอกสีดำทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่ง ทำให้ปากหลุมใต้ดินสั่นหวั่นไปมา หยางไค่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ แต่เมื่อขบคิดไปมา หยางไค่คิดว่ามารปฐพีเป็นปีศาจบรรพกาลที่แก่เฒ่า ก่อนหน้านั้นคำพูดที่โอ้อวดของเขามีมากมาย เขาคงไม่ได้รับอันตรายใด
หลังจากที่รอเป็นเวลานาย หยางไค่จึงกล่าวขึ้นมา : จิตวิญญาณเทพสวรรค์ของปีศาจน้อยตนนี้เป็นเหมือนกับเจ้าที่ยังดำรงอยู่ในโลกแห่งนี้ ?
เสียงที่หอบหึดของมารปฐพีดังขึ้น : นายน้อย จิตวิญญาณเทพสวรรค์ของเขา ..สลายไปนานแล้ว ในตอนนี้ ..ในตอนนี้ เหลือเพียงเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำเท่านั้น !!
หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น : อ้อ ..เจ้าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ?
แค่กแค่ก . มารปฐพีกล่าวอย่างเขิลอาย : นายน้อยได้โปรด ..ถ่ายทอดพลังเพียงเล็กน้อยให้แก่เข้าด้วยเถอะ ข้า ..ไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาได้ !!
สีหน้าของหยางไค่แสดงออกด้วยความตื่นเต้น เขากลั้นเสียงหัวเราะและกล่าวถาม : เขาเป็นเพียงปีศาจน้อย ? ทำไมเจ้าถึงเอาชนะเขาไม่ได้ ?
เมื่อได้ยินเสียงกล่าวถามที่เยาะเย้ยของหยางไค่ มารปฐพีกำลังจะร่ำไห้ออกมา : ใช่ใช่ใช่ เป็นปีศาจน้อย แต่ข้าตายก่อนตายก่อนปีศาจน้อยตนนี้ !! และยังถูกผนึกในถ้ำสวรรค์ จิตวิญญานเทพสวรรค์ของข้าเกือบจะแตกสลาย นายน้อย หากท่านยังไม่ช่วยข้า ข้าต้องถูกมันกลืนกินเข้าไปในไม่ช้าอย่างแน่นอน
เมื่อหยางไค่ได้ยินดังนี้ เขาตระหนักได้ถึงความสำคัญของสถานการณ์นี้จึงกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง : ข้าจะช่วยเหลือเจ้าได้อย่างไร ?
เจ้าปีศาจน้อยที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูดต้องการครอบครองกายของนายน้อย นายน้อยปล่อยให้เขาเข้าไปในร่างกายของท่าน เมื่อครั้งที่นายน้อยพบเจอกับข้าในตอนแรก
มันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย หยางไค่ยื่นมืออกไปและยื่นมือลงไปในหลุมใต้ดิน
ทันใดนั้น พลังแห่งความเยือกเย็นได้พุ่งเข้าสู่มือของหยางไค่และเข้าไปภายในร่างกายของเขาในทันที หยางไค่หัวเราะ โดยไม่กังวลใจแม้แต่น้อย
ภายใต้กลยุทธุ์หยางที่เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงพลังแห่งความเยือกเย็นนี้ถูกเผาทำลายจากความร้อนแรงแห่งพลังลมปราณหยาง ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนที่น่าสังเวชใจ มันเหลือเพียงแก่นแท้ของพลังที่ถูกแยกออกมาและถูกกระดูกทองคำดูดซึมเข้าไป
จากการช่วยเหลือของหยางไค่ มารปฐพีสามารถแสดงความแข็งแกร่งของตนเองออกมา หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วยาม เขากลายเป็นผู้ได้เปรียบจากการต่อสู้ของกลิ่นอายแห่งเศษเสี้ยวความทรงจำของปีศาจน้อย
พอแล้วพอแล้ว นายน้อยโปรดดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ว่าข้าจะจัดการกับปีศาจน้อยนี้อย่างไร !! มารปฐพีเกรงว่าหยางไค่จะแย่งกลิ่นอายแห่งปีศาจที่มากเกินไป เขาจึงรีบกล่าวห้ามปราม
มารปฐพีเฝ้าถามตนเองอยู่ในจิตใจ ว่าทำไมนายน้อยของเขาจึงสามารถดูดกลืนกลิ่นอายแห่งปีศาจอย่างง่ายดายเช่นนี้ ? เขาฝึกฝนวิชายุทธุ์แห่งพลังหยางที่ร้อนระอุ ? มันน่าแปลกจริงๆ
เมื่อได้ยินมารปฐพีกล่าวเช่นนี้ หยางไค่จึงเอามือออกจากหลุมใต้ดิน และไม่สนใจมารปฐพีอีกต่อไป เขาได้นำหญ้าสมุนไพรชนิดหนึ่งออกจากระเช้ายาและเคี้ยวมันอย่างเพลิดเพลิน
หยางไค่ทราบดีถึงต้นหญ้าสมุนไพร ที่ตนเองเก็บเกี่ยวมา มันไม่มีพิษใดๆทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้ ง่ายต่อการสกัดกเป็นโอสพวิเศษ เมื่อสกัดจนมันกลายเป็นโอสพวิเศษ มันจะสามารถแสดงสรรพคุณ คุณประโยชน์ของมันได้อย่างดีที่สุด
แต่หยางไค่ที่ถูกจับกุมตัวเข้ามา ไร้ซึ่งโอกาสที่จะสกัดกลั่นต้นหญ้าสมุนไพรเหล่านี้เป็นโอสพวิเศษ การกลืนกินมันเข้าไปโดยตรงแม้จะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนโลภ แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องทำเช่นนี้โดยไม่มีทางเลือก
มารปฐพีต่อสู้กับหมอกสีดำที่แข็งแกร่งเป็นเวลาที่ยาวนาน
ผ่านไปเกือบ 1 วัน ในที่สุดหมอกสีดำทะมึนทั้งสองจึงผสานรวมเป็นหนึ่งได้สำเร็จ
หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนาน พลังอำนาจและความแข็งแกร่งของมารปฐพีเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เสียงของมารปฐพีดังขึ้น : ขอบคุณนายน้อย ข้าจะไม่ลืมตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้อย่างแน่นอน
หยางไค่กระแอ่มเบาๆ
มารปฐพีกล่าวด้วยความเขิลอาย : ข้าจะปิดกั้นตนเองเพื่อฝึกยุทธุ์ประมาณ 3 วัน
หลังจากที่กล่าวจบ เขารีบพุ่งเข้าสู่ร่างกายของหยางไค่ทันที