ตอนที่ 173 สำนักหยุนเซี่ย
ตอนที่ 173 สำนักหยุนเซี่ย
คลื่นทะเลกระแทกเข้ามาและพุ่งม้วนซ้ำไปซ้ำมา เรือกลไฟเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ไปยังดินแดนที่ห่างไกล
เสียงของผู้ที่ร้องไห้โหยหวน สบทด่าสาปแช่งหรือกล่าวขอร้องอ้อนวอนค่อยๆหยุดไป แม้ว่าแม้ว่าพวกเขาจะตะโกนจนลำคอแหบแห้ง ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซี่ยก็ไม่ได้สนใจพวกเขา แต่ถูกพวกเขาหวนกลับมาทุบตีจนได้รับความทุกข์ทรมาณทั้งกายและจิตใจ
แต่ผู้ฝึกยุทธุ์เหล่านั้นไคร่ครวญก่อนจะทุบตี พวกเขาทุบตีเฉพาะคนที่ร้องไห้คร่ำครวญหาพ่อและแม่ของพวกเขา ผู้ฝึกยุทธุ์ทุบตีจนร่างกายภายนอกของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ โดยไม่ทำให้กระดูกหรือเอ็นข้อต่อต่างๆของร่างกายได้รับบาดเจ็บไปด้วย
หยางไค่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของดาดฟ้าเรือกลไฟ เขาเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาที่ราบเฉย อิสระของเขาไม่ถูกคุมขัง เพราะเขาไม่กล่าวตะโกนและไม่ร้องไห้คร่ำครวญ จึงไม่ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
หลังจากที่เรือกลไฟออกเดินทางประมาณ 1 ชั่วยาม พวกเขาออกห่างจากเมืองไห่เฉินประมาณ 100 ลี้
หยางไค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงอย่างเงียบๆ เขากำลังขบคิดว่าหากหนีออกจากเรือกลไฟในเวลานี้ โอกาสในการมีชีวิตรอดจะมากหรือน้อยเท่าใด
จากความแข็งแกร่งของตนเองที่อยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียน ไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะจมน้ำตา เพราะเขามีพละกำลังมากพอที่จะว่ายน้ำกลับไป แต่หยางไค่กลัวว่ายอดฝีมือที่อยู่เขตแดนลมปราณแท้จริงจะโบยบินออกจากเรือกลไฟและไล่ตามเขาไป
ขณะที่สายตาของหยางไค่เต็มไปด้วยความลังเล ชาวประมงอาวุโสคนหนึ่งที่ถูกจับตัวมาไม่สามารถทนต่อความทุกข์ทรมาณเขาจึงกระโดดลงจากเรือกลไฟก่อนหยางไค่
ตูม !! เสียงที่บางเบาดังมาจากทะเล ทันใดนั้นผู้ที่ถูกจับกุมตัวมากกว่า 30 คนเริ่มกระตืนรือร้นขึ้นมา พวกเขาต่างวิ่งไปที่ด้านข้างของเรือ เพื่อจะกระโดดลงจากเรือและหลบหนีตามชาวประมงอาวุโสไป
แต่สิ่งที่น่าตกใจคือผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซี่ยไม่ไดหยุดยั้งการกระทำของพวกเขาแต่จ้องมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น
หยางไค่ร็สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ พวกเขาต้องสูญเสียพละกำลังจำนวนมากมายในกาจับตัวคนเหล่านั้น ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะปล่อยตัวคนเหล่านี้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
ทันใดนั้นเสียงโหยหวนที่น่าสะพรึงด้วยความหวาดกลัวดังมาจากท้องทะเละด้านล่าง เสียงนี้เป็นเสียงของชาวประมงอาวุโสที่กระโดดลงจากเรือเมื่อสักครู่ เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผู้ที่วิงไปถึงด้านข้างของเรือได้หยุดการกระทำของพวกเขาอย่างกะทันหัน และจ้องมองไปยังท้องทะเลด้านล่างด้วยสายตาที่ตื่นตะลึง
เกิดอะไรขึ้น!? เกิดอะไรขึ้น?
ด้านล่างมีสัตว์อสูร !
ด้านล่างเรือมีสัตว์อสูรกินมนุษย์แห !!
คนธรรมดาสามัญเหล่านั้นตื่นตระหนกหวาดกลัวจนยืนอยู่นิ่งอยู่กับที่ พวกเขาไม่กล้าที่จะกระโดดลงไปเหมือนครั้งแรก
ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซียคนหนึ่งหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเย้ยหยัน : อยากรู้ไหมว่าด้านล่างมีอะไร ?
ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซียไม่รอคำตอบ เขาโยนคบเพลิงที่อยู่ในมือลงไปในทะเล
จากแสงสว่างแห่งคบเพลิงเพียงสั้นๆ ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองเห็นภาพที่น่าหวาดกลัว น้ำทะเลปกคลุมด้วยสีเลือดของชาวประมงอาวุโส ร่างกายของชาวประมงอาวุโสกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนมาก ใต้ทะเลมีสัตว์อสูรที่โหดร้ายกำลังกระโดดและแหวกว่ายตามเรือกลไฟ พวกมันกัดกินชิ้นเนื้อของชาวประมงอาวุโสอย่างน่าขนลุก
นี่จะเป็นชะตากรรมของผู้ที่โดยลงจากเรือ !! ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซียกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นชา
ผู้คนจำนวนไม้น้อยต่างอาเจียนหลังจากที่ได้เห็นฉากเหตุการณ์ที่น่าสยดสยอง พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาสามัญ พวกเขาจะเคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ได้อย่างไร ?
จิตใจของหยางไค่สั่นไหวอย่างยิ่ง เขาทราบดีว่าตนเองต้องละทิ้งความคิดในการกระโดดลงเรือเพื่อหลบหนี สัตว์ทะเลที่แหวกว่ายตามเรือกลไฟต้องเป็นสัตว์อสูรอย่างแน่นอน มันคงเติบโตอยู่ในอาณาเขตของเกาะหยุนเซี่ยที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี้
ในท้องทะเลสัตว์อสูรเป็นจักรพรรดิผู้ครอบครอง ตนเองเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียน เมื่อเผชิญหน้ากับพวกมัน ไม่มีทางที่จะหลบหนีจากพวกมันได้อย่างแน่นอน
ฟังข้าให้ดี !! ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซียกล่าวตะโกนด้วยเสียงที่ดังสะนั่น สายตาของดังสายฟ้าที่กวาดมองไปที่ทุกคน : หากไม่อยากตาย ก็จงเชื่อฟังและอยู่บนเรืออย่างสงบ อีกประมาณ 1 ชั่วยามจะไปถึงเกาะหยุนเซี่ย พวกเจ้าอย่าคิดว่าการกระทำในครั้งนี้เป็นการจับกุมตัวพวกเจ้า มันเป็นโอกาสที่งดงามจากสำนักหยุนเซี่ย !! เมื่อไปถึงเกาะหยุนเซี่ย จะมีการแบ่งปันอาหารอันโอชะที่แสนอร่อยให้แก่พวกเจ้า มีผ้าไหมและผ้าฝ้ายให้แก่พวกเจ้า เพียงแค่พวกเจ้าผ่านการทดสอบจากสำนักหยุนเซี่ยของเรา สำนักหยุนเซี่ยจะรับพวกเจ้าเป็นศิษย์ หลังจากวันนี้ พวกเจ้าจะกลายเป็นจอมยุทธุ์ที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้า
ผู้คนที่ถูกจับกุมตัวมาต่างปิดปากเงียบ และแสดงสีหน้าที่ไม่เชื่อคำพูดของพวกเขา
ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซียไม่กล่าวอะไรอีกต่อไป พวกเขาปิดปากเงียบและอยู๋เฉยๆเท่านั้น
เมื่อผ่านเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัว ผู้คนธรรมดาสามัญที่ถูกจับตัวไม่กล้าที่จะปริปากหรือส่งเสียงใดๆอีก และยิ่งไม่กล้าที่จะคิดหนี เพราะด้านล่างของเรือกลไฟมีสัตว์อสูรที่กินเนื้อมนุษย์ พวกเขาจะมีความกล้าหาญในการหลบหนีต่อไปได้อย่างไร ?
เรือกลไฟยังคงเดินทางล่องลอยอยู่ในทะเลที่กว้างไกล
ผ่านไปอีก 1 ชั่วยาม หยางไค่ได้ยินคนคนหนึ่งกล่าวตะโกน : ถึงบ้านแล้ว
อั๊ยหยา ช่างเหนื่อยล้าจริงๆ จากการที่พวกเราต้องออกเดินทางจับตัวพวกเขาเดือนละ 1 ครั้ง เห้อ ทำไมคนเหล่านี้ถึงมาอายุขัยที่สั้นเช่นนี้ ?
เพราะพวกเขาเป็นคนธรรมดาสามัญไงล่ะ ไม่ว่าพวกเขาจะดูแลร่างกายของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน ชู่ว เงียบๆ อย่ากล่าวออกไปอีก หากพวกเขาได้ยินคงจะก่อความวุ่นวายอีกครั้งแน่
หยางไค่ลืมตามองไปยังด้านหน้า เขามองเห็นรูปร่างของเกราะที่เลือนรางอยู่ตรงหน้า เกาะแห่งนี้มีขนาดไม่เล็กมาก จากการประเมินของหยางไค่บริเวณเกาะแห่งนี้ต้องใหญ่กว่าเมืองไห่เฉินประมาณ 4-5 เท่า แต่ว่าเกาะแห่งนี้นำพาความรู้สึกที่แปลประหลาดให้แก่เขา ในเวลานี้การมองเห็นของเขาดีกว่าสายตาคนธรรมาดาสามัญอย่างมาก จากการจ้องมองของเขาในครั้งนี้ เกาะทางด้านซ้ายและด้านขวามีความแตกต่างกัน ครึ่งขวาของเกาะราวกับว่าถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกสลัวที่ทำให้ยากต่อการมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ซึ่งไม่รู้ว่าภายในเกาะครึ่งขวาแห่งนั้นจะซ่อนเร้นความลึกลับอะไรไว้บ้าง
เรือกลไฟกำลังเข้าเทียบท่า มันพุ่งเข้าเทียบท่าไปยังทิศทางของเกาะทางด้านซ้าย
หลังจากที่ผ่านไปอย่างยาวนาน เรือกลไฟค่อยๆชะลอตัวลง ในที่สุดมันก็หยุดเคลื่อนไหวลง
ศิษย์สาวกแห่งสำนักหยุนเซี่ยโยนเชือกลงจากดาดฟ้าเรือกลไฟ และกล่าวตะโกนให้แก่ผู้คนธรรมดาสามัญเหล่านั้น : ลงจากเรือให้หมด !!
แม้ว่าผู้คนกว่า 30 คนจะตกอยู่ในความหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะกระโดดลงจากเรือ ในขณะที่พวกเขาลงมาถึงเกาะ สองขาของผู้คนจำนวนมากอ่อนยวบทรุดลงไปที่พื้นทันที เพราะพวกเขาหวาดกลัวสัตว์อสูรที่อยู่ใต้ท้องเรือกลไฟอย่างสุดซึ้ง
ท่ามกลางคนเหล่านี้มีชาวประมงเป็นจำนวนมาก แต่ชั่วชีวิตที่พวกทำอาชีพประมงจับสัตว์น้ำต่างๆ พวกเขาไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงเช่นนั้น
พวกเขาทั้ง 2 พาพวกเขาไปพักก่อน ยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงกล่าวแก่ศิษย์สาวกทั้งสอง
ขอรับ อาจารย์ลุง !! พวกเขาทั้งสองทำความเคารพและตอบรับคำกล่าวของยอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริง พวกเขาทั้งสองก็คือคนที่จับตัวหยางไค่มานั่นเอง
ไปกันเถอะ พวกเราจะพาพวกเจ้าไปกินอาหารอร่อยๆ สองผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซี่ยไม่ได้บังคับกลุ่มคนเหล่านี้ พวกเขาไล่ต้อนพวกเขาไปด้านหน้าดั่งการไล่ตอนแกะและแพะ
หยางไค่ตั้งใจอยู่ด้านหลังสุด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและกล่าว : ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเราจะได้เข้าเป็นศิษย์แห่งสำนักตอนไหน ?
หนึ่งในนั้นกล่าวหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน : ใครเป็นศิษย์พี่ของเจ้า?
อีกคนหนึ่งแม้ว่าจะรำคาญหยางไค่แต่เขาก็ยังกล่าวอธิบาย : เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ตอนอยู่บนเรือเจ้าก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือไง ? เพียงแค่พวกเจ้าสามารถผ่านการทดสอบจากสำนักของเรา พวกเจ้าจะได้รับการคัดเลือกเข้าสู่สำนักของเรา แล้วได้รับการฝึกฝนวิชายุทธุ์และเคล็ดวิชาการต่อสู้จากสำนักหยุนเซี่ยของเรา
แล้วการทดสอบคืออะไร ? หยางไค่กล่าวถามอีกครั้ง
การทดสอบ ฮึฮึ การทดสอบที่ง่ายมาก เพียงแค่ให้เจ้าไปเก็บของบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น อย่าถามให้มาก ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง คนผู้นั้นคิดว่าหยางไค่เป็นคนที่ง่ายต่อการหลอกลวง ในขณะที่กล่าวเขาได้ตบไปที่ไหล่ของหยางไค่ : หากเจ้าเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยม พวกเราจะกลายเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนัก พวกเจ้าเพิ่งเข้ามายังเกาะหยุนเซี่ย พวกเจ้าไม่ต้องกังวลหรือสนใจเรื่องอื่นๆ เจ้ากินอาหารให้อร่อยจนกว่าจะถึงเวลาทดสอบ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนแจ้งให้พวกเจ้าทราบเอง
อ่อ หยางไค่ไม่สอบถามเรื่องราวต่างได้ไม่มาก เขาจึงต้องปล่อยมันไป
แต่ว่าเกาะหยุนเซี่ยเป็นสถานที่เหมาะสมในการฝึกยุทธุ์ สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งฟ้าดินที่แข็งแกร่ง มันแข็งแกร่งกับหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจที่นิกายหรือสำนักพยายามที่จะก่อตั้งอยู่บนเกาะ การฝึกยุทธุ์ในเกาะได้เปรียบมากกว่าสถานที่อื่นๆ
นอกจากนั้นบนเกาะต่างๆยังเต็มไปด้วยสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ที่มากมาย โดยเฉพาะสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ที่พบเจอได้ยาก
หลังจากที่เห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเกาะหยุนเซี่ย อารมรณ์ของผู้ที่ถูกจับกุมตัวเปลี่ยนแปลงในทันที ระหว่างที่พวกเขาก้าวเดินพวกเขายังได้ชี้ไปยังทิวทัศน์ที่พวกเขาชื่นชอบโดยรอบ
หนึ่งในสองผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหลิงเซี่ยกล่าวตักเตือน : อยู่บนเกาะพวกเจ้าอย่าวิ่งไปทั่วล่ะ สถานที่แห่งนี้มีสัตว์อสูรกินเนื้อมนุษย์อยู่เช่นเดียวกัน หากพวกเจ้าวิ่งพล่านไปทั่ว ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยพวกเจ้าได้
การห้ามปรามคนธรรมาดาสามัญจากการกล่าวว่ามีสัตว์อสูรกินมนุษย์ทำให้คนเหล่านั้นหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวนี้ พวกเขาต่างเงียบลง และคิดถึงชะตากรรมี่ชาวประมงอาวุโสได้รับ
พวกเขาเดินตามเส้นทางของเกาะ พวกเขาเดินทางไปได้ประมาณ 1 ชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขา
เมื่อถึงจุดหมายปลายทางได้มีศิษย์สาวกคนอื่นๆมาต้อนรับพวกเขา ก่อนจะรับคนเหล่านี้เขาไปยังลานสวนขนาดใหญ่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม : ศิษย์พี่ทั้งสองคงเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ผลงานในค่ำคืนนี้ไม่เลวเลย
ก็ยังดี มากกว่าผู้คนที่เราพบเมื่อหลายเดือนก่อน คนเหล่านี้ข้าจะมอบให้ศิษย์น้องจัดการเอง
ศิษย์พี่โปรดวางใจ
หลังจากที่พวกเขาพูดคุยอยู่สักพัก ศิษย์ทั้งสองแห่งสำนักหยุนเซี่ยจึงเดินออกไป
หลังจากที่พวกเขาเดินออกไป ศิษย์ที่รับผิดชอบในการดูแลพวกเขาจึงโบกมือและกล่าว : พวกเจ้าทั้งหลายตามข้ามา
หลังจากเดินเข้าไปในลานสวน หยางไค่กวาดสายตาสังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง เขาพบว่าบริเวณนี้ล้อมรอบไปด้วยกำแพงทั้ง 4 ทิศ ในลานสวนแห่งนี้มีบ้านหลังเล็กๆจำนวนมากมาย ดูเหมือนว่ามันถูกสร้างให้คนหนึ่งคนอาศัยอยู่ในบ้านหนึ่งหลัง
ผู้คนธรรมาดาสามัญกว่า 30 คนถูกจัดแจงให้เข้าไปพักในบ้านหลังเล็กๆ หยางไค่ก็เหมือนพวกเขาที่พำพักอยู่ในบ้านหลังเล็กๆเพียงคนเดียว
ภายในบ้านถือว่าไม่เลว เพราะมีเตียงนอนมีผ้าห่มที่หนานุ่มซึ่งพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อย
หลังจากวันนี้ พวกเจ้าก็พักอยู่ที่นี้ พวกเจ้าไม่ต้อ้งสนใจอะไร ไม่ต้องทำอะไร อาหารทุกๆสามมื้อในทุกๆวัน จะมีคนมาส่งให้พวกเจ้าเอง ในตอนนี้หน้าที่เดียวของพวกเจ้า คือการกินให้อิ่ม นอนให้หลับ บำรุงรักษาร่างกายของพวกเจ้าให้ดี อีกไม่นานสำนักหยุนเซี่ยของเราจะมอบบทดสอบให้แก่พวกเจ้าเอง !! ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งสำนักหยุนเซี่ยกล่าวแก่ทุกๆคน
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ หยางไค่ระลึกถึงคำว่าการเลี้ยงหมูไว้เพื่อฆ่า
เขาไม่เชื่อความสุขสบายที่สำนักหยุนเซี่ยมอบให้แก่พวกเขา การเลี้ยงหมูไว้ก็เหมือนเช่นนี้ กินอิ่ม นอนหลับ จนร่างกายอวบอั๋น เมื่อถึงทุกเทศกาลที่ครึกครื้น สุดท้ายก็ตายอยู่ใต้ใบมีดที่แหลมคม
สำนักหยุนเซี่ยต้องการทำอะไรกันแน่ ? หยางไค่เริ่มรู้สึกสับสนกับการกระทำของพวกเขา
แต่ว่าตอนนี้หยางไค่ไร้ซึ่งหนทางในการหลบหนี เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสำนักหยุนเซี่ยของผู้อื่น และยังเป็นเกาะที่โดดเดี่ยว นอกเสียจากตนเองได้รับเรือลำหนึ่ง และต้องเป็นเรือขนาดใหญ่ที่สามารถต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูรเหล่านั้น
ลองรับมือกับมันเมื่อถึงเวลา !! หยางไค่วางจิตใจที่หนักอึ้งของตนเองก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงที่เตียงหลับตาและเริ่มฝึกฝนวิชายุทธุ์ของตน
วันรุ่งขึ้น มีคนเดินทางมาส่งอาหารให้แก่พวกเขา อาหารที่พวกเขาได้รับเป็นอาหารสำหรับผู้มั่งมี เพียงแค่มองก็ทราบในทันทีว่ามันปรุงขึ้นจากความพิถีพิถัน ในอาหารยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพร มันน่าจะมีการผสมยาบำรุงสมุนไพรเข้าไปด้วย
หยางไค่ไม่ได้เริ่มกินในทันที เขารอเป็นเวลานาน รอจนกว่าคนอื่นๆกินจนเสร็จสรรพและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไมได้รับอันตราย หยางไค่จึงหยิบตะเกียบและเริ่มกินอาหาร
หลังจากกินอาหารไป 1 มื้อ ผู้คนธรรมาดสามัญเหล่านั้นต่างรู้สึกสดชื่น หยางไค่ก็เช่นเดียวกัน ในอาหารเหล่านี้ต้องมียาสมุนไพรบำรุงที่ไม่น้อย มันต้องเป็นสมุนไพรที่บำรุงร่างกายโดยเฉพาะ และยังช่วยบำรุงโลหิต หากกินมันเป็นเวลานาน ผู้คนธรรมาดสามัญเหล่านี้ต้องมีชีวิตที่ยืนยาวนับร้อยปีอย่างแน่นอน
หลายวันผ่านไปก็ยังเป็นเช่นนี้ ในตอนนี้ผู้คนที่ถูกจับตัวไม่กล่าวตะโกนเช่นในตอนแรก พวกเขาต่างเชื่อในคำพูดของศิษย์แห่งสำนักหยุนเซี่ย การที่พวกเขาถูกจับมาที่นี้เป็นการลิ้มรสความสุขแห่งชีวิต
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ยากจน พวกเขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่สุขสบายเช่นนี้ อาหารที่พวกเขาได้กินล้วนเป็นอาหารอันโอชะที่มีรสชาติที่แสนอร่อย พวกเขาทุกคนต่างมีความสุขอย่างยิ่ง
นอกจากอาหารอันโอชะแล้ว คนที่ถูกจับกุมตัวมายังต้องกินยาสมุนไพรในทุกๆวัน ยาสมุนไพรนี้ค่อนข้างขม แต่มันดีต่อร่างกาย ไม่มีอันตราย หลายวันผ่านไป ร่างกายของคนจนที่ซูบผอมเหล่านั้นได้กำยำและแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
อารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นความสุข พวกเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าที่วิเศษ
นอกจากนั้นการเคลื่อนไหวหรือเดินเล่นของพวกเขายังมีบริเวณที่ไม่กว้างมาก พวกเขาจะเดินไปยังบริเวณใดของลานสวนก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามออกจากลานสวนแห่งนี้
******************************************
?? = หยุนเซี่ย= เมฆแดง
??? = เกาะหยุนเซี่ย = เกาะเมฆแดง
??? = สำนักหยุนเซี่ย = สำนักเมฆแดง
? = ไห่แปลว่าทะเล ? = เฉินแปลว่าเมือง
?? =เมืองไห่เฉิน =เมืองแห่งทะเล