ตอนที่ 171 หมัดเปลวเพลิงผลาญสุริยันและท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหว
ตอนที่ 171 หมัดเปลวเพลิงผลาญสุริยันและท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหว
หลังจากนั้นไม่นาน รถม้าได้ไปถึงบริเวณที่กลุ่มคนเหล่านั้นยืนรออยู่
คนคนหนึ่งยกมือทำความเคารพและกล่างถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ : ไม่ทราบว่าผู้ที่อยู่ในรถม้าคือคนของตระกูลเจียง !!
เสียงของนายหญิงดังขึ้น : ใช่
คนผู้นั้นแสดงสีหน้าด้วยความดีใจ เขารีบพลิกตัวลงมาจากหลังม้า และกล่าว : ข้าน้อยเมียวฮวาเฉิน ยินดีต้อนรับฮูหญิงเจียง !!
เสียงนั้นเต็มไปด้วยวามตื้นตันในขณะที่กล่าว : ข้าไม่ได้พบเจอพี่เจียงมากกว่า 10 ปี การลาจากในครั้งนั้นเป็นการพบเจอครั้งสุดท้าย ภาพในเหตุการณ์วันนั้น มันยังติดตาข้าอยู่ทุกคืนวัน !!
ภายในรถม้า เสียงสะอื้นของคุณหนูและนายหญิงดังขึ้น แม้แต่ดวงตาของฉุ่ยเอ่อยังแดงก่ำจากความโศกเศร้า
นายหญิงกล่าว : ได้โปรดระงับความโศกเศร้านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปแล้ว
เมียวฮวาเฉินกล่าว : ฮูหญิงเจียงคงจะทุกข์ทรมาณมากกว่าข้า
สถานการณ์เต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่เงียบงัน
หลังจากนั้น เมียวฮวาเฉินจึงกล่าว : ฮูหญิงเจียงคงเดินทางด้วยความเหนื่อล้า โปรดอดทนอีกสักนิด อีกไม่นานเราก็จะไปถึงเมืองไห่เฉิน
ในขณะกล่าว ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังหยางไค่ และกล่าวด้วยความสงสัย : ทำไมบริเวณนี้ถึงมีขอทานด้วย ?
นายหญิงครุ่นคิดไปมา ก่อนจะทบทวนคำกล่าวขอร้องของหยางไค่ นางจึงกล่าวตอบ : พวกเราทั้ง 3 ไม่มีใครที่สามารถควบรถม้าได้ ประจวบกับที่เราพบเจอกับขอทานน้อยคนนี้ พวกเราจึงให้เขาช่วยควบรถม้าให้แก่พวกเรา
จางติงที่สมควรตาย !! เมียวฮวาเฉินกล่าวด้วยความโกรธ เขาจึงจ้องมองไปที่หยางไค่และกล่าว : ขอทานน้อย เจ้าลงมาได้แล้ว หลายวันที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากไม่น้อย
หยางไค่ได้ยินคำกล่าวของเมียวฮวาเฉิน จึงกระโดดลงจากรถม้า
ในขณะที่หยางไค่ลงมาจากรถม้า เมียวฮวาเฉินได้มอบเงิน 1 ตำลึงให้แก่หยางไค่ ถือเป็นการขอบคุณ หยางไค่ไม่เกรงใจ รับมันมาด้วยการกระทำที่เสมือนขอทาน เขากล่าวขอบคุณอยู่หลายครั้ง
ไป !! เมียวฮวาเฉินให้เด็กรับใช้ไปนั่งแทนที่ตำแหน่งของหยางไค่ เขาโบกมือ ขึ้นหลังม้า และนำพากลุ่มคนเหล่านี้ไปยังเมืองไห่เฉิน
หลังจากที่พวกเขาออกเดินทาง หยางไค่ยืนอยู่ตรงที่เดิม ซึ่งพอเห็นดวงตาทั้ง 3 คู่จ้องมองมาที่ตัวเขา
แม้ว่าจิตใจของหยางไค่จะเสียใจกับเหตุการณ์ขมขื่นที่นายหญิงเจียงและคนแห่งตระกูลเจียงต้องพบเจอ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรให้แก่พวกนางได้ การพบกันในครั้งนี้เป็นความบังเอิญ หลังจากวันนี้ พวกเขาคงไม่ได้เจอกันอีก
หยางไค่วิ่งตามไปยังทิศทางที่รถม้าเคลื่อนผ่าน ระหว่างที่วิ่งตามไป หยางไค่นำแส้ของชายชราหวู่กำไว้ในมือและฟาดมันลงไป สองขาของเขาได้ได้เปิดใช้ท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวเพื่อประสานการกระทำทั้งสองให้รวมเป็นหนึ่ง
ครึ่งวันผ่านไป ในที่สุดก็มาถึงเมืองไห่เฉิน
เมืองไห่เฉินใหญ่กว่าเมืองวู่เหม่ยอย่างมาก แต่ว่าอากาศของที่นี้มีกลิ่นคาวจางแห่งท้องทะเล กลิ่นคาวนี้ไม่ได้เหม็นมาก แต่มันทำให้คนที่ได้สูดดมรู้สึกสดชื่นมากกว่า
เป็นครั้งแรกที่หยางไค่ได้มายังเมืองที่ติดชายฝั่งทะเล ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขารีบไปหาซื้อเสื้อผ้า และหาโรงเตี้ยมในการการพักอาศัย
หลังจากนั้นหลายวัน หยางไค่นั่งอยู่ในโรงเตี้ยมและจ้องมองทิวทัศน์ของเมืองไห่เฉินตลอดมา วิวทะเลค่อนข้างงดงาม นอกจานั้นอากาศยังบริสุทธุิ์ เป็นสถานที่น่าพักอาศัยอย่างยิ่ง
ภายในโรงเตี้ยม หยางไค่ได้ยินเรื่องราวตำนานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับทะเล และยังมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าภาพลวงตาแห่งท้องทะเลด้วยตนเอง
ทิวทัศน์ที่งดงามนี้ ทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา
ในบริเวณใกล้เคี่ยงนี้มีสำนักต่างๆที่ก่อตั้งขึ้นเป็นจำนวนมาก
ความแข็งแกร่งของแต่ละสำนักจะเปรียบเทียบจากความแข็งแกร่งภายในสำนักโดยแบ่งเป็นความแข็งแกร่งระดับที่1 ความแข็งแกร่งระดับที่ 2 และระดับที่ 3 ตามลำดบ หากว่าแต่ละสำนักมีการแบ่งระดับความแข็งแกร่ง ที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่งหน หอประลองยุทธุ์น่าจะอยู่ในความแข็งแกร่งระดับที่ 2 เพราะหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมีความแข็งแกร่งที่ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน
เพราะหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมีอำนาจพลังแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
แต่ว่าสำนักที่อยู่ในเมืองไห่เฉินมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างจากสำนักที่อยู่ในบริเวอื่นๆ เพราะสำนักเหล่านี้ต่างตั้งอยู่บนเกาะนอกชายฝั่ง โดยอาศัยอยู่ในเกาะน้อยใหญ่กระจัดกระจายกันไป จากการบ่มเพาะพลังจากทรัพย์สมบัติที่อยู่บนเกาะ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์ ทำให้เหล่าศิษย์สาวกของพวกเขากลายเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง นอกจากนั้นบนเกาะยังมีวิวทิวทัศน์สภาพแวดล้อมี่งดงาม มันจึงดูดให้เหล่าผู้ฝึกยุทธุ์ต่างๆ เข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ที่อยู่ในเมืองไห่เฉินเป็นจำนวนมาก
แต่ว่าภายในเมืองไห่เฉิน นอกจากครอบครัวที่มีอำนาจอิทธิพล จะพบกับจอมยุทธุ์ที่แข็งแกร่งน้อยมาก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าอำนาจอิทธิพลเหล่านี้กระจัดกระจายไปยังสำนักที่ตั้งอยู่บนเกาะต่างๆ พลังแห่งฟ้าดินที่อยู่ในเกาะเข้มข้นและแข็งแกร่งกว่าบริเวณอื่นๆ การฝึกฝนวิชายุทธุ์หรือบ่มเพาะพลังในเกาะจึงมีการพัฒนามากกว่าสถานที่อื่นๆ ในสถานการณ์ทั่วๆ เหล่าจอมยุทธุ์หรือผู้ฝึกยุทธุ์จึงไม่ย่างกรายเข้ามายังเมืองไห่เฉิน นอกจากมีเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นจึงพบเห็นเหล่าจอมยุทธุ์หรือผู้ฝึกยุทธุ์ที่แข็งแกร่งได้น้อยมาก
หลังจากที่หยางไค่สำรวจความรุ่งเรืองของเมือไห่เฉิน เขาเดินออกไปยังชายทะเล เฝ้าดูท้องทะเลอันอบอุ่น ภายในคลื่นแห่งทะเลที่พัดเข้ามายังต่อเนื่อง หยางไค่มองเห็นแสงประกายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ราวกับว่ามันกำลังห่อหุ้มความรู้สึกทางจิตใต้สำนึกของเขาและร่องร่อยการฟาดแส้ของชายชราหวู่ให้ผสานรวมเป็นหนึ่ง
มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อไม่ไคว้คว้า จะได้รับผลตอบแทนของมันเอง เฉกเช่นคลื่นแห่งทะเลที่ซัดเข้ามา เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดของมัน มันจะแตกกระจายเป็นคลื่นน้ำเล็กๆ และก่อตัวเป็นคลื่นขนาดใหญ่อีกครั้ง
ตรงหน้าของเขา เสมือนว่าประตูบานหนึ่งกำลังเปิดออกอย่างช้าๆ
หยางไค่ไม่กล้ารอช้า แสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่ประกายออกมาอย่างกะทันหัน เป็นเรื่องที่สามารถพบเจอแต่ไม่สามารถร้องขอให้มันเกิดขึ้น หยางไค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะผสานความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึกของตนเองและชายชราหวู่เป็นหนึ่งเดียว
ไม่ทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ราวกับว่าหยางไค่ได้หลับใหลไป เขายืนนิ่งอยู่บนหาดทราย ข้างหูของเขามีเพียงเสียงของนกเสียงของลมทะเลแฃะเสียงของคลื่นทะเลเท่านั้น เมื่อหยางไค่ลืมตาขึ้นมา อารมณ์ของตนเองมีการเปลี่ยนแปลงเล็ก จิตใจแจ่มใส ราวกับว่าตัวเขาเองเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษและผ่อนคลายที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์จนยากที่จะพรรณนา
ท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเองเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ร่างกายของหยางไค่เปรียบดั่งภาพลวงตา เขาเหยียบย่ำคลื่นทะเลที่ซัดเข้ามา เสมือนเหยียบย่ำพื้นดินที่ราบเรียบ จากคลื่นหนึ่งไปยังอีกคลื่นหนึ่งโดยที่หยดน้ำทะเลไม่กระเด็นใส่ร่างกายของเขาแม้แต่น้อย
ประกาย ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ..ร่างกายของเขาประกายติดต่อกันถึง 15 ครั้ง จึงทำให้พลังลมปราณในร่างกายของเขาหมดลง ป๋อม !!! เสียงที่ร่วงลงทะเลดังขึ้น ร่างกายของหยางไค่เปียกโชกด้วยน้ำทะเล
แต่หยางไค่ยังคงยิ้มอย่างสดใส เขาหันหน้าไปยังคลื่นทะเลที่ซัดเข้ามา ก่อนจะพุ่งหมัดของเขาออกไป
หมัดเปลวเพลิงผลาญสุริยัน !!
บนห้วงอากาศก่อเกิดเสียงระเบิดออกมาถึง 3 ครั้ง พลังลมปราณพุ่งออกจากหมัดของเขา 3 ครั้งติดต่อกัน ทำให้คลื่นทะเลที่ซัดเขามาแตกสะลายกลายเป็นคลื่นน้ำเล็กกระจัดกระจายออกไป
จนถึงตอนนี้ หยางไค่เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวของชายชราหวู่และการเปลี่ยนแปลงแห่งคลื่นทะเล ได้ผสานรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของเขา
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้หยางไค่นำรู้สึกและเข้าใจถึงการเคลื่อนไหวของหมัดอัคคีเผลาเปลวเพลิง ซึ่งหมัดอัคคีเผลาเปลวเพลิงที่พุ่งโจมตีออกไปในครั้งนี้ ไม่ได้พุ่งพลังลมปราณหยางออกไปเพียงครั้งเดียว แต่พลังลมปราณหยางจากหมัดอัคคีเผลาเปลวเพลิงพุ่งออกไปถึง 3 ครั้งในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เสมือนคลื่นทะเลที่ซัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คู่ต่อสู้ยากต่อการป้องกันการโจมตีของเขา
อัจฉริยะ !! มารปฐพีไร้ซึ่งคำพูดที่จะกล่าวออกไป หลายวันก่อนที่หยางไค่สร้างท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวจากความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึกมันก็ทำให้มารปฐพีตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน เขาไม่คิดว่าหยางไค่จะสามารถสร้างกระบวนท่าการโจมตีจากพื้นฐานเดิม และสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึกที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิม
มารปฐพีกล่าวพึมพำอยู่ในใจ : หรือว่าตนเองมีชีวิตนานเกินไป โลกแห่งนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้
ร่างกายที่เปียกโชกของหยางไค่ค่อยๆคลานออกมาจากทะเล หยางไค่ตกใจอย่างกะทันหันเพราะจากตำแหน่งเดิมที่ห่างจากจุดที่เขาเคยยืนไม่ไหล มีเด็กหญิงตัวเล็ก ผิวสีข้าวสาลี และมีผมที่พันกันยุ่งเหยิง กำลังจ้องมองเขาด้วยความสงสัย
เด็กหญิงคนนี้น่าจะมีอายุประมาณ 7-8 ปี ดวงตากลมโตทั้งคู่เต็มไปด้วยความสดใส ร่างกายของนางสวมเสื้อผ้าที่หยาบกร้าน เสื้อของนางยังมีรอยเย็บปะที่เห็นได้ชัเจน นางยืนอยู่บนผืนทรายด้วยเท้าเปลือยเปล่าและอ้าปากค้าง จนลมทะเลลอยเข้าสู่ภายใน นางจะปิดปากของนางลงด้วยความเร่งรบ
เนื่องจากที่อาศัยอยู่ในทะเล มักจะได้รับแสงแดดและสายลมจากทะเลทำให้ผิวของพวกเขาไม่ขาวมาก เด็หญิงคนนี้มีสีผิวเหมือนคนในแถบนี้โดยทั่วไป ทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกว่านางค่อนข้างแข็งแรง
หยางไค่ยิ้มให้แก่เด็กหญิงตัวน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหานางอย่างช้าๆด้วยความเป็นมิตร ในขณะเดียวกันหยางไค่ได้สบทด่าตนเองอยู่ในใจเพราะในขณะที่ตนเองกำลังหลับตาสัมผัสความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึก เขาไม่ได้สังเกตุคนรอบข้างที่อยู่บริเวณนี้ การกระทำของเขาคงทำให้นางหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เมื่อนางเห็นท่าทีของหยางไค่ความตกใจได้ลดลงอย่างมาก หยางไค่ไม่กล้าที่จะหมุนเวียนพลังลมปราณเพื่อทำให้เสื้อของตนเองแห้งจากความเปียกชุ่ม เขาเดินไปหานางด้วยร่างกายที่เปียกชุ่มด้วยน้ำทะเล
หยางไค่หยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหญิงตัวน้อย และก้มตัวลงค่ำ ใบหน้าของหยางไค่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเป็นมิตร เขากล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน : แม่นางน้อย เจ้ามาทำอะไรที่นี้ ?
เด็กหญิงตัวน้อยกระพริบตาไปมาและจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ สายตาที่บริสุทธิ์ของนางไม่แปดเปื้อนมลทินแห่งความชั่วร้ายแม้แต่น้อย เมื่อถูกสายตาเช่นนี้จ้องมอง แม้ว่าหยางไค่ไม่ได้ทำเรื่องที่ชั่วร้ายมันก็ทำให้เขาค่อนข้างอึดอัดใจ หากว่าคนที่เดินเข้ามาหานางเป็นที่มีความผิดในจิตใจ คงจะรู้สึกละอายใจต่อความผิดจากสายตาที่ไร้เดียงสาและบริสุทธุ์ของนาง
หลังจากนั้น นางจึงยื่นมือออกไป และมอบของที่อยู่ในมือให้แก่หยางไค่
หยางไค่ก้มหน้าลงมอง พบว่าสิ่งที่อยู่ในมือของหนางเป็นปลาย่างชิ้นหนึ่ง
ชาวประมงที่อาศัยอยู่ในชายทะเล ล้วนมีอาหารหลักเป็นพวกปลาหรืออาหารทะเลอื่นๆ
ให้ข้า ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความอบอุ่นใจ
เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าเบาๆ นางยัดปลาแห้งไปยังมือของหยางไค่ และวิ่งหนีออกไปในทันที เหลือไว้เพียงรอยเท้าเล็กๆที่น่าเอ็นดูอยู่บนหาดทราย
ในขณะที่นางวิ่งออกไปได้ไม่กล นางได้หยุดฝีเท้าของนางอย่างกะทันหัน และหันหน้ากลับไปมองหยางไค่
หลังจากนั้น นางได้วิ่งกลับมา เดินไปยังด้านข้างของหยางไค่และดึงเสื้อของหยางไค่ ไปอีกทิศทางหนึ่ง
หยางไค่ไม่ได้ปฏิเสธ เขาไม่รู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังจะทำสิ่งใด แต่ว่าเด็กหญิงที่ไร้เดียงสาและน่าเอ็นดูเช่นนี้ คงไม่มีเจตนาที่ไม่ดีอย่างแน่นอน
หลังจากที่เดินตามนางออกไปได้ไม่ไกล พวกเขาได้มายังบ้านที่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง เด็กหญิงยกแขนและชี้ไปยังภายในกระท่อม
เข้าไป ? หยางไค่กล่าวถาม เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าอย่างช้าๆ
หยางไค่หัวเราะอย่างแผ่วเบา เขาคิดอยู่ภายในใจว่าเด็กหญิงตัวน้อยดึงตัวเองให้มาเป็นแขกของบ้านตนเอง แต่ยังมิทันที่หยางไค่จะก้าวเข้าไป ภายในบ้านได้มีชายชราคนหนึ่งเดินออกมา ชายชรามีอายุไม่น้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นที่บ่งบอกถึงอายุของเขา นอกจากนั้นในขณะที่ชายชราเดินออกมา ดูเหมือนว่าขาข้างหนึ่งของเขาเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่ไม่คล่องตัว
เมื่อชายชรามองเห็นเด็กหญิงตัวน้อยและหยางไค่ สีหน้าของเขาแสดงออกมาด้วยความดุดันในทันที
เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หยางไค่รีบกล่าวอธิบาย : ผู้อาวุโส เด็กหญิงตัวน้อยเป็นคนในครอบครัวของท่านหรือไม่ ?
ชายชรายิ้มอย่างอย่างใจดี ก่อนจะโบกมือเรียกเด็กหญิงตัวน้อย : เสี่ยวยู่ว มานี่
เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหัวไปมา นางดึงเสื้อของหยางไค่เข้าไปในบ้านของนาง
ชายชรายิ้มและจ้องมองหยางไค่ : หากหนุ่มน้อยไม่รังเกียจ เข้ามานั่งข้างในก่อน เสี่ยวยู่วกลัวว่าเจ้าจะเหน็บหนาว จึงพยายามดึงเจ้าเข้าไปภายใน
หยางไค่เข้าใจในทันที การทีเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งกลับมาหาเขาและลากเข้ากลับมาเพราะเหตุผลนี้ นางมีเจตนาที่ดีเช่นนี้ หยางไค่จะใจดำปฏิเสธความปรารถนาดีเช่นนี้ได้อย่างไ ?
ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ
หยางไค่เดินตามเสี่ยวยู่วเข้าไปในบ้าน หยางไค่กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ทำให้จิตใจของเขารู้สึกเจ็บปวด เพราะภายในบ้านไม่มีสิ่งอื่นๆอีกเลยนอกเหนือจากเตียงและผ้าห่มฝ้าย
ภายในเมืองไห่เฉิน หยางไค่เคยพบเห็นคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุ่หร่ายใช้เงินเที่ยวดื่มกินเหล้าอย่างสนุกสนาน แต่บริเวณชายหาดที่ไม่ห่างจากเมืองไห่เฉิน กลับมีบ้านที่ทรุดโทรมซึ่งมีชายชราและเด็กหญิงตัวน้อยอาศัยอยู่อย่างน่ารันทด ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกตกตะลึงกับความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เสี่ยวยู่วยุ่งกับการหาฟืนและถ่าน จากนั้นนางจึงจุดจุดฟืนและถ่านที่เตาถ่าน ก่อนจะดึงหยางไค่เข้าใกล้เตาถ่านที่นางจุดเพื่อให้หยางไค่ผิง
ตาถ่านของพวกเขาอยู่ภายในบ้าน เพราะลมทะเลด้านนอกที่พัดโชยเข้ามาค่อนข้างแรง เมื่อไฟถูกจุดขึ้นจากเตาถ่าน ภายในบ้านจึงเต็มไปด้วยเศษขี้เถ้าและเศษประกายไฟ ทำให้ชายชราไอจากเศษขี้เถ้าเหล่านั้นออกมาหลายครั้ง
เมื่อไม่มีเก้าอี้ หยางไค่ก็ไม่ได้ถามหา เขาจึงนั่งลงบนพื้นดินเช่นเดียวกับชายชราและเด็กหญิงตัวน้อย
หนุ่มน้อยน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธุ์คนหนึ่ง ? ชายชราวางเสี่ยวยู่วไว้บนตักของเขาและกล่าวถามหยางไค่
สิ่งใดที่ทำให้ท่านคิดเช่นนั้น ? หยางไค่รู้สึกสงสัย เพราะตอนนี้เขาสามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายแห่งพลังลมปราณ หากเขาไม่ลงมือโจมตี แม้แต่ผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่เขตแดนลมปราณแท้จริงก็มิอาจสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่ซ่อนเร้นเอาไว้ นอกเสียงจากยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนเทพสวรรค์ซึ่งมีความรับรู้ทางจิตวิญญาน
หยางไค่ไม่คาดคิดว่า ชาวประมงที่แก่ชราซึ่งอาศัยอยู่ชายทะเลจะสามารถสัมผัสถึงพลังลมปราณที่เขาซ่อนเร้นเอาไง้ ทำให้หยางไค่ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ชายชราหัวเราะเบาๆ : เจ้ายืนนิ่งอยู่ตรงชายหาดทะเลเป็นเวลากว่าหลายวันโดยไม่ขยับ หากเป็นคนธรรมดาสามัญจะสามารถอดทนเยี่ยงเจ้าได้อย่างไร ?
หลายวันแล้ว ? หยางไค่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ครั้งที่แล้วที่เขาเข้าสู่ความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึกเขาไม่รู้สึกถึงเวลาที่ไหลผ่าน ครั้งนี้ก็เช่นกัน หากครั้งหน้าที่เขาต้องการจะเข้าสู่ห้วงแห่งการรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึก เขาต้องหาสถานที่ปลอดภัยไร้ซึ่งผู้คน หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นชีวิตของเขาคงต้องเข้าสู่อันตราย โดยไม่รู้ว่าตนเองตายจากเหตุใด
เสี่ยวยู่วไปไปดูเจ้าทุกวัน หากไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าชายชราอย่างข้าจะกล้าให้เจ้าเข้ามาภายในบ้านได้อย่างไร ?
ข้าไมใช่คนเลว . หยางไค่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่อึดอัดใจ
ในขณะที่กล่าว เสี่ยวยู่วเฝ้าดูหยางไค่ตลอดเวลา เมื่อมองเห็นว่าหยางไค่ไม่กินปลาแห้งที่อยู่ในมือของเขา นางจึงชี้ไปที่มือของหยางไค่
อืม ข้าจะกิน เสี่ยวยู่วน่ารักจริงๆ หยางไค่อ้าปากกัดปลาแห้ง แม้ว่ามันจะเย็น แต่มันยังสดใหม่ เขาจึงกินมันเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เขาพยักหน้าซ้ำๆแล้วกล่าว : อร่อยๆๆ
ในตอนนี้เสี่ยวยู่วจึงเผยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน
หลังจากที่กินปลาแห้งจนหมด เสื้อของหยางไค่เริ่มแห้ง หยางไค่จะกล่าวพูดและหยุดไปหลายครั้ง ในที่สุดเขาจึงกล่าวขึ้นมา : ท่านผู้อาวุโส เสี่ยวยู่วพูดไม่ได้ ?
สีหน้าของชายชราเผยให้เห็นความรู้สึกที่เศร้าโศก เขาลูบหัวของเสี่ยวยู่วไปมาและกล่าวตอบ : ไม่ใช่ว่านางไม่พูด แต่เกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันกันภายในบ้าน จากตอนนั้นเป็นต้นมา นางก็ไม่เคยพูดจาอีกเลย
อ่อ หยางไค่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เดิมทีหยางไค่คิดว่าเสี่ยวยู่วเป็นเด็กที่มีอาการป่วยตั้งแต่ยังเป็นทารก ตนเองยังพอจะหาทางช่วยเหลือนาง แต่ไม่คิดว่านางเป็นคนที่ไม่ต้องการจะพูดจาเอง มันเป็นปมที่อยู่ภายในใจ หากไม่สามารถคลายปมในใจ นางจะไม่ยอมพูดจากับใครอีกเลย
ชายชราแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป หยางไค่จึงไม่กล่าวถาม เพื่อหลีกเลี่ยงความเศร้าโศกจากความทรงจำที่ไม่ต้องการจดจำ
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มจากยามค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง หากว่าเจ้าไม่รังเกียจ ก็ค้างคืนอยู่ที่นี้สักคืนหนึ่ง ชายชราค่อยๆลุกขึ้น เสี่ยวยู่วเองรีบประคองชายชราในทันที
ขอบคุณสำหรับการต้อนรับและการดูแล หยางไค่ลุกขึ้นและโค้งคำนับ
ภายในบ้านไม่ใหญ่มาก ชายชราและเสี่ยวยู่วนอนบนเตียง หยางไค่นอนอยู่บนพื้นโดยฟังเสียงสายลมที่ดังอยู่ด้านนอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับสักที
ตนเองอาศัยอยู่ในหอประลองยุทธุ์อย่างยากลำบากเป็นเวลากว่า 3 ปี แต่เมื่อเทียบกับพวกเขาทั้ง 2 ชีวิตของหยางไค่สบายกว่ามาก
ชายชราและเด็กหญิงทั้งสอง นอกเสียจากการจับปลาประทังชีวิต พวกเขาจะหาอะไรมาหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขาได้อีก ?
เมื่อเวลาเดินผ่านไปจนถึงเที่ยงคืนที่เงียบสงัด หยางไค่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากข้งนอกอย่างกะทันหัน
มันทำให้หยางไค่ตื่นตกใจจนต้องลุกออกไปห่ร่องรอยของฝีเท้านั้น
ก่อนที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ หยางไค่มองเห็นบริเวณที่อยู่ข้าง เพราะบริเวณที่อยู่รอบข้างไร้ซึ่งร่องรอยของผู้พักอาศัยคนอื่นๆ บริเวณแห่งนี้ มีเพียงบ้านหลังเล็กๆของชายชราและเสี่ยวยู่วเท่านั้น
จากเสียงฝีเท้าที่ได้ยินหยางไค่มั่นใจว่าผู้ที่มาเยือนคือผู้ฝึกยุทธุ์ !!
ในขณะที่หยางไค่กำลังสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง ชายชราและเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่บนเตียงลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ภายใต้ความมืดมิด หยางไค่มองเห็นสีหน้าที่รู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด